รีวิว OPPO Reno3 Pro สมาร์ทโฟนกล้องหน้าคู่ 44MP รุ่นแรกของโลก กับ 4 กล้อง 64MP และแบตชาร์จเร็ว VOOC 4.0 :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟนกล้องหน้าคู่ 44MP รุ่นแรกของโลก กับ 4 กล้อง 64MP และแบตชาร์จเร็ว VOOC 4.0 พร้อมจอ Super AMOLED Dual Punch-hole 6.4 นิ้ว กับสแกนนิ้วบนหน้าจอ, ชิปเซ็ต Helio P95 ตัวแรง, ROM 256GB+RAM 8GB และลำโพงคู่ Dolby Atmos บนตัวเครื่องเงางามโค้งมนที่ไม่กลัวร้อน ในราคา 18,990 บาท

31 พฤษภาคม 2020 - OPPO Reno Series เป็นอีกหนึ่งไลน์ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนที่ครองใจผู้ใช้งานมาโดยตลอด ด้วยคุณสมบัติภายในตัวเครื่องที่โดดเด่น, ดีไซน์ที่เรียบหรู รวมถึงกล้องถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยม ซึ่งล่าสุดทาง OPPO ประเทศไทยก็เพิ่งจะมีการเปิดตัว Reno Series น้องใหม่ล่าสุดอย่าง OPPO Reno3 Pro ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติโดยรวมที่ถอดแบบ DNA มาจากรุ่นพี่เรือธงเลยทีเดียว

เริ่มตั้งแต่ หน้าจอแสดงผลแบบ E3 Super AMOLED Dual Punch-hole Display ขนาดกว้างเต็มตาที่ 6.4 นิ้ว ซึ่งมีจุดเด่นด้านการแสดงสีสันได้อย่างคมชัดสดใสในทุกสภาพแสง บนดีไซน์ตัวเครื่องขอบโค้งจับกระชับมือ ที่มีความบางเฉียบเพียง 8.1 มิลลิเมตร และหนักเพียง 175 กรัม เท่านั้น

ด้านประสิทธิภาพการทำงาน เลือกใช้ชิปเซ็ต MediaTek Helio P95 ที่มีหน่วยประมวลผลแบบ NPU สำหรับช่วยประมวลผลเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x ขนาด 8GB และแบตเตอรี่ขนาด 4025 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 30W VOOC Flash Charge 4.0 และยังมีความปลอดภัยตามมาตรฐานของ OPPO และ TÜV Rheinland Safe Fast-Charge System Certification ซึ่งเป็นสถาบันทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมระดับโลก

ด้านการถ่ายภาพยังจัดเต็มตามสไตล์ OPPO Reno Series เช่นเดิม โดยในครั้งนี้เป็น รุ่นแรกของโลก ที่ใช้ กล้องหน้าเลนส์คู่ ความละเอียด 44+2 ล้านพิกเซล ช่วยให้ภาพถ่ายเซลฟี่มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น ส่วนกล้องหลังจัดเต็มมาให้ถึง 4 ตัว กับความละเอียดสูงสุดถึง 64 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์การถ่ายภาพครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่ เลนส์ Telephoto ไปจนถึงเลนส์มุมกว้าง ( Ultra Wide )

ฟีเจอร์อื่นๆ ก็นับว่าเข้ามาเติมเต็มให้ Reno3 Pro มีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบสแกนนิ้วแบบซ่อนใต้หน้าจอ ( Hidden Fingerprint Unlock ), ระบบระบายความร้อนแบบ Multi-Cooling System , ลำโพงคู่ เสียงรอบทิศทาง และอื่นๆ

สำหรับ OPPO Reno3 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอาไว้ที่ 18,990 บาท โดยตัวเครื่องจริงจะมีความสวยงามอย่างไร และจะมีฟีเจอร์อะไรให้ใช้งานบ้างนั้น ไปติดตามรีวิวจากทีมงาน Thaimobilecenter กันเลยดีกว่าครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับกล่องผลิตภัณฑ์สีเขียวที่มีการประทับชื่อรุ่นของ OPPO Reno3 Pro เอาไว้บริเวณหน้ากล่องด้วยตัวอักษรสีทองอย่างชัดเจน

อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย เคสใส, คู่มือประกอบการใช้งาน, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, หูฟัง,อแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ และสายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับคอมพิวเตอร์ และชาร์จแบตเตอรี่ร่วมกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟ

สำหรับอแดปเตอร์ชาร์จไฟที่แถมมาให้ภายในกล่อง รองรับการจ่ายไฟสูงสุดระดับ 5V/6A (30W) ซึ่งเป็นความเร็วของการชาร์จแบตเตอรี่แบบ VOOC Flash Charge 4.0 โดยทาง OPPO ระบุว่า สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 4025mAh จาก 0-50% ได้ในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น

มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Dual Punch-hole Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ โดยเป็นหน้าจอ E3 Super AMOLED ขอบบางเฉียบทั้งสี่ด้าน ที่มีการเจาะรูบริเวณมุมซ้ายบนสำหรับติดตั้งชุดกล้องหน้าคู่

ที่ด้านบนของหน้าจอ มาพร้อมกับระบบกล้องหน้าคู่แบบ Dual Punch-hole Camera ความละเอียด 44+2 ล้านพิกเซล เป็นรุ่นแรกของโลก โดยกล้องตัวหลักเลือกใช้กล้องแบบ 44MP Ultra-clear Camera ส่วนกล้องตัวรองเป็นแบบ 2MP Depth of Field สำหรับเก็บข้อมูลระยะชัดตื้น เพื่อช่วยในการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Hidden Fingerprint Unlock 3.0 สามารถปลดล็อกได้ในเวลาเพียง 0.3 วินาทีเท่านั้น ถัดมาที่ด้านล่างเป็นปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ ได้แก่ ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง, ปุ่ม Home สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot ที่สามารถใส่ 2 ซิม กับการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ได้พร้อมกัน และปุ่มปรับระดับเสียง

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สองซึ่ง ทำหน้าที่ตัดเสียงรบกวน

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอแสดงผล และเปิด-ปิด เครื่อง

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานแบบ 3.5 มม., ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลักซึ่งจะทำงานร่วมกับลำโพงสนทนาบริเวณด้านบนของหน้าจอ เพื่อขับเสียงแบบลำโพงคู่ Stereo Speaker ซึ่งรองรับระบบเสียงแบบ Hi-Res Audio และ Dolby Atmos

ที่ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับบอดี้ผิว สัมผัสเงา ที่ได้รับแรงบันดาลในการออกแบบมาจากสีสันของท้องฟ้า โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Auroral Blue ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแสงเหนือบนท้องฟ้ายามค่ำคืน, สีดำ Midnight Black ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน, และสีขาว Sky White Limited Edition ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าในยามเช้า

ที่บริเวณมุมซ้ายด้านบนติดตั้งชุดกล้องหลังจำนวน 4 ตัว (Quad Camera) เอาไว้ โดยแบ่งออกเป็น

- กล้อง Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.4 นิ้ว, รูรับแสงกว้าง f/2.4, ขนาดเม็ดพิกเซล 1.0 ไมครอน, รองรับการซูมภาพแบบ Hybrid Zoom ที่ระดับ 5 เท่า และรองรับการซูมภาพแบบ Digital Zoom ที่ระดับ 20 เท่า - กล้องตัวหลัก ( Main ) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.72 นิ้ว, รูรับแสงกว้าง f/1.8, ขนาดเม็ดพิกเซล 0.8 ไมครอน, เทคโนโลยี Tetracell, เทคโนโลยี Smart WDR และระบบโฟกัสภาพแบบ Super PD - กล้อง Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.4 และขนาดเม็ดพิกเซล 1.75 ไมครอน - กล้อง Ultra Wide-Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, รูรับแสงกว้าง f/2.2, มุมรับภาพกว้าง 119.9 องศา และขนาดเม็ดพิกเซล 1.12 ไมครอน

ความพิเศษของกล้องตัวหลักบน OPPO Reno3 Pro คือ เทคโนโลยี Ultra Clear 108MP ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล ผ่านการทำ Sub-pixel เพื่อช่วยให้กล้องจับคู่พิเซลย่อยของภาพต้นฉบับ เพื่อเติมเต็มพิกเซลที่ขนาดหายไป ส่งผลให้ภาพที่ได้มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น

ภายในตัวเครื่องสวยๆ แบบนี้ ยังมีระบบระบายความร้อนแบบ Multi-cooling System ที่ช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7 เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปท์ Smooth and Delightful ซึ่งเป็นการสื่อถึงประสิทธิภาพการใช้งานที่ลื่นไหล ผสมผสานกับดีไซน์ใหม่ที่มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น

ดีไซน์ใหม่ที่ว่านี้สามารถมองเห็นได้จากหน้าโฮ มสกรีน ที่มาพร้อมกับไอคอนแอปพลิเคชันทั้งหมดที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ใช้โทนสีที่ไม่ฉูดฉาด และพื้นหลังที่คัดสรรมาให้เข้ากับชุดไอคอน ทำให้มองดูได้อย่างสบายตา

สามารถแตะค้างบริเวณที่ว่างบนหน้าจอเพื่อตั้ง ค่าเกี่ยวกับโฮมสกรีนได้ เช่น เพิ่มวิดเจ็ต, วอลเปเปอร์, แอนิเมชันขณะสลับหน้าจอ รวมถึงจัดหมวดหมู่ไอคอน

เมื่อปัดไปที่ด้านซ้ายของหน้าจอจะพบกับ Smart Assistant หรือผู้ช่วยอัจฉริยะที่รวบรวมคีย์ลัด และการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ เอาไว้ภายในหน้าเดียว

เมื่อลากนิ้วจากบนลงล่างจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับแถบ Search สำหรับค้นหาสิ่งต่างๆ ภายในตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชัน หรือรายชื่อผู้ติดต่อ

เมื่อลากนิ้วจากขอบด้านบนลงมายังด้านล่างจะพบ กับ Toggle Switch หรือแหล่งรวมคีย์ลัดสำหรับตั้งค่าแบบเร่งด่วน เช่น การเปิด-ปิด Wi-Fi,  เปิด-ปิด Bluetooth หรือเปิดใช้งาน Hotspot เป็นต้น

สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ภายในตัว เครื่อง ประกอบไปด้วย แอปพลิเคชันจากฝั่ง Google เช่น Maps, Gmail หรือ Youtube และแอปพลิเคชันเครื่องมือพื้นฐาน เช่น บันทึกเสียง, เข็มทิศ หรือเครื่องคิดเลข

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชันที่น่าสนใจ อย่างเช่น Clone Phone สำหรับย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่ามายัง OPPO Reno3 Pro ได้อย่างรวดเร็ว

แอปพลิเคชัน OPPO Service หรือบริการหลังการขายสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน OPPO โดยเฉพาะ โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์เด่น เช่น คู่มือการใช้งาน, ตรวจสอบความผิดปกติของสมาร์ทโฟนในเบื้องต้น และทิปการใช้งาน เป็นต้น

แอปพลิเคชัน Phone Manager สำหรับตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของสมาร์ทโฟน และปรับแต่งมือถือให้มีความเร็วแรงอยู่ตลอดเวลาผ่านฟังก์ชันต่างๆ เช่น Clean Up Storage สำหรับล้างไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งาน, Virus Scan สำหรับสแกนไวรัส หรือ Privacy Permissions สำหรับตรวจสอบการให้สิทธิเกี่ยวกับแอปพลิเคชันต่างๆ

อีกหนึ่งแอปพลิเคชันเด่นที่ติดตั้งมาให้บน OPPO Reno3 Pro ก็คือ Soloop สำหรับตัดต่อวิดีโอให้มีความสวยงามในเวลาไม่กี่อึดใจ โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มเสียง, เลือกธีมวิดีโอ หรือใส่ฟิลเตอร์ได้ด้วยตนเอง และสามารถแชร์ไปยังแพลตฟอร์มวิดีโอยอดนิยมอย่าง YouTube และ TikTok ได้ทันที ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเดียวกันกับที่มีอยู่ในรุ่นเรือธงอย่าง OPPO Find X2 Series นั่นเอง

รวมถึงแอปพลิเคชัน Music Party สำหรับเล่นเพลงเพลงเดียวกันจากสมาร์ทโฟน OPPO หลายๆ เครื่อง ผ่าน Wi-Fi เพื่อขยายกำลังเสียงให้มีความกระหึ่มมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานเป็นลำโพงเสียงสำหรับงานปาร์ตี้เป็นอย่างมาก

มาดูที่ลูกเล่นการใช้งานกันบ้าง OPPO Reno3 Pro รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด และรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ทั้งสองซิมการ์ด

รองรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Dark Mode ซึ่งเป็นการปรับโทนสีของหน้า UI และแอปพลิเคชันต่างๆ ที่รองรับให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สบายตามากยิ่งขึ้น

รวมถึงฟังก์ชัน Eye Care สำหรับปรับโทนสีของหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อเป็นการตัดแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตา และเป็นการช่วยลดอาการล้าของสายตาอีกด้วย ซึ่งถือว่าตอบโจทย์การใช้งานในที่แสงน้อยเป็นอย่างมาก

ฟีเจอร์เกี่ยวกับหน้าจอที่น่าสนใจอีกหนึ่งอย่าง ก็คือ Low-Brightness Flicker-Free Eye Care ซึ่งเป็นการช่วยลดอาการล้าของสายตาจากอาการหน้าจอกระพริบซึ่งเกิดมาจากการปรับแสงของ หน้าจอให้ต่ำลง

รวใทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ OSIE Vision Effect (OPPO Screen Image Engine Vision Effect) ซึ่งเป็นการปรับโทนสีของคอนเทนต์ที่แสดงบนแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Instagram, TikTok หรือ Vigo ให้มีความอิ่มตัว และสดใสจัดจ้านมากยิ่งขึ้น

มาพร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos ที่ผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบการเล่นเสียงได้ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ Smart ซึ่งปรับเสียงให้เข้ากับคอนเทนต์ที่กำลังเล่นอยู่แบบอัตโนมัติ, Movie ปรับเสียงให้เล่นรอบทิศทางแบบ 3 มิติ ตอบโจทย์การรับชมคอนเทนต์ประเภทภาพยนตร์, Gaming ปรับเสียงเบสให้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การเล่นเกม และ Music ซึ่งเป็นการเติมเสียงให้มีความอิ่มตัว และปรับค่าเสียงให้มีความสมดุล เพื่ออรรถรสในการฟังเพลงอย่างเต็มอารมณ์

Convenience Tools ศูนย์รวมฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่ การปรับเปลี่ยนวิธีควบคุมสมาร์ทโฟนได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Gestures ซึ่งเป็นการลากนิ้วจากบริเวณขอบจอด้านล่าง และด้านข้างเพื่อควบคุม หรือ Virtual Buttons ซึ่งเป็นการควบคุมสมาร์ทโฟนโดยใช้ปุ่มสัมผัสบนหน้าจอ

Assistive Ball ลูกบอลรวมคีย์ลัดสำหรับใช้งานเอาไว้อย่างครบถ้วน สามารถแสดงลอยเหนือแอปพลิเคชันต่างๆ ได้

Smart Sidebar ทางลัดเข้าถึงแอปพลิเคชัน และคีย์ลัดที่ถูกซ่อนเอาไว้บริเวณขอบจอด้านขวาของตัวเครื่อง สามารถเรียกใช้งานได้แม้จะอยู่ในโหมดแบบเต็มหน้าจอก็ตาม

รวมถึง Gestures & Motions หรือฟังก์ชันสำหรับสั่งการตัวเครื่องผ่านท่าทางต่างๆ เช่น การวาดนิ้วเป็นรูปร่างต่างๆ ที่กำหนดไว้ เพื่อทำการเปิดแอปพลิเคชันที่ต้องการ, การใช้ 3 นิ้วลากบนหน้าจอเพื่อบันทึกภาพหน้าจอ, การปลุกหน้าจออัตโนมัติเมื่อยกเครื่องในระดับพร้อมใช้งาน หรือการปิดสายเรียกเข้าเมื่อคว่ำหน้าจอ เป็นต้น

ในส่วนของแบตเตอรี่ มาพร้อมกับฟีเจอร์ Smart Power Saver ซึ่งเป็นการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ให้แบบอัตโนัมติ รวมถึงฟีเจอร์ High Performance Mode ซึ่งเป็นการรีดประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมให้อยู่ในระดับสูงสุด ตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการการประมวลผลหนัก เช่น การเล่นเกม หรือการตัดต่อคลิปวิดีโอ เป็น้น

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่อยู่คู่ระบบปฏิบัติการ Android 10 ก็คือ Digital Wellbeing ซึ่งเป็นการตรวจสอบปริมาณการใช้งานสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในแต่ละวัน โดยเราสามารถตรวจสอบได้ว่า มีการใช้เวลาไปกับแอปพลิเคชันไหนเป็นพิเศษ หรือมีการแจ้งเตือนเข้ามาบนสมาร์ทโฟน หรือปลดล็อกสมาร์ทโฟนกี่ครั้งภายในหนึ่งวัน รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Wind Down ที่เป็นการปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อีกด้วย

มาพร้อมกับฟีเจอร์ App Cloner สำหรับโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดีย ให้ทำงานแยกออกจากกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเล่นแอปพลิเคชันได้แบบ 2 แอคเคานท์

รวมถึงบริการ HeyTap Cloud ที่ผู้ใช้สามารถเก็บไฟล์ที่ต้องการเอาไว้บนบริการคลาวด์ได้โดยตรง

มาดูที่ระบบความปลอดภัยกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno3 Pro รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ โดยสามารถบันทึกลายนิ้วมือผู้ใช้งานได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ รวมทั้งยังสามารถนำลายนิ้วมือที่ลงทะเบียนไว้ไปใช้งานกับฟีเจอร์ล็อกแอปพลิเคชัน อย่าง App Lock รวมถึงตู้เซฟเสมือนอย่าง Private Safe ได้อีกด้วย

ส่วนการปลดล็อกด้วยใบหน้า รองรับการลงทะเบียนแค่เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น โดยเราสามารถเพิ่มความปลอดภัยในการสแกนใบหน้าเพิ่มเติมได้ผ่านการเปิดฟังก์ชันที่ เรียกว่า Do Not Recognize Faces with Closed Eyes ซึ่งระบบจะไม่ทำการสแกนใบหน้าหากพบว่าผู้ใช้กำลังหลับตาอยู่ โดยเราสามารถนำใบหน้าที่ลงทะเบียนไว้ไปใช้งานกับฟีเจอร์ App Lock และ Private Safe ได้เหมือนกับระบบสแกนลายนิ้วมือ

มาดูกันที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno3 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio P95 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตประมวลผลแบบ 8 แกนรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2020 ที่มีจุดเด่นด้านการประมวลผล AI และการเล่นเกมเป็นหลัก โดยชิปเซ็ต Helio P95 ของ OPPO Reno3 Pro จะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x ขนาด 8GB และหน่วยความนจำภายในความจุ 256GB พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4025mAh

ทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench พบว่า ทำคะแนนในส่วนของ Single-Core ได้ทั้งหมด 384 คะแนน และทำคะแนนในส่วนของ Multi-Core ได้ทั้งหมด 1481 คะแนน

ทีมงานลองทดสอบเล่นเกมยอดนิยมอย่าง RoV สามารถเปิดกราฟิกได้ในระดับสูงสุด พร้อมเปิดใช้งานโหมดเฟรมเรทสูงได้ โดยเฟรมเรทระหว่างการเล่นจะอยู่ที่ 58-60 ครับ

ส่วนทางด้าน GPS สามารถตรวจจับตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ มีความคลาดเคลื่อน +- ไม่เกิน 4 เมตร

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

มาดูในส่วนของกล้องถ่ายภาพกันบ้าง สำหน้า UI กล้องหลังของ OPPO Reno3 Pro จะมีหน้าตาที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างสะดวกเหมือนกับ OPPO รุ่นอื่นๆ โดยบริเวณด้านบนจะเป็นส่วนสำหรับปรับการตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพ ได้แก่ การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR และการเปิด-ปิด Dazzle Color

สามารถเลือกใช้งานฟิลเตอร์เพื่อปรับโทนสีของภาพ ถ่ายได้อย่างหลากหลาย

สามารถปรับสัดส่วนของภาพถ่าย, ตั้งเวลาการถ่ายภาพ และเปิดใช้งานฟีเจอร์ 64MP ซึ่งเป็นการถ่ายภาพเต็มความละเอียด 64 ล้านพิกเซลของเซ็นเซอร์กล้องตัวหลักได้ด้วยตนเอง

ทางด้านขวาจะมีเมนูสำหรับเปิดใช้งาน ฟังก์ชันหน้าสวย (Beauty) โดยสามารถปรับระดับความเรียบเนียนของใบหน้าโดย AI ได้ทั้งหมด 100 ระดับ

ด้านโหมดการถ่ายภาพก็มีให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่นกัน เริ่มตั้งแต่ โหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ที่ผู้ใช้สามารถปรับระดับการเบลอของฉากหลังได้ทั้งหมด 100 ระดับ ซึ่งทีมงานแนะนำให้ปรับค่าความเบลออยู่ที่ระดับ 60% เพื่อการเบลอฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับเลือกฟิลเตอร์เพื่อเปลี่ยนโทนสีของภาพถ่ายได้ด้วยตนเอง

โหมดการถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Dark Mode ที่ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพกลางคืนได้อย่างคมชัดโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องก็มีให้ ใช้งานเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Tripod Mode สำหรับถ่ายภาพกลางคืนให้มีความสว่างคมชัดมากยิ่งขึ้นด้วยการเปิดหน้าชัดเตอร์กล้อง เป็นเวลานานกว่าเดิม แต่แนะนำว่าให้เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้เมื่อใช้ขาตั้งกล้องเท่านั้นครับ

พร้อมรองรับการถ่ายภาพแบบ 108MP Ultra-clear Image ซึ่งจะมีให้ใช้งานเฉพาะโหมด Expert เท่านั้นครับ

โหมดการถ่ายภาพแบบ Pano สำหรับถ่ายภาพในมุมกว้าง ตอบโจทย์การถ่ายภาพที่เน้นเก็บวิวทิวทัศน์

รองรับการถ่ายวิดีโอที่มีความละเอียดระดับ 4K UHD ที่ระดับ 30fps พร้อมระบบกันภาพสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video 2.0  เพื่อช่วยให้วิดีโอมีความนิ่งเหมือนกับกล้อง Action Camera

หากใครที่ต้องการให้ภาพมีความนิ่งขึ้นไปอีกขั้น ก็สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Ultra Steady Video Pro ได้เช่นกัน

รองรับการถ่ายวิดีโฮแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ เหมือนกับการถ่ายภาพนิ่งแบบ Portrait

รองรับการเปิดเอฟเฟกต์ Beauty ขณะถ่ายวิดีโอ

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทุกเลนส์

และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-mo

มาดูที่กล้องหน้ากันบ้าง โดยมาพร้อมกับหน้า UI ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเหมือนกับกล้องหลัง แต่จะมีการปรับเปลี่ยนเมนูบางส่วน โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าต่างๆ ได้ที่ด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HD

สามารถเปิดใช้งานฟิลเตอร์เพื่อปรับโทนสีของภาพ ถ่ายได้อย่างหลากหลาย

มาดูในส่วนของโหมดการถ่ายภาพกันบ้าง เริ่มต้นที่ Ultra Night Selfie Mode หรือโหมดการถ่ายภาพเซลฟี่กลางคืนให้มีความสว่างคมชัด โดยระบบจะทำการถ่ายภาพหลายๆ ใบเพื่อนำภาพที่ได้มาซ้อนกันเป็นภาพเดียว เพื่อให้ภาพที่ได้มีความคมชัดสูงสุด รวมทั้งยังมีเทคโนโลยี AI Noise Reduction สำหรับช่วยลดจุดรบกวนที่ปรากฏบนภาพถ่าย

โหมดการถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ (Dual Lens Bokeh) ที่เป็นการใช้ความสามารถของกล้องหน้าคู่ความละเอียด 44+2 ล้านพิกเซล

โหมดการถ่ายภาพแบบ Sticker ที่สามารถนำสติกเกอร์น่ารักๆ ติดไว้บนภาพถ่ายได้อย่างหลากหลาย

และยังมาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพเซลฟี่มุมกว้าง แบบ Panorama

รองรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าที่ความ ละเอียดระดับ Full HD และสามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Bokeh สำหรับถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ รวมถึงฟังก์ชัน Beauty ได้อีกด้วย

และมาพร้อมกับโหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียดระดับ 64+13+8+2 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno3 Pro

ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง

ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Dark Mode

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบคู่ ความละเอียด 44+2 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno3 Pro

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดเอฟเฟกต์ Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Dual Lens Bokeh พร้อมเปิดเอฟเฟกต์ Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Night Selfie

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno3 Pro

จากที่ทีมงานได้ทดลองใช้งาน OPPO Reno3 Pro เป็นระยะเวลาพอสมควร ก็พบว่าเป็นอีกหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีเยี่ยมทุกรูปแบบ เริ่มตั้งแต่หน้าจอแสดงผล E3 Super AMOLED Dual Punch-hole Display ที่ให้ขนาดมา 6.4 นิ้ว ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่เหมาะกับการถือใช้งานด้วยมือเดียวได้อย่างกระชับมือ อีกทั้งหน้าจอแสดงผลสามารถถ่ายทอดสีสันของคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างคมชัดสดใส และสู้แสงภายนอกได้เป็นอย่างดี และยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Hidden Fingerprint Unlock 3.0 ซึ่งถือว่าทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากเป็นเซนเซอร์แบบ Optical ที่พึ่งพาการฉายแสงบนหน้าจอเพื่ออ่านลายนิ้วมือของผู้ใช้งาน ซึงหากใช้งานในที่กลางแจ้งที่มีแสงรบกวน ก็อาจทำให้ระบบไม่สามารถอ่านค่าลายนิ้วมือของผู้ใช้งานได้ในบางครั้ง ซึ่งทีมงานแนะนำให้เปิดใช้งานระบบสแกนใบหน้าควบคู่กับระบบสแกนลายนิ้วมือด้วย เพื่อการยืนยันตัวตนที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ด้านประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าจะเลือกใช้ชิปเซ็ตจากค่าย MediaTek อย่าง Helio P95 แต่ในด้านการใช้งานจริงแล้วถือว่าค่อนข้างน่าประทับใจ เนื่องจาก Helio P95 สามารถจัดการกับพลังงานได้เป็นอย่างดี สามารถช่วยให้แบตเตอรี่ขนาด 4025 mAh ของ OPPO Reno3 Pro ใช้งานได้แบบข้ามวัน อีกทั้งยังมีความเร็วด้านการใช้งานแอปพลิเคชันทั่วไป และสามารถเล่นเกมยอดนิยมในปัจจุบันได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno3 Pro มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ OPPO Reno3 Pro

- ดีไซน์ตัวเครื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ ที่ดูโค้งมนสวยงาม พร้อมโดดเด่นด้วยพื้นผิวเงางามไล่เฉดโดยเฉพาะเมื่อมีแสงมาตกกระทบ และมีระบบระบายความร้อนแบบ Multi-Cooling System - หน้าจอแสดงผล E3 Super AMOLED Dual Punch-hole Displaty ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล) พร้อมพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตคัวเครื่อง 91.5% และมาตรฐานหน้าจอแสดงผลถนอมสายตาแบบ Full Care Display จากสถาบัน TÜV Rheinland - เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Hidden Fingerprint Unlock 3.0สามารถปลดล็อกได้ในเวลาเพียง 0.3 วินาที - ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio P95 ความเร็วสูงสุด 2.2GHz - ชิปเซ็ตประมวลผลแยก NPU สำหรับประมวลผลต่างๆ เกี่ยวกับระบบปัญญาประดิษฐ์ - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ IMG PowerVR GM9446 - เทคโนโลยี Hyper Boost ที่ช่วยเพิ่มจำนวนเฟรมต่อวินาที (FPS) ขึ้น 38% และระบบสัมผัสที่ตอบสนองเร็วขึ้น 16% - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x ขนาด 8GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 256GB - รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD Card ได้สูงสุดที่ขนาด 256GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 7 (พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 10) พร้อมระบบ OSIE (OPPO Screen Image Engine) - กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียดระดับ 64+13+8+2 ล้านพิกเซล ประกอบไปด้วย

> กล้อง Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.4 นิ้ว, รูรับแสงกว้าง f/2.4, ขนาดเม็ดพิกเซล 1.0 ไมครอน, รองรับการซูมภาพแบบ Hybrid Zoom ที่ระดับ 5 เท่า และรองรับการซูมภาพแบบDigital Zoom ที่ระดับ 20 เท่า > กล้องตัวหลัก ( Main ) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซลพร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.72 นิ้ว, รูรับแสงกว้าง f/1.8, ขนาดเม็ดพิกเซล 0.8 ไมครอน, เทคโนโลยี Tetracell, เทคโนโลยี Smart WDR และระบบโฟกัสภาพแบบ Super PD > กล้อง Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.4 และขนาดเม็ดพิกเซล 1.75 ไมครอน > กล้อง Ultra Wide-Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, รูรับแสงกว้างf/2.2, มุมรับภาพกว้าง 119.9 องศา และขนาดเม็ดพิกเซล 1.12 ไมครอน

พร้อมฟังก์ชัน Ultra-Clear 108MP Image สำหรับถ่ายภาพที่ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล, รองรับการซูมภาพแบบ Hybrid Zoom 5 เท่า และ Digital Zoom 20 เท่า, โหมดการถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Dark Mode พร้อมฟีเจอร์ Tripod Modeสำหรับเปิดหน้าชัตเตอร์กล้องให้นานขึ้นเพื่อรับแสง, รองรับการถ่ายภาพแบบ Macro ที่โฟกัสวัตถุได้ในระยะใกล้สุดที่ 3 เซนติเมตร, ระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดีโอแบบ Ultra Steady Video 2.0, ฟังก์ชัน Super Steady สำหรับช่วยลดอาการสั่นไหวขณะถ่ายวิดีโอ, รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K ที่กล้องหลัง และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบSlow-Motion ที่ระดับ และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ

- กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ ความละเอียด 44+2 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.4 กับ f/2.4, เซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.65 นิ้ว กับ 1/5 นิ้ว, พร้อมโหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ(Dual Lens Bokeh) และโหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Night Selfie Mode

- แอปพลิเคชัน Soloop สำหรับตัดต่อวิดีโอบนสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดาย - ลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมรองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ Hi-Res - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C - แบตเตอรี่ความจุ 4025 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 30W VOOC Flash Charge 4.0 สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-50% ได้ในเวลาเพียง 20 นาที - ระบบระบายความร้อนแบบ Multi-cooling System - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ Wi-Fi Dual Band (2.4/5 GHz) - รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่าน Bluetooth 5.0 - ระบบ GPS+A-GPS พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของประเทศรัสเซีย, ระบบ Beidou ของประเทศจีน และระบบ GALILEO ของสหภาพยุโรป - ราคา 18,990 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno3 Pro

- กล้องหลังยังไม่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ระดับ 60fps - ฝาหลังมีความมันเงาสูง จึงทำให้เกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย - ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno3 Pro ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno3 Pro

Leave a Comment