รีวิว OPPO Reno2 F สมาร์ทโฟน 4 กล้อง พร้อมจอไร้รอยบาก แบตชาร์จเร็วสุดอึด และสเปกจัดเต็มสดใหม่ ในราคาหมื่นต้นๆ :: Thaimobilecenter.com OPPO Reno 2 F

สมาร์ทโฟน 4 กล้อง 48MP พร้อมจอไร้รอยบาก, แบตชาร์จเร็วสุดอึด และสเปกจัดเต็มสดใหม่ ในราคาหมื่นต้นๆ ด้วยกล้อง Quad Camera 48 ล้านพิกเซล ผสานกล้องหน้า Rising Camera 16 ล้านพิกเซล, จอ AMOLED Panoramic Screen 6.5 นิ้ว พร้อมสแกนนิ้วบนหน้าจอ, แบตเตอรี่ VOOC Flash Charge 3.0 จุใจ 4000 mAh, ชิปเซ็ต Helio P70, ROM 128GB+RAM 8GB และระบบเสียง Dolby Atmos บนบอดี้กระจกโค้ง 3 มิติสวยพรีเมียม ในราคา 11,990 บาท

21 ตุลาคม 2019 - หลายท่านอาจจะสังเกตเห็นได้ว่าในปัจจุบันสมาร์ทโฟนตระกูล F-Series ของ OPPO ไม่มีการเปิดตัวให้เห็นแล้วหลังจากที่เปิดตัว OPPO F11 Pro ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาในประเทศไทย ส่งผลให้หลายท่านเกิดความสงสัยว่าทาง OPPO เลิกพัฒนาสมาร์ทโฟนซีรีส์ดังกล่าวหรือไม่? ซึ่งก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะทาง OPPO ได้เปิดเผยออกมาให้ทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า นับจากนี้ไป สมาร์ทโฟน F-Series จะถูกยุบรวมเข้ากับซีรีส์ Reno พร้อมรหัส F พ่วงต่อท้าย ซึ่งในปัจจุบันก็มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟน F-Series ยุคใหม่ให้เห็นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วภายใต้ชื่อรุ่น OPPO Reno2 F ที่เปิดตัวควบคู่มากับ OPPO Reno2 Series รุ่นอื่นๆ นั่นเอง

แน่นอนว่าการที่ OPPO Reno2 F เข้ามาอยู่ภายใต้ซีรีส์เด่นอย่าง Reno ที่เคยสร้างความฮือฮาให้แก่ OPPO ก็ต้องมากับคุณสมบัติภายในที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดย OPPO Reno2 F ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการจัดเต็มมาตั้งแต่หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED แบบไร้รูไร้รอยบาก หรือที่รู้จักกันในชื่อ Panoramic Screen แบบเดียวกับที่เคยใช้บนรุ่นเรือธงรุ่นพี่อย่าง OPPO Find X พร้อมดีไซน์ที่มีความสวยงามพรีเมียมด้วยฝาหลัง 3 มิติโค้งมนผิวสัมผัสเงา กับความแข็งแกร่งของกระจก Gorilla Glass 5 ที่สามารถสะท้อนความหรูหราออกมาให้เห็นกันแบบเด่นชัดยามตัวเครื่องกระทบกับแสง ซึ่งเรียกได้ว่าแม้จะเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง แต่ได้ DNA มาจากรุ่นเรือธงแบบเต็มๆ

นอกเหนือจากความพรีเมียมด้านการออกแบบแล้ว OPPO Reno2 F ยังจัดเต็มด้านสเปกด้วยการเลือกใช้ขุมพลังระดับรองท็อปอย่าง MediaTek Helio P70 ประกบคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB พร้อมหน่วยความจำภายในที่เพียงพอต่อการใช้งานที่ 128GB ซึ่งผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมผ่านการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD Card ได้อีกสูงสุด 256GB นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 9 (Pie) ที่ถูกครอบทับด้วย ColorOS 6.1 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับความสดใหม่ด้านลูกเล่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทุกระดับ

ด้านการถ่ายภาพก็ครบเครื่องไม่แพ้กัน ด้วยชุด กล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล ที่มีเลนส์การถ่ายภาพครอบคลุมทุกระยะไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพมุมกว้าง หรือการถ่ายภาพระยะใกล้ พร้อมกล้องหน้าเซลฟี่สุดล้ำแบบ Rising Camera คมชัดระดับ 16 ล้านพิกเซล ที่รองรับการถ่ายภาพแบบหลากหลาย เช่น การถ่ายภาพเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอ หรือการถ่ายภาพแบบ AI Beauty ที่ปรับแต่งใบหน้าผู้ใช้งานได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติตามสไตล์ OPPO

สำหรับ OPPO Reno2 F เปิดราคาวางจำหน่ายในบ้านเราเอาไว้ที่ 11,990 บาท ซึ่งหากพิจารณจากข้อมูลคุณสมบัติในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า OPPO Reno2 F เป็นสมาร์ทโฟนสเปกครบเครื่องในช่วงราคาหมื่นต้นๆ ที่น่าสนใจอีกรุ่นหนึ่ง ณ ชั่วโมงนี้เลยทีเดียว โดยตัวเครื่องจริงจะมีความสวยงามเพียงใด และจะมีฟีเจอร์อะไรให้เลือกใช้งานบ้าง เราไปติดตามรีวิวจากทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

สำหรับ OPPO Reno2 F มาพร้อมกับกล่องแพ็กเกจสีเงินเหมือนกับ Reno รุ่นก่อนๆ พร้อมพิมพ์ลวดลายด้านหลังของตัวเครื่องด้วยสีเงินที่สามารถสะท้อนแสงออกมาเป็นสีรุ้ง ซึ่งตัดรับเข้ากับสีกล่องบรรจุภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

อุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่อง ประกอบไปด้วย สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่หรือโอนถ่ายข้อมูล, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, เคสใส, คู่มือการใช้งาน, หูฟังพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อแบบ 3.5 มม., เอกสารการรับประกัน และอแดปเตอร์ชาร์จไฟ

ภาพขณะสวมใส่เคสใสที่แถมมาในกล่องบรรจุภัณฑ์

สำหรับอแดปเตอร์ชาร์จไฟของ OPPO Reno2 F รองรับกกำลังการชาร์จสูงสุดที่ 5V/4A (20W) ซึ่งเป็นความเร็วของเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0 โดย OPPO ระบุว่า สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-51% ได้ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น

มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno2 F มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล) ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 บนดีไซน์หน้าจอแบบ Panoramic Screen ซึ่งเป็นหน้าจอแบบไร้ขอบทั้งสี่ด้าน ไม่มีรอยบากมาบดบังการแสดงผลให้กวนใจ ส่งผลให้ OPPO Reno2 F มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 91.1%

ที่ด้านบนของหน้าจอติดตั้งเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Ambient Light Sensor สำหรับปรับระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และปุ่มกดให้เหมาะสม พร้อม Proximity Light Sensor สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน รวมทั้งยังมีการซ่อนลำโพงสนทนาเอาไว้อย่างแนบเนียนที่บริวเวณขอบด้านบนของตัวเครื่อง

ที่ด้านล่างของหน้าจอมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบ สัมผัสบนหน้าจอ (On-screen Navigation) ที่ผู้ใช้สามารถสลับไปใช้งานการควบคุมแบบ Gesture ซึ่งเป็นการใช้นิ้วลากสัมผัสบริเวณขอบด้านล่างได้ด้วยตนเอง

นอกจากนี้ OPPO Reno2 F ยังติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock) เวอร์ชัน 3.0 ซึ่งทาง OPPO ระบุว่า พื้นที่ในการปลดล็อก (Unlock Area) จะมีความสว่างขึ้นกว่าเดิมราว 16% ส่ง ผลให้ปลดล็อกได้เร็วขึ้นกวา่เดิมราว 11.3% เลยทีเดียว

ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งไมโครโฟนตัวที่ สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และกลไกกล้องแบบ Pop-up Camera เอาไว้

สำหรับกล้องหน้าของ OPPO Reno2 F มาพร้อมกับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง 16 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ ที่ด้านข้างของกลไกลกล้องจะมีไฟแสดงสถานะเมื่อกล้องเลื่อนขึ้น-ลง ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนสีของไฟสถานะได้เองถึง 12 เฉดสี

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องติดตั้งปุ่มปรับระดับ เสียงมาให้ใช้งาน

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ หรือเปิด-ปิด เครื่อง พร้อมแต้มสีเขียวอ่อนเอาไว้ให้มองเห็นได้ง่ายขึ้น พร้อมถาดใส่ซิมการ์ด

สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ OPPO Reno2 F เป็นแบบ Triple Slot รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ nanoSIM ทั้งสองซิมการ์ด และสามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ได้ที่ความจุสูงสุด 256GB

ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม., ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลักของตัวเครื่อง

ที่ด้านหลังตัวเครื่องมาพร้อมกับบอดี้กระจกขอบ โค้งทั้งสองด้าน ตอบโจทย์การใช้งานด้วยมือเดียวเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีการเคลือบผิวสัมผัสแบบ Twilight Mist ที่ทาง OPPO ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ  โดยเป็นการใช้เทคนิคการใช้สีเข้มผสมกับสีอ่อนที่สามารถสะท้อนเปลี่ยนเฉดสีได้ตามมุม แสงที่ตกกระทบ สำหรับสีที่ทุกท่านกำลังได้รับชมอยู่นี้คือสีเขียว Lake Green ครับ

ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งชุดกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79, กล้อง Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล องศาในการรับภาพกว้าง 119 องศา พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.2, กล้อง Mono Lens ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 และกล้อง Portrait Lens ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 ส่วนโมดูลที่อยู่ด้านบนสุดของชุดกล้องถ่ายภาพก็ คือ O-Dot ซึ่งมีหน้าที่คอยช่วยปกป้องเลนส์กล้องจากรอยขีดข่วนเมื่อผู้ใช้วางสมาร์ทโฟนบนพื้น ผิวต่างๆ ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่มีมาตั้งแต่ Reno รุ่นแรกนั่นเองครับ และหากสังเกตดีๆ จะพบว่าชุดกล้องของ OPPO Reno2 F จะมีความเรียบเนียนเป็นชิ้นเดียวกับตัวเครื่อง รวมทั้งยังมีการจัดเรียชุดกล้อง, O-Dot พร้อมโลโกของ OPPO เอาไว้เป็นแนวเส้นเรียงตรงกัน ตามคอนเซ็ปท์ Symmetry Design หรือดีไซน์ที่เน้นไปในเรื่องของความสมมาตรนั่นเอง

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

OPPO Reno2 F ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 9 (Pie) ครอบทับด้วย ColorOS เวอร์ชัน 6.1 ใหม่ล่าสุด ที่เน้นอัปเกรดไปในเรื่องของประสบการณ์การใช้งาน (Usage Experience) ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากยิ่งขึ้น

รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการสแตนด์บาย และเชื่อมต่ออินเทอร์บนเครือข่าย 4G LTE เฉพาะซิมการ์ดที่ 1 แต่รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านโครงข่าย Wi-Fi ทั้งสองซิมการ์ด

สำหรับหน้าโฮมสกรีนของ OPPO Reno2 F จะเรียงไอคอนแอปพลิเคชันทั้งหมดเอาไว้บนหน้าจอ ซึ่งผู้ใช้สามารถจัดตำแหน่งแอปพลิเคชัน หรือจัดกลุ่มเป็นโฟลเดอร์ได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่แตะค้างที่ไอคอนแอปพลิเคชันนั้นๆ

เมื่อปัดไปทางซ้ายจะพบกับ Smart Assistant หรือหน้าที่รวบรวมคีย์ลัด และการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสำคัญๆ เอาไว้ สามารถเปิดใช้งานได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่แตะครั้งเดียว (One-tap Access) โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาของ Smart Assistant ได้ด้วยตนเองผ่านการแตะที่ไอคอน + บริเวณมุมขวาบน

สำหรับ Toggle Switch หรือศูนย์รวมคีย์ลัดต่างๆ ยังคงจัดวางไว้ในตำแหน่งเดิม สามารถเรียกใช้งานง่ายๆ เพียงแค่ลากนิ้วจากขอบด้านบนลงมายังด้านล่าง

ส่วนทางด้าน Notification Center ซึ่งเป็นศูนย์รวมการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถใช้นิ้วลากไปที่ด้านบนเพื่อดูการแจ้งเตือนแบบเต็มหน้าจอได้ รวมทั้งยังมีฟังก์ชัน Unimportant Notification ที่ช่วยผู้ใช้คัดกรองการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นจากบางแอปพลิเคชันอีกด้วย

สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมากับตัวเครื่อง จะแบ่งออกเป็น แอปพลิเคชันจาฝั่ง Google อย่างเช่น Chrome, Gmail หรือ Maps และแอปพลิเคชันเครื่องมือพื้นฐาน เช่น เข็มทิศ, เครื่องคิดเลข หรือเครื่องบันทึกเสียง

มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Phone Manager ที่เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันสำหรับช่วยจัดการเกี่ยวกับระบบต่างๆ ภายในตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น Clean Up Storage สำหรับกำจัดไฟล์ต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในตัวเครื่องให้มากขึ้น, Virus Scan สำหรับตรวจหาไวรัส หรือ Payment Protection สำหรับช่วยให้การทำธุรกรรมการเงินบนแอปพลิเคชันต่างๆ มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ด้านแอปพลิแกลอรีภาพ (Photo) รองรับการแสดงภาพถ่ายทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Photo แสดงภาพถ่าย และวิดีโอทั้งหมดภายในตัวเครื่อง, Albums แสดงภาพถ่าย และวิดีโอแยกตามหมวดหมู่ และ Memories แสดงภาพถ่ายตามช่วงเวลาต่างๆ

ส่วนแอปพลิเคชันจัดการไฟล์ File Manager มีการออกแบบที่เน้นไปในเรื่องของความสะดวกด้านการใช้งาน ด้วยการแบ่งประเภทของไฟล์ต่างๆ เอาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ พร้อมแสดงเนื้อที่ภายในตัวเครื่องที่ถูกใช้ไปที่ด้านล่าง และยังมีฟังก์ชัน Clean Storage สำหรับช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในตัวเครื่องอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชัน Game Space 2.0 สำหรับช่วยรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้อยู่ในระดับสูงุสด ผ่านการจัดสรรทรัพยากรภายในตัวเครื่อง รวมทั้งภายใน Game Space 2.0 ผู้ใช้ยังสามารถเลือกปรับโหมดการทำงานได้ถึง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Competitive Mode โหมดที่ช่วยรีดประสิทธิภาพการทำงาน, เฟรมเรท รวมถึงการตอบสนองของตัวเครื่อง แต่จะบริโภคพลังงานมากขึ้น, Balanced Mode โหมดที่เน้นไปในทั้งเรื่องประสิทธิภาพ และการประหยัดพลังงานแบบสมดุล และ Low Power Consumption Mode โหมดที่ช่วยปรับลดคุณภาพกราฟิกภายในเกม เพื่อช่วยให้เล่นได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเลือกบล็อกการแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การปิดการแจ้งเตือนสายเรียกเข้า หรือการปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีสมาธิอยู่กับเกมการแข่งขันมากที่สุดนั่นเอง

มาดูที่ลูกเล่นด้านการใช้งานกันบ้าง โดยผู้ใช้สามารถปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอได้ด้วยตนเองผ่านการเลื่อนแถบสไลด์ระหว่าง Cooler (ปรับเป็นโทนเย็น) และ Warmer (ปรับเป็นโทนอุ่น) รวมทั้งยังมีฟังก์ชัน Night Shield สำหรับลดแสงสีฟ้าซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อดวงตาผู้ใช้งาน พร้อมปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น ตอบโจทย์การใช้งานในเวลากลางคืนได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน Low-Brightness Flicker-Free Eye Care ที่ช่วยป้องกันอาการหน้าจอกระพริบเมื่อลดแสงอยู่ในระดับต่ำ แต่เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดจุดรบกวน (Noise) บนสมาร์ทโฟนเล็กน้อย

สามารถเปิด-ปิด เอฟเฟ็กต์เสียง Dolby Atmos พร้อมเลือกรูปแบบเสียงได้ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ Smart สำหรับปรับแต่งเสียงให้เข้ากับคอนเทนต์ที่กำลังเล่นอยู่แบบอัตโนมัติ, Movie สำหรับปรับแต่งเสียงแบบรอบทิศทางให้ดูสมจริง พร้อมกับปรับเสียงเบสให้ดูหนักแน่นยิ่งขึ้น, Gaming ปรับแต่งเสียงเบส และคุณภาพเสียงให้เหมาะแก่การเล่นเกม และ Music สำหรับปรับเสียงต่างๆ ให้อยู่ในสภาพสมดุล ตอบโจทย์การฟังเพลงทุกแนว

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Smart Services ซึ่งภายในประกอบไปด้วยฟังก์ชัน Smart Driving หรือโหมดที่ถูกออกแบบมาขณะขับรถโดยเฉพาะ โดยระบบจะทำการปิดการแจ้งเตือนแบบ Banner จากแอปพลิเคชันต่างๆ แบบอัตโนมัติ รวมทั้งผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่ารายชื่อที่อนุญาตให้โทรเข้าได้ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีสมาธิบนท้องถนนสูงสุด

สามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันสำหรับเรียกผู้ช่วย อัจฉริยะ Google Assistant ผ่านการกดค้างที่ปุ่ม Power เป็นระบยะเวลา 0.5 วินาที

ฟังก์ชัน Smart Sidebar สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด หรือแอปพลิเคชันต่างๆ รวมถึงการตอบแชท ผ่านการสไลด์บริเวณขอบด้านข้างของตัวเครื่อง (สไลด์จากทางด้านขวาเมื่อใช้งานสมาร์ทโฟนในแนวตั้ง หรือสไลด์จากทางด้านซ้ายเมื่อใช้งานสมาร์ทโฟนในแนวนอน)

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Screen-off Gesture สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด หรือเปิดแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการวาดนิ้วขณะที่หน้าจอดับอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การวาดรูปตัว O เพื่อเปิดกล้องถ่ายภาพ, วาดรูปตัว V เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันไฟฉาย หรือวาดรูป < > เพื่อเปลี่ยนเพลง เป็นต้น

รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ Raise to Turn On Screen สำหรับปลุกหน้าจอแบบอัตโนมัติเมื่อยกมือถือขึ้นมาอยู่ในระดับพร้อมใช้งาน และฟีเจอร์ 3-Finger Screenshot สำหรับบันทึกภาพหน้าจออย่างง่ายๆ เพียงใช้ 3 นิ้วลากบนหน้าจอ

ด้านฟีเจอร์เกี่ยวกับการจัดการแบตเตอรี่ก็มีให้ ใช้งานเช่นกัน โดยผู้ใช้สามารถเลือกปรับโหมดการจัดการพลังงานได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Power Saving Mode สำหรับปิดการทำงานของแอปพลิเคชันเบื้องหลังบางส่วน พร้อมทั้งปิดการซิงค์ข้อมูลแบบอัตโนมัติ และลดแสงหน้าจอลงเพื่อช่วยประหยัดพลังงานให้มากขึ้น และ High Performance Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพการทำงานภายในตัวเครื่องให้อยู่ในระดับสูงสุด

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน Digital Wellbeing ที่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ยุคปัจจุบันที่ใช้สมาร์ทโฟนอยู่เป็นประจำ โดยจะเป็นการสรุปสถิติการใช้งานในแต่ละวันว่า มีการใช้เวลาไปกับแอปพลิเคชันประเภทใด, ปลดล็อกตัวเครื่องกี่ครั้ง หรือการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ บ่อยมากน้อยเพียงใด พร้อมทั้งยังสามารถตั้งค่าฟังก์ชัน Wind Down ที่จะปิดการแจ้งเตือนต่างๆ เมื่อผู้ใช้เข้านอนอีกด้วย

ที่สำคัญยังมีฟีเจอร์ Clone Apps สำหรับโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียที่แต่ละแอปพลิเคชันจะทำงานแยกกันแบบสิ้น เชิง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นแอปพลิเคชันได้แบบ 2 แอคเคานท์

รองรับการแบ่งแอปพลิเคชันการทำงานออกเป็น 2 หน้าต่าง (Split-screen) โดยสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 3 วิธีด้วยกัน

ทางด้านระบบความปลอดภัย รองรับการบันทึกลายนิ้วมือสูงสุด 5 ลายนิ้วมือ พร้อมปรับอนิเมชันขณะการสแกนลายนิ้วมือได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ส่วนการสแกนใบหน้า รองรับการบันทึกเพียง 1 ใบหน้าเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

มาดูที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno2 F มาพร้อมกับขุมพลัง MediaTek เลขรหัส MTK MT6771V หรือ Helio P70 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับตัวท็อปแบบ 8 แกนประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด ประกบคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB และระบบปฏิบัติการ Andorid OS เวอร์ชัน 9 (Pie) ครอบทับด้วย ColorOS 6.1 ตั้งแต่แกะกล่อง

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมด้วยแอปพลิคเชัน AnTuTu (เปิด High Performance Mode) พบว่าสามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด 190257 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench พบว่า สามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด คะแนน

เมื่อลองนำไปเล่นเกมกราฟิก 3 มิติสวยๆ อย่าง Call Of Duty : Mobile ก็พบว่า OPPO Reno2 F ให้การตอบสนองต่อการเล่นเกมได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว โดยเฟรมเรทค่อนข้างลื่นไหล ไม่มีอาการสะดุดให้พบเจอ ส่วนอาการความร้อนแม้จะมีให้พบเห็นบ้างในบางครั้งเมื่อเล่นติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน แต่ก็สามารถถ่ายเทออกจากตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็วโดยไม่กระทบต่อเฟรมเรทมาก นัก

ส่วนการเล่นคอนเทนต์ประเภทภาพยนตร์ความละเอียด สูงก็สามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อประกอบกับหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED และดีไซน์จอไร้รอยบากแล้ว ช่วยให้การแสดงผลต่างๆ เป็นไปอย่างเต็มตาเต็มอารมณ์มากเยลทีเดียว

ด้าน GPS  จากที่ทดสอบกลางแจ้งพบว่า สามารถตรวจจับสัญญาดาวเทียมได้ทั้งหมด 40 ดวง และมีความคลาดเคลื่อนที่ +- 5 เมตร

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

OPPO Reno2 F มาพร้อมกับกล้องหลังจำนวน 4 ตัว แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลัก  48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79, กล้อง Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล องศาในการรับภาพกว้าง 119 องศา พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.2, กล้อง Mono Lens ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 และกล้อง Portrait Lens ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 สำหรับอินเทอร์เฟสกล้องของ ColorOS 6.1 บน OPPO Reno2 F ยังคงคอนเซ็ปท์ความเรียบง่ายด้านการใช้งาน ด้วยการเรียงไอคอนคีย์ลัดการตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพเอาไว้ที่ด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR หรือการเลือกใช้ฟิลเตอร์สำหรับปรับโทนสีของภาพถ่าย

สามารถสลับไปใช้งานเลนส์มุมกว้างได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่แตะไอคอนลำดับที่ 3 จากซ้าย

รวมทั้งยังสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Dazzle Color 2.0 ที่ช่วยปรับแต่งสีสันให้มีชีวิตชีวาได้ภายในพริบตา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติม

สามารถซูมภาพได้ 5 เท่าแบบง่ายๆ เพียงแค่แตะไอคอน 1x ที่ด้านล่าง

มาพร้อมกับฟังก์ชัน AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าผู้ใช้งานให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถตั้งค่าความเรียบเนียนได้ทั้งหมด 100 ระดับด้วยกัน

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการถ่ายภาพแบบ Macro Lens ที่จะเปิดให้ใช้งานแบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้นำสมาร์ทโฟนไปถ่ายวัตถุในระยะใกล้

ส่วนบริเวณแถบด้านล่างจะเป็นที่อยู่สำหรับโหมด ถ่ายภาพในรูปแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ การถ่ายภาพ Portrait Bokeh 2.0 หรือการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอที่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับเอฟเฟ็กต์การเบลอได้ตั้งแต่ 0 - 100 ระดับ

โหมดการถ่ายภาพแบบ Ultra Night Mode 2.0 ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยเป็นเรื่องง่าย โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง ซึ่งสามารถถ่ายได้ทั้งเลนส์ปกติ และเลนส์มุมกว้าง รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ Tripod Mode ที่จะช่วยให้ระบบเปิดหน้ากล้องเป็นระยะเวลานานกว่าเดิม ตอบโจทย์การถ่ายภาพแบบ Long Exposure สำหรับเก็บแสงไฟท้ายรถในยามค่ำคืนเป็นอย่างดี แต่แนะนำว่าให้ใช้คู่กับขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันอาการภาพเบลอ

รวมไปถึงโหมดการถ่ายภาพแบบ Pano สำหรับเก็บภาพถ่ายในมุมกว้าง และโหมด Expert ที่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพได้ด้วยตนเอง

ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD รวมทั้งยังสามารถถ่ายวิดีโอจากเลนส์มุมกว้าง และสามารถปรับเอฟเฟ็กต์ AI Beauty ขณะถ่ายวิดีโอได้อีกด้วย

ส่วนทางด้านกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 ก็จัดเรียงไอคอนให้ใช้งานง่ายไม่แพ้กับกล้องหลัง โดยในส่วนของแถบด้านบนจะเป็นการตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR และการเลือกใช้งานฟิลเตอร์

สามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน AI Beauty สำหรับปรับระดับความเรียบเนียนของใบหน้าผ่านการวิเคราะห์โดย AI ได้ทั้งหมด 100 ระดับ

รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอผ่าน โหมด Portrait รวมทั้งยังสามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้ทั้งหมด 100 ระดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียดระดับ 48+8+2+2 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno2 F

ภาพถ่ายจากโหมดปกติด้วยกล้องตัวหลัก

ภาพถ่ายด้วยโหมดปกติจากกล้องเลนส์ Ultra Wide Angle

ภาพถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 2.0 จากกล้องตัวหลัก

ภาพถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 2.0 จากกล้องเลนส์ Ultra Wide Angle

ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ OPPO Reno2 F

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด AI Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Sticker

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno2 F

หากเทียบสเปกกับราคาวางจำหน่ายแล้ว ก็เรียกได้ว่า OPPO Reno2 F เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของสมาร์ทโฟนช่วงราคา 11,990 บาท ที่ค่อนข้างน่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยคุณสมบัติบางส่วนที่ยกมาจากรุ่นเรือธง เช่น หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ บนดีไซน์ไร้รูไร้รอยบากแบบ Panoramic Scree n ทำให้รับชมคอนเทนต์ หรือเล่นเกมได้อย่างเต็มอิ่ม, ระบบชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0 ที่ชาร์จเพียง 30 นาที ก็ได้แบตเตอรี่ที่พอเพียงต่อการใช้งานแบบข้ามวัน หรือดีไซน์ตัวเครื่องขอบโค้งครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 สุด แกร่ง

ส่วนด้านกล้องถ่ายภาพ ก็ถือว่าเพียงพอต่อการบันทึกเรื่องราวความประทับใจในแต่ละวันได้ทุกระยะ ด้วยชุด กล้อง หลัง 4 ตัว (Quad Camera) ที่มีความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้างแบบ Ultra Wide Angle ที่ช่วยให้เก็บภาพได้กว้างกว่าเดิม เปิดมุมมองใหม่ๆ ของการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ OPPO ยังอัปเกรดฟังก์ชันใหม่ๆ ให้แก่เลนส์มุมกว้าง ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพกลางคืนผ่านฟังก์ชัน Ultra Night Mode 2.0 หรือ การถ่ายวิดีโอ รวมทั้งยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพ Macro ซึ่งช่วยให้เราสามารถโฟกัสวัตถุในระยะใกล้โดยไม่ต้องกังวลว่าภาพจะเบลอ แต่ในตอนนี้โหมด Macro ยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วยตนเอง ซึ่งในบางสถานการณ์พบว่า แม้จะนำกล้องไปจ่อใกล้วัตถุในระยะใกล้แล้ว บางครั้งระบบ Macro ก็ไม่เปิดใช้งานให้แบบอัตโนมัติ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในอนาคตทาง OPPO อาจมีการอัปเดตซอฟต์แวร์เข้ามาแก้ไขในจุดนี้ก็เป็นได้

ส่วนทางด้านประสิทธิภาพการทำงานถือว่าลื่นไหลพอตัว ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชิปเซ็ตระดับเรือธง แต่ก็ทดแทนด้วยชิปเซ็ตตัวท็อปสุดของซีรีส์ระดับรองท็อปอย่าง MediaTek Helio P70 ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการเล่นเกม และการใช้งานทั่วไป เช่น การเล่นโซเชียลมีเดีย หรือการท่องเว็บไซต์ ส่วนการเล่นเกมแม้ว่าจะพบปัญหาเฟรมเรทบ้างเมื่อตัวเครื่องเกิดอาการร้อน แต่ก็ทดแทนด้วยระบบถ่ายเทความร้อนที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เล่นเกมได้ไหลลื่นต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีฟังก์ชัน Game Space 2.0 ที่ช่วยบล็อกการแจ้งเตือน และช่วยรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้สูงขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งเชื่อได้ว่าผู้ที่ชื่นชอบเล่นเกมยอดฮิตบนท้องตลาดอย่าง RoV, PUBG Mobile หรือ Call of Duty : Mobile น่าจะชื่นชอบกันอย่างแน่นอน

ระบบปฏิบัติการ ColorOS 6.1 ของ OPPO Reno2 F ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Split-Screen สำหรับแบ่งการทำงานของแอปพลิเคชันออกเป็นสองหน้าจอ, App Cloner สำหรับโคลนแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานแบบ 2 แอคเคานท์ หรือ Screen-off Gesture ที่สามารถเรียกใช้งานแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายๆ แม้ว่าจะล็อกหน้าจอแสดงผลอยู่ รวมทั้งยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือแบบ Hidden Fingerprint Unlock 3.0 ที่ปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงระบบเสียง Dolby Atmos ที่ช่วยขับเสียงให้กระหึ่มชัดเจนทุกย่านเสียง

และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno2 F เหมาะแก่ผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนในช่วงราคาหมื่นต้นๆ ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งด้านการถ่ายภาพ และการใช้งานทั่วไป ซึ่ง OPPO Reno2 F ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว สำหรับ OPPO Reno2 F เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้วตั้งแต่วันนี้ - 25 ตุลาคม 2562 และจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป มีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สี Lake Green และสี Sky White โดยผู้ที่สั่งจอง Reno2 F จะได้รับฟรี OPPO Smart Bag และ VIP Card ส่วนผู้ที่สั่งจอง Reno2 จะได้รับฟรี Special Gift Box และ Premier Card ส่วนตัวแทนจำหน่ายก็มีโปรโมชั่นที่แรงไม่แพ้กันเลยทีเดียว ดังรายละเอียดตามภาพต่อไปนี้

สำหรับท่านใดที่สนใจก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ตามวัน และเวลาดังกล่าว สุดท้ายก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป สวัสดีครับ

จุดเด่นของ OPPO Reno2 F

- ฝาหลังกระจกขอบโค้งแบบ 3D Curved Glass Design ด้วยกระจก Gorilla Glass 5 พร้อมกระบวนการเคลือบผิวสัมผัสแบบ Twilight Mist ที่สามารถสะท้อนตามมุมแสงที่ตกกระทบ - หน้าจอแสดงผลไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ AMOLED Panoramic Screen  ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล : 394 ppi) พร้อมพื้นที่การแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่อง 91.1% ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 พร้อมฟีเจอร์ Night Shield สำหรับปรับอุณหภูมิสีหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น - ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek MT6771V Helio P70 - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ ARM Mali-G72 MP3 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB - รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 256GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 6.0.1 - กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty และ โหมดการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) - กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียด แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79, กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล องศาในการรับภาพกว้าง 119 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2, กล้อง Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 และกล้อง Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 พร้อมโหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Night Mode 2.0 และโหมดการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait Bokeh) - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock) - ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) - ฟังก์ชัน Smart Sidebar สำหรับเปิดแอปพลิเคชัน หรือเข้าถึงคีย์ลัด ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ - ระบบเสียง Dolby Atmos - มีไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน - แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง VOOC Flash Charge 3.0 ที่ชาร์จจาก 0-51% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที - ฟังก์ชัน Game Space 2.0 สำหรับรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้อยู่ในระดับสูงสุด พร้อมบล็อกการแจ้งเตือนต่างๆ - ฟังก์ชัน App Cloners สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน App Split-Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C - ระบบ GPS+A-GPS พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม BeiDou และ Glonass - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/n/g/n/ac , Bluetooth 5.0 - รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) - รองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot - ราคา 11,990 บาท ถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno2 F

Leave a Comment