รีวิว iPhone 12 Pro Max เจาะจุดเด่น เผยจุดอ่อน ไอโฟนที่ดีที่สุดแห่งปี เรือธงตัวท็อปที่โลกรอคอย :: Thaimobilecenter.com

เจาะจุดเด่น เผยจุดอ่อน ไอโฟนที่ดีที่สุดแห่งปี เรือธงตัวท็อปที่โลกรอคอย กับทุกประเด็นที่ควรรู้ก่อนซื้อ

สำหรับ iPhone 12 Pro Max ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นที่เราตั้งใจสั่งซื้อมาใช้งานเอง ด้วยเหตุผลสำคัญคือต้องการนำมาใช้งานจริงแบบยาวๆ เพื่อที่จะได้รับประสบการณ์ดั่งผู้ใช้งานทั่วไป โดยที่ไม่ต้องรีบเร่งทำเวลามากนัก ดังนั้นการรีวิว iPhone 12 Pro Max ครั้งนี้จะมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ของเราก่อนหน้านี้ โดยเราจะ รีวิวในสไตล์เล่าสู่กันฟังตามประสบการณ์ที่ได้รับการจากการใช้งาน พร้อมสรุปแบบกระชับ เรียกได้ว่ามี จุดเด่นจุดด้อย จากที่ได้ใช้งานมาอย่างไร เราก็จะนำเอามาแจกแจงให้ทุกท่านได้เห็นเป็นข้อๆอย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่ง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังตัดสินใจซื้ออยู่ไม่น้อย

แม้ว่า iPhone 12 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะมีให้เลือกถึง 4 รุ่นย่อย ได้แก่ iPhone 12 mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max แต่รุ่นที่เราต้องการจับจองเป็นเจ้าของจริงๆ ก็คือ รุ่นท็อปอย่าง iPhone 12 Pro Max นั่นเอง เพราะหากต้องการสัมผัส การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดจาก iPhone 11 อย่างเต็มที่ ก็คงต้องเลือกรุ่นใหญ่ที่มีฟีเจอร์จัดเต็มที่สุด แต่ด้วยเหตุที่เราไม่ได้สั่งจองไว้ล่วงหน้า จึงทำให้พบว่าการเดินหาซื้อเครื่องตามช็อปต่างๆ ในช่วงเดือนแรกที่มีความต้องการซื้อสูง นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย(รุ่นที่เราต้องการคือ iPhone 12 Pro Max ความจุ 128GB สี Graphite) เรียกว่าแวะถามช็อปไหนก็ไม่มีสินค้า ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการเดินทางหาเครื่องให้เหนื่อยใจ วิธีที่สะดวกสบายที่สุดก็คือ สั่งซื้อแบบออนไลน์ผ่านทาง Apple Store Online นั่นเอง

และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง และ มาถึงเร็วกว่าที่ระบบคาดการณ์อยู่ 4-5 วัน เลยทีเดียว เจ้าหน้าที่ DHL ขับรถนำกล่องพัสดุที่บินตรงมาจาก Apple South Asia Pte Ltd ประเทศสิงคโปร์มาส่งมอบให้ถึงหน้าบ้าน ซึ่งในกล่องก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเครื่อง iPhone 12 Pro Max ที่สั่งเอาไว้นั่นเอง รวมระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 8 วัน ตั้งแต่กดสั่งซื้อไปจนเครื่องมาส่ง เรียกว่าไม่นานอย่างที่คิด

สภาพกล่องพัสดุด้านนอกยังดูดีไม่มีร่องรอยการกระแทกแม้แต่น้อย ถือว่าทีมขนส่งดูแลได้ดีในจุดนี้ เมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบเพียงกล่องอันบางเฉียบของ iPhone 12 Pro Max อยู่ด้านใน ที่ บางเฉียบเพียง 2.9 เซนติเมตร บางกว่ากล่องของ iPhone 11 Series เป็นเท่าตัว ซึ่งแม้จะไร้ซึ่งวัสดุกันกระแทกใดๆ แต่ก็ถูกซีลตรึงไว้อย่างแน่นหนาด้วยพลาสติกใสที่เหนียวเป็นพิเศษ เรียกว่าไม่ฉีกขาดง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะขนาดใช้มีดคัตเตอร์คมๆ ตัด ยังต้องออกแรงพอสมควรเลยทีเดียว

แน่นอนว่ากล่องของ iPhone 12 Pro Max ก็ถูกซีลเอาไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะสัมผัสได้ทันทีถึงความเรียบง่ายของ iPhone ที่มีราคาแพงที่สุดในชั่วโมงนี้ เพราะ แทบจะไม่มีอุปกรณ์อะไรแถมมาให้ นอกจากตัวเครื่อง, สาย USB-C to Lightning รุ่นยาว 1 เมตร, สติกเกอร์โลโก้ Apple 1 แผ่น และคู่มือใช้งานฉบับย่อเท่านั้น ไม่มีแม้แต่อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ และหูฟัง

ซึ่งแม้จะมีคำชี้แจงจากทาง Apple ว่าเป็นนโยบายรักษ์โลก, เป็นการลดปริมาณขยะเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรืออะไรก็แล้วแต่ อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังสำหรับผู้ซื้อ ซึ่งเดี่ยวเราจะไปแจกแจงรายละเอียดกันในลำดับต่อไป

โดยหลังจากที่เราได้แกะกล่อง พร้อมนำเอาเครื่อง iPhone 12 Pro Max ออกมา ใช้งานจริงอยู่ราว 1 เดือน ก็พบว่าสมาร์ทโฟน iPhone ตัวท็อปล่าสุดรุ่นนี้ มีจุดเด่นที่น่าประทับใจมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับจุดอ่อน หรือจุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อหลายประการ เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจึงขอรีวิวสรุปเป็นข้อๆ ให้ทุกท่านได้ทราบข้อมูลกันแบบชัดเจน เชิญติดตามกันได้เลยครับ

จุดเด่นของ iPhone 12 Pro Max

ดีไซน์ใหม่ ใช้ขอบเรียบ บางเฉียบกว่าเก่า

หลังจากหมดยุคอันรุ่งโรจน์ของ iPhone 4, iPhone 5 และ iPhone SE (2016) นับตั้งแต่ยุคของ iPhone 6 เป็นต้นมา เราก็ไม่มีโอกาสได้เห็น ดีไซน์กรอบตัวเครื่องแบบแบน อีกเลย ในที่สุดเมื่อมาถึงยุคของ iPhone 12 ทาง Apple ก็ได้เลือกนำดีไซน์แบบนี้มาใช้อีกครั้ง ซึ่งถูกปรับปรุงให้สวยลงตัวยิ่งกว่าเดิม ด้วยความโดดเด่นของกรอบด้านข้างที่ผลิตจาก สแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม พร้อมมีความ บางเฉียบกว่า iPhone 11 Pro Max อยู่ถึง 0.7 มิลลิเมตร

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะนอกจากกรอบด้านข้างจะเปลี่ยนเป็นแบบแบนแล้ว จอแสดงผลก็ถูกเปลี่ยนจากขอบนูนโค้งมน มาเป็นจอแบนด้วยเช่นกัน

อีกอย่างคือเรื่องคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น แม้จะเป็นมาตรฐาน IP68 เช่นเดียวกับ iPhone 11 Pro Max แต่ตามข้อมูลที่ระบุไว้คือ รองรับระดับความลึกของน้ำมากกว่าเดิม เป็นไม่เกิน 6 เมตร (จากเดิมไม่เกิน 4 เมตร)

หน้าจอแข็งแกร่งกว่าเดิม 4 เท่า

กระจกหน้าจอของ iPhone 12 Pro Max รวมทั้ง iPhone 12 ทุกรุ่นนั้นถูกใส่เทคโนโลยีเสริมความแข็งแกร่งที่เรียกว่า Ceramic Shield เพิ่มเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งตามข้อมูลจากทาง Apple เองนั้นระบุว่าสามารถ ทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้นถึง 4 เท่า และจากการทดสอบจากนักทดสอบอิสระหลายรายก็ยืนยันตรงกันว่า Ceramic Shield ที่เคลือบอยู่บนกระจกของ iPhone 12 Pro Max นั้นมีความแข็งแกร่งทนทานกว่าเดิมจริง ทั้งจากการตกกระแทก หรือแรงกด

ดังนั้นผู้ใช้งานจึงอุ่นใจได้มากกว่าเดิมแม้จะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่อย่างไรก็ดี การใส่เคสป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่งก็ยังคงเป็นทางเลือกที่เราแนะนำมากกว่า เพราะความเป็นจริงเมื่อเครื่องตกกระแทก ไม่ได้มีผลกระทบแค่เฉพาะหน้าจอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

จอใหญ่กว่าเดิม และใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

จอแสดงผล Super Retina XDR ของ iPhone 12 Pro Max นั้นถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นอีกจากรุ่นพี่อย่าง iPhone 11 Pro Max ด้วยขนาดถึง 6.7 นิ้ว (จากเดิม 6.5 นิ้ว) จึงกลาย เป็น iPhone รุ่นที่มีจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำมา

ส่วนคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมอื่นๆ ล้วนถูกสืบทอดมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหน้าจอแบบ OLED , รองรับการแสดงผลคอนเทนต์ HDR ทั้งแบบ Dolby Vision, HDR10 และ HLG , ความหนาแน่นของพิกเซล 458 ppi (ความละเอียด 2778x1284 พิกเซล ), ค่า Contrast Ratio ที่ 2,000,000:1 , รองรับขอบเขตสีกว้าง ( P3 ), การแสดงผลแบบ True Tone และค่าความสว่างสูงสุด 1,200 nits ที่ช่วยให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ Apple ยังใจดีใส่จอ OLED (Super Retina XDR) ความละเอียดสูงมาให้ตั้งแต่รุ่นเล็กอย่าง iPhone 12 mini ซึ่งต่างจาก iPhone 11 รุ่นเริ่มต้น ที่ใส่จอ IPS LCD (Liquid Retina HD) มาให้เท่านั้น เรียกได้ว่าการแสดงผลนั้นยอดเยี่ยมตั้งแต่รุ่นเล็กเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี แม้หน้าจอของ iPhone 12 Series จะมาพร้อมเทคโนโลยี Ceramic Shield ที่แข็งแกร่ง แต่การหากระจกกันรอยดีๆ มาปกป้องอีกชั้นหนึ่ง ก็จะช่วยให้เราใช้งานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ซึ่งก็มีอยู่ 2 รุ่นที่เราแนะนำ รุ่นแรกก็คือ Hi-Shield 3D Triple Strong Max กระจกกันรอยพรีเมียมที่กล้า รับประกันตลอดอายุการใช้งาน ด้วยความแข็งแกร่ง 3 เท่า ของกระจก Gorilla Glass จากสหรัฐอเมริกา ที่ผสานกับเทคโนโลยี Hydrofluoric พร้อมความทนทานระดับ 9H, ขอบกระจกมีความยืดหยุ่นแข็งแกร่งสูง รับแรงกระแทกได้มากกว่ากระจก3D ทั่วไป ซึ่ง ผ่านการทดสอบโหดๆ อย่างการปล่อยลูกเหล็กหนัก 64 กรัม ลงมาตกกระแทกที่ความสูงถึง 300 เซนติเมตร มาแล้ว ท่านใดสนใจก็สามารถหาซื้อได้แล้วในราคา 1,690 บาท

รีวิว Hi-Shield 3D Triple Strong Max สำหรับ iPhone 12 Series กระจกกันรอยแกร่ง 3 เท่า รับประกันตลอดอายุการใช้งาน

อีกรุ่นที่แนะนำก็คือ Hi-Shield 2.5D Triple Strong Max กระจกกันรอยที่มีความแข็งแกร่ง และคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนกันกับรุ่น 3D ข้างต้น แต่แตกต่างกันตรงที่ขอบจะเป็นขอบนูนแบบ 2.5D และมีราคาที่ย่อมเยากว่าที่ 1,090 บาท นั่นเอง พร้อมทั้ง รับประกันให้ยาวๆ ถึง 365 วัน โดยในช่วงนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อ 1 แถม 1 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ อีกด้วย (เฉพาะรุ่นเดียวกัน) ซึ่งเราจะนำกระจกกันรอยพรีเมียมทั้ง 2 รุ่นนี้มารีวิวให้ชมกันอย่างแน่นอน รอติดตามกันได้ครับ

ชิปเซ็ตที่เร็วแรงที่สุดในวงการ พร้อมหน่วยประมวลผลภาพใหม่

ชิปเซ็ตระดับ 5nm ตัวล่าสุดอย่าง A14 Bionic บน iPhone 12 Pro Max (และ iPhone 12 ทุกรุ่น) นั้น ถือว่า เป็นชิปเซ็ตที่มีการประมวลผลที่เร็วแรงที่สุดในชั่วโมงนี้ เหนือกว่าแม้กระทั่งชิปเซ็ตตัวล่าสุดของค่าย Qualcomm อย่าง Snapdragon 888

ยิ่งเมื่อชิปเซ็ต A14 Bionic ได้ทำงานร่วมกับ หน่วยประมวลผลภาพใหม่ (ISP : Image Sensor Processor) ก็จะช่วยให้ฟีเจอร์ใหม่สำหรับการถ่ายภาพอย่าง Smart HDR 3 กับฟีเจอร์ Deep Fusion ที่อาศัยความอัจฉริยะของ Neural Engine ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และแน่นอนว่ายังคงมาพร้อมกับชิป U1 ที่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำ ด้วยเทคโนโลยี Ultra Wideband (UWB)

เป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายวิดีโอ 4K Dolby Vision HDR ได้รุ่นแรกของโลก

เรื่องถ่ายวิดีโอด้วยสมาร์ทโฟน อันดับต้นๆ ที่ต้องยกให้ในชั่วโมงนี้ก็คือกล้องวิดีโอบน iPhone 12 Pro Max นั่นเอง เพราะ เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ถ่ายวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR ได้ ด้วยความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 4K ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที (หรือ 30 เฟรมต่อวินาที สำหรับ iPhone 12 กับ 12 mini) พร้อมคุณภาพของการบันทึกแบบ 10-bit 4:2:0 จึงเก็บสีสันได้มากกว่าเดิมถึง 60 เท่า หรือ 700 ล้านสี

ไม่เพียงเท่านั้น การนำเอาไฟล์วิดีโอแบบ Dolby Vision ไปใช้งานต่อก็สามารถทำให้จบได้ง่ายๆ ภายในเครื่องเดียว ด้วยการตัดต่อผ่านแอปพลิเคชัน iMovie หรือ Clips บน iPhone นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เด่นที่เกิดมาเพื่อการถ่ายวิดีโออีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันการสั่นแบบ Sensor Shift OIS , เซนเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้นที่ช่วยให้ ถ่ายวิดีโอในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น 87% , การ ซูมเข้าแบบ Optical 2.5 เท่า , การ ซูมออกแบบ Optical 2 เท่า , การซูมเสียง, การบันทึกเสียงแบบสเตอริโอ และเป็นครั้งแรกที่สามารถถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse ในโหมดกลางคืน ได้

กล้องหลังอัปเกรดใหม่ ซูมไกลกว่าเดิม เพิ่มกันสั่นที่เซนเซอร์ พร้อม LiDAR Scanner

ไม่เพียงแค่อัปเกรดเรื่องการถ่ายวิดีโอเท่านั้น แต่กล้องถ่ายภาพบน iPhone 12 Pro Max ก็มีการยกเครื่องใหม่เช่นเดียวกัน ด้วย เซนเซอร์รับภาพที่ใหญ่ขึ้น 47% กับขนาดพิกเซลใหญ่กว่าเดิมที่ 1.7 ไมครอน ที่กล้องหลัก (Wide) พร้อมเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่นำเอาเทคโนโลยี Sensor Shift OIS มาใช้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีอยู่เฉพาะในกล้อง DSLR เท่านั้น โดยเป็นระบบป้องกันการสั่นแบบ Optical ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซนเซอร์สูงสุดถึง 5,000 ครั้งต่อวินาที นั่นคือเร็วกว่า iPhone 11 Pro ถึง 5 เท่า บนการออกแบบโครงสร้างชิ้นเลนส์ขึ้นมาใหม่เป็นแบบ 7 ชิ้นเลนส์ เพื่อให้มีความคมชัดมากขึ้นแม้จะเป็นขอบภาพ และมีระยะซูมแบบ Optical ที่ไกลขึ้นเป็น 5 เท่า (ซูมเข้า 2.5 เท่า x ซูมออก 2 เท่า)

สำหรับการถ่ายภาพในตอนกลางคืน กล้องของ iPhone 12 Pro Max นั้นมี Night Mode ให้ใช้ในกล้องทุกตัว ทั้งใน กล้องหลัก (Wide), กล้อง Ultra Wide, กล้อง Telephoto และกล้อง TrueDepth ที่ด้านหน้า โดยเฉพาะกล้อง Wide นั้นมาพร้อมกับรูรับแสงที่ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด f1.6 และ รับแสงได้ดีขึ้นถึง 27% ประกอบกับ หน่วยประมวลผลภาพใหม่ (ISP : Image Sensor Processor) ที่ลดจุดรบกวน (Noise) ได้ดีขึ้น จึงเก็บรายละเอียดในตอนกลางคืนได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงเท่านั้น ยังมาพร้อมกับเซนเซอร์ LiDAR Scanner ที่ช่วยให้สามารถ ถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืน ได้อีกทั้งยังช่วยให้ ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติทำงานได้เร็วขึ้น 6 เท่าในที่แสงน้อย รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งาน AR (Augmented Reality) ให้มีความรวดเร็วแม่นยำมากกว่าที่เคยมีมา

เป็นที่ทราบกันว่าไฟล์ภาพแบบดิบๆ ที่ไม่ผ่านการบีบอัดใดๆ ( RAW ) ย่อมเป็นไฟล์ที่มีคุณภาพดีที่สุด ดังนั้นกล้องของ iPhone 12 Pro Max จึงถูกพัฒนาให้สามารถบันทึกภาพแบบ ProRAW ได้ (หลังการอัปเดต iOS 14.3 ) ซึ่งเป็นการถ่ายภาพแบบไม่บีบอัดไฟล์ และสามารถนำไปปรับแต่งแก้ไขภาพในภายหลังได้ดีกว่า อีกทั้งยังมีกระบวนการ ลดจุดรบกวน (Noise) กับการ ปรับค่าแสงแบบหลายเฟรม (Multi Frame) มาให้แล้วตั้งแต่กดถ่าย จึงช่วยให้เราประหยัดเวลาที่ใช้สำหรับการปรับแต่งในส่วนนี้ได้อีก

โหมดภาพบุคคล ( Portrait ) สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้สวยเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมรองรับการใส่เอฟเฟกต์แสงแบบ Natural Light (ค่าเริ่มต้น), Studio Light, Contour Light, Stage Light, Stage Light Mono และ High-Key Light Mono ได้ตั้งแต่ระดับ 0-100 และรองรับการตั้งค่ารูรับแสงได้เอง ตั้งแต่ f1.4 ไปจนถึง f16

ตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับตั้งค่าการใช้งานกล้องถ่ายภาพ และกล้องวิดีโอ

กล้องหน้าอัปเกรดเพิ่ม เสริมโหมดกลางคืน พร้อม Dolby Vision, Deep Fusion และ Smart HDR 3

กล้อง TrueDepth หรือกล้องหน้าของ iPhone 12 Pro Max นั้นนับเป็น iPhone รุ่นแรกที่สามารถถ่ายเซลฟี่ในโหมดกลางคืนได้ รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่มากับเทคโนโลยี Deep Fusion ที่จะทำงานในสภาวะแสงน้อยถึงปานกลาง กับ Smart HDR 3 ที่จะทำงานในสภาวะแสงปานกลางถึงแสงมาก

ซึ่งเหล่านี้เป็นการประมวลผลด้วย Neural Engine บนชิปเซ็ต A14 Bionic ที่จะทำการวิเคราะห์ค่าแสงแบบพิกเซลต่อพิกเซล จึงช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพ, เก็บรายละเอียดพื้นผิว และลดจุดรบกวนในภาพได้อย่างยอดเยี่ยม

นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่กล้อง TrueDepth สามารถรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR ได้ (ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที) ดังนั้นกล้องหน้าของ iPhone 12 Pro Max จึงสามารถถ่ายทอดแสงสี และรายละเอียดของภาพเคลื่อนไหวที่เห็นผ่านเลนส์กล้องได้สวยงามมีมิติไม่แพ้กล้องหลังเลยทีเดียว

เช่นเดียวกับกล้องหลัง โหมดภาพบุคคล ( Portrait ) ของกล้องหน้า สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้สวยเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมรองรับการใส่เอฟเฟกต์แสงแบบ Natural Light (ค่าเริ่มต้น), Studio Light, Contour Light, Stage Light, Stage Light Mono และ High-Key Light Mono ตั้งแต่ระดับ 0-100 และรองรับการตั้งค่ารูรับแสงได้เอง ตั้งแต่ f1.4 ไปจนถึง f16

ชาร์จไร้สายได้ล้ำแรงกว่าเดิมด้วย MagSafe

จากเดิมที่ iPhone 11 Series นั้นรองรับเทคโนโลยีชาร์จไร้สายตามมาตรฐานแบบ Qi แต่เพียงอย่างเดียว ล่าสุดใน iPhone 12 Series ได้ใส่เทคโนโลยีชาร์จไร้สายใหม่ของตัวเองเพิ่มเข้ามาในชื่อว่า MagSafe ซึ่งเป็นระบบแม่เหล็กที่ดูดติดเข้ากับแท่นชาร์จได้อย่างแน่นหนา และ มีกำลังไฟเพิ่มขึ้นเป็น 15W

พร้อมอุปกรณ์เสริมอีกหลายอย่างที่พัฒนามาเพื่อการใช้งาน MagSafe โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น แท่นชาร์จ MagSafe แบบเดี่ยว, แท่นชาร์จ MagSafe แบบคู่, เคสที่รองรับ MagSafe, เคสใส่บัตรที่รองรับ MagSafe และอุปกรณ์เสริมจากผู้ผลิตแบบ 3rd Party ที่รองรับ MagSafe อีกหลายตัว อีกกรณีคือเราสามารถนำเอา Wireless Charger ที่ไม่ใช่ MagSafe มาใช้กับ iPhone 12 Series ได้เช่นกัน เพียงแต่จะได้กำลังไฟสูงสุดที่ 7.5W เท่านั้น เรียกว่าช้ากว่า MagSafe เป็นเท่าตัว

ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่แบบผ่านสาย สามารถชาร์จเร็วได้ด้วยกำลังไฟสูงสุด 20W หรือชาร์จไฟได้ 50% ภายในเวลา 30 นาที แต่ต้องใช้อแดปเตอร์ 20W ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะใช้งานระบบชาร์จเร็วได้

แรมใหญ่ขึ้น กับความจุมากกว่าเดิม

นอกจากชิปเซ็ตจะเร็วแรงขึ้นแล้ว iPhone 12 Pro Max ยังมาพร้อมกับ หน่วยความจำแรม (RAM) ที่ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 6GB (จากเดิม 4GB) ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมรวดเร็วลื่นไหลยิ่งขึ้นไปอีกขั้น และจากเดิมหน่วยความภายใน (ROM) ของ iPhone 11 Pro Max มีความจุเริ่มต้นที่เพียง 64GB ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย แต่พอมาใน iPhone 12 Pro Max ทาง Apple เพิ่มขนาดหน่วยความจำของรุ่นเริ่มต้นให้เป็น 128GB เรียกว่าได้พื้นที่เก็บบันทึกข้อมูลมากขึ้นเป็นเท่าตัว และเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปโดยที่อาจไม่จำเป็นต้องเพิ่มงบไปซื้อรุ่นที่มีความจุมากกว่านี้

รองรับ 5G ในไทยได้ตั้งแต่แกะกล่อง

หลังจากปล่อยให้คู่แข่งนำไปหลายก้าว นี่นับเป็นครั้งแรกที่ iPhone สามารถใช้งานร่วมกับระบบเครือข่าย 5G ได้ รวมถึง 5G ในประเทศไทย เรียกว่าพร้อมใช้งานตั้งแต่แกะกล่อง โดยขณะนี้คลื่นความถี่ 5G ที่เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยแล้วก็คือคลื่น 2600 MHz (n41) ของเครือข่าย AIS กับ TrueMove H ที่ครอบคลุมทั่วไทยครบทั้งกรุงเทพมหานคร และในอีก 76 จังหวัด ซึ่ง iPhone 12 Series สามารถใช้งานได้ทันที รวมทั้งคลื่นความถี่ 700 MHz (n28) ที่คาดว่าพร้อมเปิดให้บริการเพิ่มเติมภายในปี 2564 นี้

พร้อมทั้งมีโหมด Smart Data (5G Auto) สำหรับสลับการใช้งานระหว่าง 5G กับ 4G โดยอัตโนมัติ สั่งเปิด 5G เฉพาะการใช้งานที่จำเป็น เช่นการใช้งานที่ต้องอาศัยการดาวน์โหลด-อัปโหลดข้อมูลในปริมาณมาก หรือการใช้งานที่ต้องมีค่า Latency ต่ำ (ความหน่วงต่ำ) เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ดี iPhone 12 Series โมเดลที่วางจำหน่ายในประเทศไทยรองรับเฉพาะเทคโนโลยี 5G Sub-6 GHz เท่านั้น ซึ่ง เร็วกว่า 4G ราว 2 เท่า (ในไทยความเร็วสูงสุดจะอยู่ราว 1 Gbps)  แต่ ไม่รองรับเทคโนโลยี 5G mmWave ที่มีความเร็วสูงสุดได้ถึง 4 Gbps ซึ่งเป็นโมเดลที่ วางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

นอกจากนี้ก็ยังสามารถเลือก Data Mode ได้ตามปริมาณของข้อมูลที่ใช้งานจริง

ระบบนำทางแม่นยำขึ้น เร็วขึ้น และครอบคลุมพื้นที่มากกว่าเดิม

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แต่มีความสำคัญอย่างหนึ่งของ iPhone 12 Series ก็คือเพิ่มการนำทางด้วยระบบดาวเทียม BeiDou Navigation Satellite System (BDS) ของประเทศจีน ด้วยดาวเทียมที่ลอยอยู่บนวงโคจรโลกกว่า 35 ดวง ซึ่ง iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ไม่รองรับ ดังนั้นในคราวนี้จึงรองรับระบบนำทางด้วยดาวเทียม หรือ Global Navigation Satellite System (GNSS) ระบบหลักๆ ของโลกได้ครบทั้ง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou ซึ่งส่งผลให้การทำงานของระบบนำทาง หรือการระบุตำแหน่ง มีความรวดเร็วแม่นยำมากขึ้น รวมทั้งมีสัญญาณที่ ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลกมากกว่าเดิม อีกทั้งระบบ BeiDou ยังเป็นระบบที่ใหม่กว่าระบบ GPS ที่พัฒนามาตั้งแต่ปี 1970 ค่อนข้างมาก ดังนั้นเทคโนโลยีย่อมมีความสดใหม่ทันสมัยกว่าด้วยนั่นเอง

ลำโพงคู่เสียงดีมีมิติ พร้อมระบบบันทึกเสียงที่ยอดเยี่ยม

หนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจหลังจากที่ได้ใช้งาน iPhone 12 Pro Max ก็คือเรื่องของระบบเสียงนั่นเอง ทั้งการเล่นเสียง และการบันทึกเสียง ด้านการเล่นเสียง ด้วย ลำโพงคู่ (Stereo Speakers) คุณภาพสูง ที่อยู่บริเวณ ด้านบนตรงรอยบาก (Notch) กับด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งจะว่าไปแล้วน่าจะเป็นสมาร์ทโฟนที่มีเสียงจาก ลำโพงคู่สเตอริโอที่ฟังไพเราะได้อรรถรสอันดับต้นๆ ในตลาดขณะนี้ ด้วยมิติเสียงที่สัมผัสได้ถึงทิศทางที่หลากหลายด้วยระบบเสียงแบบ Dolby Atmos , พลังเสียงที่ดังชัดเจนไม่แตกพร่า, เสียงเบสที่ให้ความรู้สึกทุ้มลุ่มลึก,ช่วงเสียงกลางที่ยอดเยี่ยม และช่วงเสียงสูง

ส่วนระบบการบันทึกเสียง ก็มาพร้อมกับ ไมโครโฟน 2 ตัว ที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเสียงรบกวน (Noise) ในสภาพแวดล้อม เพื่อให้เสียงที่บันทึกมีความชัดเจนในส่วนที่เราให้ความสำคัญ และยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Audio Zoom สำหรับการถ่ายวิดีโออีกด้วย

ระบบสดใหม่ด้วย iOS 14.4 พร้อมปลดล็อกการถ่ายภาพแบบ ProRAW

โดยพื้นฐานแล้ว iPhone 12 Series นั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง iOS 14 เช่นเดียวกับ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ที่สามารถอัปเดตได้ ย้อนไปถึงรุ่น iPhone 6s ซึ่งฟีเจอร์บน iOS 14 ถูกอัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ พลิกโฉมหน้า Home Screen ใหม่ด้วย Widget เป็นครั้งแรก

รวมทั้งการจัดระเบียบแอปพลิเคชันใหม่ใน App Library , ดีไซน์ที่เรียบง่ายสำหรับการใช้งานโทรศัพท์ กับ Siri, การปักหมุดข้อความโปรด, การเพิ่มทรงผม เครื่องประดับ กับสติกเกอร์ Memoji ใหม่ๆ, การเพิ่มเส้นทางปั่นจักรยานในแผนที่, การ ปรับปรุงประสิทธิภาพในการถ่ายรูปแบบช็อตต่อช็อต และอีกมากมาย

และหลังจากที่ได้ทำการอัปเดต iOS 14.3 ฟีเจอร์ที่สำคัญสำหรับกล้องอย่างการถ่ายภาพแบบ Apple ProRAW ก็ถูกปลดล็อกให้สามารถใช้งานได้เรียบร้อยแล้ว และ ใช้งานได้เฉพาะบน iPhone 12 Pro กับ 12 Pro Max เท่านั้น โดยรองรับการถ่ายแบบ ProRAW ได้ทุกกล้อง ทั้งกล้อง Wide, Ultra Wide, Telephoto และกล้อง TrueDepth ที่ด้านหน้า ซึ่งรองรับทั้งโหมดถ่ายภาพปกติ กับโหมดถ่ายภาพกลางคืน รวมทั้งขณะใช้ Smart HDR กับ Deep Fusion โดยไฟล์ภาพแบบ ProRAW นั้นจะเป็นการรวมข้อมูลของภาพ RAW มาตรฐาน เข้ากับการประมวลผลภาพของ iPhone ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถนำมาปรับแก้การเปิดรับแสง, สี และสมดุลสีขาวในรูปภาพได้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งไฟล์ Apple ProRAW นี้เราสามารถนำมาปรับแต่งได้ทันทีด้วยแอปพลิเคชันรูปภาพใน iPhone นั่นเอง รวมทั้งแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่รองรับ

นอกจากนี้ iOS 14.3 ก็ยังมาพร้อมกับการรองรับ Apple Fitness+ สำหรับการออกกำลังกายรูปแบบใหม่, รองรับ AirPods Max หูฟังแบบครอบหูที่กำลังมาแรง, แถบ Apple TV+ โฉมใหม่ และอื่นๆ ซึ่งเรียกได้ว่าช่วยให้ประสบการณ์การใช้งาน iPhone 12 Pro Max เครื่องนี้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ

และล่าสุดกับการอัปเดต iOS 14.4 ก็มีการอัปเกรดความสามารถใหม่หลายๆ อย่าง เช่นกล้องสามารถสแกน QR Code ที่เล็กลงได้, การเพิ่มตัวเลือกสำหรับระบุประเภทของอุปกรณ์ Bluetooth, การแจ้งเตือนเมื่อไม่สามารถตรวจสอบยืนยันได้ว่าเป็นกล้อง Apple ของแท้ และมีการแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในเวอร์ชันก่อนหน้านี้ เช่น ภาพประดิษฐ์ที่อาจแสดงเป็นรูปภาพ HDR, วิดเจ็ตฟิสเนสอาจไม่แสดงข้อมูลกิจกรรมล่าสุด, การป้อนข้อความจากแป้นพิมพ์อาจล่าช้า, แป้นพิมพ์ในแอปข้อความอาจไม่แสดงภาษาที่ถูกต้อง และการเปิดใช้งานการควบคุมสวิตช์ในการช่วยการเข้าถึงอาจทำให้ไม่สามารถรับสายโทรจากหน้าจอล็อกได้

เมื่อลากจากมุมบนขวาของหน้าจอลงมา ก็จะพบกับส่วนของ Control Center (ศูนย์ควบคุม) ซึ่งเป็นทางลัดสำหรับการปรับตั้งค่าการใช้งาน หรือเรียกฟังก์ชันพื้นฐานที่เปิดใช้งานบ่อยๆ เช่นการปรับความสว่างของหน้าจอ ซึ่งนอกจากจะเลือกระดับความสว่างได้แล้ว เราก็ยังเลือกโหมดการแสดงผลได้ 3 รูปแบบคือ Dark Mode สำหรับการแสดงผลแบบมืด, Night Shift สำหรับการแสดงผลในเวลากลางคืน หรือในที่มืด และ True Tone สำหรับการปรับแสงสีของหน้าจอให้โดยอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อม

พร้อมการเปิด-ปิดการใช้งานฟังก์ชัน Raise to Wake กับการขยายขนาดของการแสดงผล

เราสามารถเพิ่ม-ลดปุ่มควบคุม หรือปุ่มทางลัดเรียกใช้แอปพลิเคชันต่างๆ ในหน้า Control Center ได้เองตามต้องการ

สามารถปรับแต่งตัวเลือกสำหรับการเข้าถึงฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุด

ภาพพื้นหลัง เราสามารถเลือกใช้งานได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Dynamic, Stills และ Live รวมทั้งไฟล์รูปภาพต่างๆ ที่อยู่ภายในเครื่อง

หน้าตั้งค่า Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่ผู้ใช้ iPhone ในบ้านเราชอบใช้กันมาก เพราะสิ่งสำคัญคือคุยด้วยภาษาไทยได้นั่นเอง

มีแอปพลิเคชันสำหรับแจ้งเตือนการสัมผัสเชื้อ COVID-19 แต่น่าเสียดายที่ในประเทศไทยยังใช้งานไม่ได้ เนื่องจากหน่วยงานในบ้านเรายังไม่ได้นำเทคโนโลยี Exposure Notifications ที่พัฒนาจากความร่วมมือของ Apple กับ Google มาใช้งาน

จุดอ่อนของ iPhone 12 Pro Max

ไม่แถมอแดปเตอร์ ไม่แถมหูฟัง และยังคงใช้พอร์ต Lightning

แม้ทาง Apple จะชี้แจงเหตุผลว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อเป้าหมายของการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์บนโลก ตามนโยบายรักษ์โลกที่ Apple พยายามทำมาโดยตลอด แต่คงต้องยอมรับว่าการที่ iPhone 12 Series ไม่แถมอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่มาให้พร้อมใช้ในกล่องนั้น เป็นสิ่งที่น่าผิดหวังสำหรับผู้ซื้อ และอาจไม่ได้ช่วยลดปริมาณขยะอย่างที่คิด

อย่างแรกหากพิจารณาจากสายแบบ USB-C to Lightning ที่แถมมาให้ในกล่อง การจะนำไปใช้งานได้ ก็ ต้องใช้อแดปเตอร์ที่มีพอร์ต Output เป็นแบบ USB-C เท่านั้น ซึ่งแม้แต่อแดปเตอร์ในฝั่ง iPhone เอง ก็เพิ่งจะมีมาให้ในรุ่น iPhone 11 Pro กับ 11 Pro Max ในขณะที่ iPhone รุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านั้น ยังคงใช้อแดปเตอร์ที่มีพอร์ต Output เป็นแบบ USB-A เดิมๆ รวมทั้งสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ อีกจำนวนมากเช่นเดียวกัน อีกทั้งหากต้องการจะนำเอาอแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ มาใช้ พอร์ต Input ของ iPhone 12 Series ก็ยังไม่ใช่พอร์ตมาตรฐานอย่างUSB-C แต่ ยังเลือกใช้พอร์ต Lightning อยู่เช่นเดิม แม้อุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple จะเริ่มเปลี่ยนมาใช้พอร์ตแบบ USB-C แล้วก็ตาม ดังนั้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงหนีไม่พ้นการที่จะต้องเสียเงินซื้ออแดปเตอร์ใหม่ แต่อย่างน้อย Apple ก็ยังใจดี ลดราคาอแดปเตอร์ชาร์จเร็วลงมาเหลือ 690 บาท จากเดิม 1,190 บาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น

อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไปในกล่องของ iPhone 12 Series ก็คือ หูฟัง นั่นเอง จริงอยู่ว่าเทรนด์ของหูฟังในอนาคต หรือแม้แต่ในยุคนี้ก็คือแบบไร้สาย หรือแบบ True Wireless แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนอีกจำนวนมหาศาลทั่วโลกที่ยังไม่มีหูฟังแบบไร้สาย หรือหูฟังที่ใช้พอร์ตแบบ Lightning ดังนั้นหากต้องการดื่มด่ำกับเสียงจาก iPhone 12 Series ก็คงต้องยอมลงทุนซื้อหูฟังไร้สายมาใช้เพื่อให้เข้ากับ Ecosystem แห่งอนาคต

รอยบากยังใหญ่ กรอบเปื้อนง่าย กล้องหลังนูนขึ้นมาเยอะ

แม้รูปลักษณ์ภายนอกของ iPhone 12 Pro Max จะสวยล้ำหรูดูแพงแค่ไหน แต่ก็ยังมีบางจุดที่อาจยังไม่น่าประทับใจเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ รอยบาก (Notch) ที่ยังคงมีขนาดใหญ่เช่นเดิม เรียกว่ากินพื้นที่เข้าไปในหน้าจอไม่แพ้รุ่นก่อนหน้านี้

ส่วนกรอบด้านข้างอาจดูพรีเมียมเงางามด้วย สแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม แต่ความเงางามเป็นพิเศษนี้เองที่ต้องยอมแลกกับการ เกิดรอยนิ้วมือ, คราบมัน หรือคราบเปื้อนได้ง่าย เรียกว่าหากไม่คอยเช็ดเป็นระยะๆ ก็คงจะดูไม่งามสักเท่าใดนัก

อีกประการก็คือส่วนของ เลนส์กล้องด้านหลังทั้ง 3 เลนส์ นั้นมีความนูนขึ้นมาค่อนข้างมาก ไม่แบนราบเสมอไปกับตัวเครื่องด้านหลัง ดังนั้นเวลาวางเครื่องลงบนโต๊ะ หรือบนพื้นผิวใดๆ ก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดริ้วรอยอันไม่พึงประสงค์ หรือความเสียหายจากแรงกระแทกขึ้นมาได้

แต่หากต้องการอุปกรณ์เสริมสำหรับช่วย ปกป้องชุดเลนส์กล้องของ iPhone 12 Series นี้ เราก็มีมาแนะนำเช่นกัน นั่นคือ Hi-Shield Aluminium Lens กระจกกันรอยเลนส์กล้องที่ผลิตจาก Optical Glass ที่ใช้ในงานทดสอบทางแสงโดยเฉพาะ พร้อมขอบโลหะที่ทนทาน, ป้องกันรอยขีดข่วนได้ในระดับ 9H, มีทุกสีให้เลือกเข้ากับสีของตัวเครื่อง และที่สำคัญคือยังสามารถถ่ายภาพได้คมชัดแทบไม่ต่างไปจากเลนส์เดิมๆท่านใดสนใจก็สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ในราคาเริ่มต้นที่ 470 บาท

ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ จอไซส์ยักษ์ ใช้งานมือเดียวลำบาก

ด้วยหน้าจอของ iPhone 12 Pro Max ที่มีขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว ใหญ่ที่สุดเท่าที่ iPhone เคยมีมา ตัวเครื่องจึงต้องมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย เช่นกัน ด้วยความสูง 160.8 มิลลิเมตร กับความกว้าง 78.1 มิลลิเมตร ซึ่ง ส่งผลให้การใช้งานด้วยมือข้างเดียวลำบาก อยู่ไม่น้อย เช่นการเปิดหน้า Control Center ด้วยการลากจากมุมบนขวา, การเปิดดูข้อความแจ้งเตือนด้วยการลากจากมุมบนซ้าย, การป้อน Passcode, การพิมพ์ข้อความ และอื่นๆ

และแม้หน้าจอของ iPhone 12 Pro Max จะ ใหญ่กว่ารุ่นจอเล็กสุดอย่าง iPhone 12 mini อยู่ถึง 1.3 นิ้ว (จอ iPhone 12 mini มีขนาด 5.4 นิ้ว) แต่ UX/UI ของ iOS ยังไม่ได้ถูกปรับแต่งให้เหมาะสมกับหน้าจอขนาดใหญ่อย่างเต็มที่ เช่นไม่สามารถวางไอคอนแอปพลิเคชัน หรือวิดเจ็ตบนหน้า Home Screen ได้มากขึ้น (ได้แถวละ 4 ไอคอนเท่ากัน) หรือไม่สามารถเอื้อมนิ้วไปกดรหัส Passcode แถวบนสุด (เลข 1, 2 และ 3) ได้เมื่อถือด้วยมือข้างเดียว และแม้ว่า Apple จะมีฟีเจอร์ Reachability สำหรับย่อหน้าจอให้เล็กลงเพื่อให้นิ้วมือสามารถเอื้อมไปใช้งานได้ง่ายขึ้นแต่เมื่อผู้ใช้แตะเพียงไม่กี่ครั้ง หรือหากย่อหน้าจอไว้แต่ไม่ได้ใช้งาน ระบบก็จะขยายหน้าจอที่เพิ่งย่อลงมาให้กลับเป็นขนาดเดิม ดังนั้นหาก ใครที่ยังต้องใช้ความคล่องตัวของการใช้งานด้วยมือข้างเดียว การเลือก iPhone 12 mini ก็จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า

จอยังลื่นแค่ 60Hz และไม่ได้เกิดมาพร้อม ProMotion

ท่ามกลางคู่แข่งที่พัฒนามาใช้หน้าจอที่มีการแสดงผลอันลื่นไหลเนียนตามากกว่าระดับมาตรฐานที่ 60Hz ด้วยค่า Refresh Rate ที่เพิ่มขึ้นเป็น 90Hz ไปจนถึง 120Hz แต่เรือธงตัวท็อปล่าสุดอย่าง iPhone 12 Series ก็ยังคงเลือกใช้จอ 60Hz เช่นเดิม และไม่นำเอาเทคโนโลยี ProMotion 120Hz บน iPad Pro มาใส่ใน iPhone รุ่นใหม่ของตนเอง

ซึ่งการตัดสินใจเช่นนี้ของ Apple ก็อาจมีสาเหตุจากเรื่องของ การบริโภคพลังงาน ก็เป็นได้ เพราะเพียงแค่ 5G ก็ต้องอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั่นเอง

มีแค่ Face ID แต่ Touch ID ไม่มา และหน้าจอสแกนนิ้วไม่ได้

ท่ามกลางสถานการณ์ของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ทุกคนทั่วโลกล้วน ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ป้องกันไว้แทบจะตลอดเวลา แต่การที่ iPhone 12 Series มีเทคโนโลยี Face ID สำหรับยืนยันตัวตนเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นอุปสรรคต่อผู้ใช้งานยุคนี้อยู่ไม่น้อย เพราะหากต้องถอดหน้ากากสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกหน้าจอ หรือเข้าถึงการใช้งานอื่นๆ อยู่บ่อยๆ ก็คงจะไม่สะดวก และไม่ปลอดภัยจาก COVID-19 แม้จะมีเทคนิคที่ช่วยให้สามารถสแกนใบหน้าขณะสวมใส่หน้ากากได้อยู่ก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะใช้งานได้สมบูรณ์ และเป็นเหมือนการแก้ขัดเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นหาก Apple ยอมใส่ Touch ID, เทคโนโลยีสแกนนิ้วบนหน้าจอ หรือแบบอื่นๆ มาให้เป็นทางเลือกใน iPhone 12 Series ก็คงจะดีกว่านี้มาก

แบตเตอรี่เล็กลง อึดน้อยลง

จริงอยู่ที่ว่าตัวเครื่องของ iPhone 12 Pro Max นั้น บางเฉียบกว่า iPhone 11 Pro Max อยู่ถึง 0.7 มิลลิเมตร แต่นั่นก็มีส่วนให้ Apple ต้องลดขนาดของแบตเตอรี่ให้เล็กลง เหลือความจุที่ 3,687 mAh จากเดิมที่มีความจุ 3,969 mAh ส่งผลให้ระยะเวลาของการใช้งานสั้นลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโมเด็ม 5G ใน iPhone 12 Series อย่าง Qualcomm Snapdragon X55 นั้นบริโภคพลังงานค่อนข้างมาก ดังนั้นจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเปิดใช้งาน 5G เปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่จะลดลงเร็วกว่าตอนเปิดใช้งาน4G อย่างมีนัยสำคัญ จากที่ได้มีการทดสอบกันมา พบว่าใช้พลังงานมากกว่า 4G อยู่ราว 20% เลยทีเดียว จุดนี้จึงอาจเป็นจุดที่เสียเปรียบสมาร์ทโฟนเรือธง 5G ในฝั่งของแอนดรอยด์

ถ่ายวิดีโอสุดที่ความละเอียด 4K และถ่าย Slow Motion เร็วสุดเพียง 240 fps

ในขณะที่สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปรุ่นใหม่ๆ หลายรุ่นหลายค่าย สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 8K แต่ iPhone 12 Pro Max กลับถ่ายได้ที่ความละเอียด สูงสุดเพียงแค่ระดับ 4K ซึ่งมีความละเอียด น้อยกว่าวิดีโอ 8K ถึง 4 เท่า และเช่นเดียวกับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ในด้านของ iPhone 12 Pro Max สามารถถ่ายได้ที่ ความเร็วสูงสุดเพียง 240 fps ที่ความละเอียดระดับ 1080P ในขณะที่สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปคู่แข่งบางรุ่นสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 1080P ได้ที่ความเร็วถึง 960 fps หรือเร็วเหลือเชื่อได้ถึง 7680 fps ที่ความละเอียดระดับ 720P เลยทีเดียว

ใช้งาน 5G ไม่ได้ หากเปิดใช้งานระบบซิมคู่

ตามคุณสมบัติพื้นฐานของ iPhone 12 Series ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยนั้นสามารถ รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM) ในรูปแบบของ Nano SIM + eSIM นั่นคือสามารถใช้งาน 2 หมายเลขได้ภายในเครื่องเดียว แต่การใช้งานกับระบบเครือข่าย 5G ก็ยังมีจุดที่ติดขัดอยู่บ้าง นั่นคือ หากเปิดใช้งานระบบซิมคู่ เครื่องจะไม่สามารถใช้งานเครือข่าย 5G ได้ โดยเครื่องจะสลับไปใช้งานเครือข่าย 4G แทน แต่อย่างน้อยก็ยังมีวิธีแก้ไขง่ายๆ ด้วยตัวเองคือ ให้เราไปที่ส่วนของการตั้งค่าเครือข่าย (Cellular) แล้ว ปิดการใช้งานซิมใดซิมหนึ่งไปก่อน หลังจากนั้นอีกซิมที่ยังเปิดอยู่ก็จะสามารถใช้งาน 5G ได้ตามปกติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ของ iPhone 12 Pro Max

เปรียบเทียบภาพถ่ายระยะ Ultra Wide 0.5x, Wide 1x, Telephoto 2.5x (Optical), 6x Digital Zoom และ 12x Digital Zoom ตามลำดับ

เปรียบเทียบภาพถ่ายระยะ Ultra Wide 0.5x, Wide 1x, Telephoto 2.5x (Optical), 6x Digital Zoom และ 12x Digital Zoom ตามลำดับ

เปรียบเทียบภาพถ่ายระยะ Ultra Wide 0.5x, Wide 1x, Telephoto 2.5x (Optical), 6x Digital Zoom และ 12x Digital Zoom ตามลำดับ

เปรียบเทียบภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide) ที่ปิดฟังก์ชัน Lens Correction กับที่เปิดฟังก์ชัน Lens Correction ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Photo ในเวลากลางวัน-พลบค่ำ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Photo ในเวลากลางคืน (โหมดกลางคืน)

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Portrait ในเวลากลางวัน-พลบค่ำ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Portrait ในเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Panorama

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า TrueDepth ของ iPhone 12 Pro Max

เปรียบเทียบภาพถ่าย Selfie แบบกว้าง (Wide) และแบบปกติ (Normal)

เปรียบเทียบภาพถ่าย Selfie แบบปกติ และแบบสะท้อนกระจก (Mirror Front Camera)

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Portrait พร้อมค่ารูรับแสงที่ f4.5

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Portrait ในตอนกลางคืน พร้อมค่ารูรับแสงที่ f4.5

สรุปประสบการณ์จากการใช้งาน iPhone 12 Pro Max มาร่วมเดือน

หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาร่วมเดือนกับ iPhone 12 Pro Max ก็พบว่าสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปรุ่นใหญ่ใหม่ล่าสุดเครื่องนี้ มีจุดเด่นที่สร้างความประทับใจได้มากมาย แต่ก็ยังมาพร้อมกับจุดอ่อนที่ไม่น้อยเช่นกัน ดังรายละเอียดที่ได้แจกแจงกันไปแล้วข้างต้น ซึ่งโดยรวมแล้วสิ่งที่น่าประทับใจเป็นพิเศษใน iPhone 12 Pro Max ก็เริ่มตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่ บางเฉียบดูดีมีความพรีเมียม เรียกว่าได้ความรู้สึกภูมิฐานทุกครั้งเมื่อได้จับถือขึ้นมาใช้งาน บวกกับการแสดงผลที่สวยงามเต็มตาเต็มอรรถรสด้วยจอไซส์ยักษ์ อีกทั้งยังแข็งแกร่งทนทานขึ้นด้วยเทคโนโลยี Ceramic Shield กับประสิทธิภาพของ การประมวลผลที่เร็วแรงที่สุด ในตลาดขณะนี้ แต่จะว่าไปแล้ว หากใครให้ความสำคัญที่ประสิทธิภาพของการประมวลผลเป็นหลัก โดยไม่เน้นเรื่องอื่นมากนัก การเลือก iPhone 12 mini ก็ให้ความเร็วแรงได้แทบไม่ต่างกัน ในราคาที่ถูกคุ้มค่ากว่ามาก

ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพก็ถูกอัปเกรดยกเครื่องใหม่ให้โดดเด่นไม่แพ้คู่แข่ง โดยเฉพาะการรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K Dolby Vision HDR พร้อมตัดต่อจบงานได้ในเครื่องเดียว, ระบบป้องกันการสั่นไหวด้วยการปรับตำแหน่งเซนเซอร์ ( Sensor Shift OIS ), หน่วยประมวลผลภาพใหม่ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของ Smart HDR 3 กับ Deep Fusion , รองรับ Deep Fusion ในทุกกล้อง, เทคโนโลยี LiDAR Scan ที่ไม่กลัวความมืด พร้อมยกระดับการใช้งานด้าน AR และการถ่ายภาพไฟล์ดิบแบบ ProRAW ไม่เพียงเท่านั้น เพราะแม้แต่ กล้องหน้า TrueDepth ก็มีดีไม่แพ้กันด้วยการถ่ายวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR , รองรับโหมดกลางคืน และมี Deep Fusion ให้ใช้งาน

นอกจากนี้ก็ยังมีสิ่งใหม่ๆ ที่โดดเด่นอีกหลายอย่าง ทั้งการ รองรับการใช้งานเครือข่าย 5G ในไทย ตั้งแต่แกะกล่อง, เทคโนโลยี MagSafe สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย, หน่วยความจำแรม (RAM) ที่เพิ่มขึ้นเป็นขนาด 6GB , ความจุเริ่มต้นที่เพียงพอสำหรับการใช้งานที่ 128GB , ระบบนำทางที่แม่นยำขึ้น เร็วขึ้น ครอบคลุมขึ้น และ ลำโพงคู่ เสียงดีมีพลังที่ช่วยให้เราดื่มด่ำไปกับความบันเทิงได้อย่างเต็มที่

ส่วน จุดอ่อน ที่ยังคงมีอยู่ใน iPhone 12 Pro Max ก็เริ่มตั้งแต่ รอยบาก (Notch) ที่ยังใหญ่ กินพื้นที่เยอะเช่นเดิม, กรอบตัวเครื่องที่ เป็นรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ง่าย , กล้องหลังที่นูนขึ้นมาเยอะ , ตัวเครื่องที่มี ขนาดใหญ่ ใช้งานด้วยมือเดียวได้ลำบาก, จอแสดงผลที่ยังคงมีค่า Refresh Rate ที่ 60Hz , ไม่มีทางเลือกของเทคโนโลยียืนยันตัวตนอื่นๆ นอกจาก Face ID, ไม่มีอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ กับหูฟังแถมมาให้, แบตเตอรี่ที่เล็กลง ระยะเวลาใช้งานสั้นลง โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้งาน5G, การใช้งาน 5G ที่อาจยังมีจุดที่ติดขัดอยู่บ้าง และยังไม่เปลี่ยนมาใช้พอร์ตมาตรฐานยุคใหม่อย่าง USB-C

จุดพิจารณาอีกอย่างก็คือสำหรับใครที่ยังชอบสัมผัสของสมาร์ทโฟนที่กรอบตัวเครื่องมีความโค้งมนกระชับมือ ปุ่มกดเนียนๆ ไม่สะดุดนิ้ว รวมถึงขอบกระจกหน้าจอแบบโค้ง หรือแบบนูน การเลือกรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง iPhone 11 Pro Max ก็ยังถือว่าให้ประสบการณ์ของการใช้งานโดยรวม กับประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมไม่แตกต่างกันมากนัก

และทั้งหมดข้างต้นก็คือ บทสรุปของ iPhone 12 Pro Max จากประสบการณ์ที่ได้ใช้งานมาร่วมเดือน หากท่านผู้อ่านมีความเห็นเพิ่มเติม มีจุดไหนที่ยังไม่ตรงใจ หรือมีข้อสงสัย ก็สามารถแวะเวียนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนทรรศนะกันได้ครับ สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

สรุปคุณสมบัติ และราคาของ iPhone 12 Pro Max

รูปลักษณ์ภายนอก

- ดีไซน์ใหม่ด้วยกระจกด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ผสานกระจกด้านหลังแบบผิวด้าน และกรอบด้านข้างสแตนเลสสตีล - มี 4 สีมาตรฐานให้เลือก ได้แก่ Silver, Graphite, Gold และ Pacific Blue - ขนาดตัวเครื่อง 160.8x78.1x7.4 มิลลิเมตร - น้ำหนักตัวเครื่อง 228 กรัม - มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 (ความลึกสูงสุด 6 เมตร ในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) ภายใต้มาตรฐาน IEC 60529 - ลำโพงเสียงแบบคู่ในตัว (Stereo Speakers) - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning

จอแสดงผล

- จอ Super Retina XDR Display (OLED) ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778x1284 พิกเซล (458 ppi) - ค่า Contrast Ratio 2,000,000:1 - ค่าความสว่างสูงสุด 800 nits (Typical) หรือ 1,200 nits (HDR) - เทคโนโลยีเคลือบผิวแบบ Oleophobic Coating สำหรับป้องกันรอยนิ้วมือ - เทคโนโลยี HDR Display, True Tone, Wide Color (P3) และ Haptic Touch

Face ID

- เปิดใช้งานด้วยกล้อง TrueDepth เพื่อการจดจำใบหน้า

หน่วยประมวลผล

- ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic - หน่วยประมวลผล Neural Engine ยุคถัดไป

หน่วยความจำ

- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB, 256GB และ 512GB - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB

กล้องถ่ายภาพตัวหลักด้านหลัง

- กล้องแบบ Triple Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (Wide + Ultra Wide + Telephoto) - กล้อง Wide พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.6 และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Ultra Wide พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.4, มุมรับภาพ 120 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Telephoto พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.2 และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - ระยะซูมเข้าแบบ Optical 2.5 เท่า, ระยะซูมออกแบบ Optical 2 เท่า, ช่วงซูมแบบ Optical 5 เท่า และระยะซูมแบบ Digital 12 เท่า - ปกป้องหน้าเลนส์ด้วย Sapphire Crystal - ระบบป้องกันการสั่นแบบ Sensor-Shift OIS ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซนเซอร์ (ในกล้อง Wide) - ระบบป้องกันการสั่น OIS แบบคู่ (Dual OIS : ในกล้อง Wide กับกล้อง Telephoto) - เทคโนโลยี Focus Pixels 100% (กล้อง Wide) - การถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืน ทำได้ด้วย LiDAR Scanner - โหมดภาพบุคคลพร้อมโบเก้ และการควบคุมระยะชัดลึก - เอฟเฟกต์แสงไฟสำหรับโหมดภาพบุคคล 6 รูปแบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono และ High-Key Mono) - ไฟแฟลช True Tone ที่สว่างขึ้น พร้อมคุณสมบัติ Slow Sync - โหมดถ่ายภาพแบบ Panorama (ความละเอียดสูงสุด 63 ล้านพิกเซล) - โหมดถ่ายภาพกลางคืนในกล้องทุกตัว (กล้อง Wide, Ultra Wide และ Telephoto) - เทคโนโลยี Deep Fusion ในกล้องทุกตัว (กล้อง Wide, Ultra Wide และ Telephoto) - เทคโนโลยี Smart HDR 3 - ถ่ายภาพไฟล์ดิบแบบ Apple ProRAW - บันทึกขอบเขตสีกว้างสำหรับภาพถ่าย และ Live Photos - ปรับแก้ความบิดเบี้ยวของเลนส์ (กล้อง Ultra Wide) - ฟังก์ชันแก้ไขตาแดงขั้นสูง - แนบข้อมูลพิกัดไปกับภาพถ่าย - ระบบป้องกันการสั่นไหวอัตโนมัติ - โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง - บันทึกไฟล์ภาพในรูปแบบ HEIF และ JPEG

การถ่ายวิดีโอของกล้องตัวหลักด้านหลัง

- ถ่ายวิดีโอแบบ HDR พร้อม Dolby Vision ที่ความเร็วสูงสุด 60 fps - ถ่ายวิดีโอ 4K ที่ความเร็ว 24 fps, 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps - ถ่ายวิดีโอ Full HD 1080P ที่ความเร็ว 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps - ถ่ายวิดีโอ HD 720P ที่ความเร็ว 30 fps - ระบบป้องกันการสั่นแบบ Sensor-Shift OIS สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้อง Wide - ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้อง Ultra Wide และ Telephoto) - ระยะซูมเข้าแบบ Optical 2.5 เท่า, ระยะซูมออกแบบ Optical 2 เท่า, ช่วงซูมแบบ Optical 5 เท่า และระยะซูมแบบ Digital 7 เท่า - ระบบบันทึกเสียงแบบ Stereo - ฟังก์ชัน Audio Zoom - ไฟแฟลช True Tone ที่สว่างกว่าเดิม - ฟังก์ชัน QuickTake Video - ถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ความละเอียดระดับ Full HD 1080P ที่ความเร็ว 120 fps หรือ 240 fps - ถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse พร้อมระบบป้องกันการสั่น - ถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse ด้วยโหมดกลางคืน - Dynamic Rage กว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีความเร็วสูงสุด 60 fps - ระบบป้องกันการสั่นไหวระดับภาพยนตร์ สำหรับวิดีโอความละเอียดระดับ 4K, Full HD 1080P และ HD 720P - ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง - บันทึกภาพถ่ายความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขณะที่กำลังถ่ายวิดีโอ 4K - ฟังก์ชัน Playback Zoom - บันทึกไฟล์วิดีโอในรูปแบบ HEVC และ H.264

กล้องถ่ายภาพ TrueDepth ด้านหน้า

- ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.2 - โหมดภาพบุคคล พร้อมโบเก้ระดับสูง และการควบคุมระยะชัดลึก - เอฟเฟกต์แสงไฟสำหรับโหมดภาพบุคคล 6 รูปแบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono และ High-Key Mono) - ฟังก์ชัน Animoji และ Memoji - โหมดกลางคืน - เทคโนโลยี Deep Fusion - เทคโนโลยี Smart HDR 3 - ถ่ายวิดีโอแบบ HDR พร้อม Dolby Vision ที่ความเร็วสูงสุด 30 fps - ถ่ายวิดีโอ 4K ที่ความเร็ว 24 fps, 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps - ถ่ายวิดีโอ Full HD 1080P ที่ความเร็ว 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps - ถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ความละเอียดระดับ Full HD 1080P ที่ความเร็ว 120 fps - ถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse พร้อมระบบป้องกันการสั่น - ถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse ด้วยโหมดกลางคืน - Dynamic Rage กว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีความเร็วสูงสุด 60 fps - ระบบป้องกันการสั่นไหวระดับภาพยนตร์ สำหรับวิดีโอความละเอียดระดับ 4K, Full HD 1080P และ HD 720P - ฟังก์ชัน QuickTake Video - บันทึกขอบเขตสีกว้างสำหรับภาพถ่าย และ Live Photos - ปรับแก้ความบิดเบี้ยวของเลนส์ - ไฟแฟลช Retina - ระบบป้องกันการสั่นแบบอัตโนมัติ - โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง

เทคโนโลยีเครือข่าย

- เทคโนโลยี 5G (Sub-6GHz) - รองรับ 5G NR (ย่านความถี่ n1, n2, n3, n5, n7, n8, n12, n20, n25, n28, n38, n40, n41, n66, n71, n77, n78 และ n79) - เทคโนโลยี Gigabit LTE พร้อม MIMO แบบ 4x4 และ LAA4 - รองรับ FDD-LTE (ย่านความถี่ 1, 2, 3, 4, 5, 7, 8, 12, 13, 17, 18, 19, 20, 25, 26, 28, 30, 32 และ 66) - รองรับ TD-LTE (ย่านความถี่ 34, 38, 39, 40, 41, 42, 46 และ 48) - รองรับ UMTS/HSPA+/DC-HSDPA (850, 900, 1700/2100, 1900 และ 2100 MHz) - รองรับ GSM/EDGE (850, 900, 1800 และ 1900 MHz) - เทคโนโลยี Wi-Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) พร้อม MIMO แบบ 2x2 - รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + eSIM)

เทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สาย

- Bluetooth 5.0 - NFC พร้อมโหมดตัวอ่าน - ชิป Ultra Wideband สำหรับการรับรู้ตำแหน่ง - Express Cards พร้อมคุณสมบัติประหยัดพลังงาน

เทคโนโลยีระบุตำแหน่งที่ตั้ง

- รองรับระดับดาวเทียม GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou - เข็มทิศดิจิทัล (Digital Compass) - Wi-Fi - Cellular - iBeacon สำหรับระบุตำแหน่งในอาคาร

แบตเตอรี่

- แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 3,687 mAh - เทคโนโลยี MagSafe สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายด้วยกำลังไฟสูงสุด 15W - รองรับมาตรฐาน Qi สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายด้วยกำลังไฟสูงสุด 7.5W - ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง ด้วยกำลังไฟสูงสุด 20W (ชาร์จได้ 50% ภายในเวลา 30 นาที)

เซนเซอร์

- Face ID - LiDAR Scanner - Barometer - 3-Axis Gyro - Accelerometer - Proximity - Ambient Light

การเล่นเสียง

- รูปแบบไฟล์เสียงที่รองรับ : AAC-LC, HE-AAC, HE-AAC v2, Protected AAC, MP3, Linear PCM, Apple Lossless, FLAC, Dolby Digital (AC3), Dolby Digital Plus (E-AC-3), Dolby Atmos และ Audible (formats 2, 3, 4, Audible Enhanced Audio, AAX และ AAX+) - การเล่นเสียงแบบรอบทิศทาง - ผู้ใช้งานสามารถกำหนดระดับเสียงสูงสุดได้ด้วยตนเอง

การเล่นวิดีโอ

- รูปแบบไฟล์วิดีโอที่รองรับ : HEVC, H.264, MPEG-4 Part 2, Motion JPEG - รองรับ HDR แบบ Dolby Vision, HDR10 และ HLG - รองรับ AirPlay ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K HDR สำหรับการใช้ Mirroring, ดูรูปภาพ และวิดีโอ ที่ Apple TV (รุ่นที่ 2 หรือใหม่กว่า) หรือ Smart TV ที่รองรับ AirPlay 2 - รองรับ Video Mirroring และ Video Out : ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P ผ่านอแดปเตอร์ Lightning Digital AV และอแดปเตอร์ Lightning to VGA

การโทรแบบวิดีโอ (Video Calling)

- โทรแบบวิดีโอด้วย FaceTime ผ่านระบบ Cellular หรือ Wi-Fi - โทรแบบวิดีโอด้วย FaceTime HD (1080P) ผ่านระบบ 5G หรือ Wi-Fi

การโทรแบบเสียง (Audio Calling)

- โทร FaceTime แบบเสียง - Voice over LTE (VoLTE) - Wi-Fi Calling

คุณสมบัติอื่นๆ

- Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียง - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 14 (เวอร์ชันล่าสุดคือ iOS 14.4) - แถมฟรีสาย USB-C to Lightning (1 เมตร) มาพร้อมกับชุดจำหน่ายมาตรฐาน

ราคา iPhone 12 Pro Max ในประเทศไทย

- iPhone 12 Pro Max 128GB ราคา 39,900 บาท - iPhone 12 Pro Max 256GB ราคา 43,900 บาท - iPhone 12 Pro Max 512GB ราคา 51,900 บาท

สรุปคุณสมบัติ และราคาของ iPhone 12 Series ทุกรุ่นย่อย

Leave a Comment