รีวิว OPPO Reno6 Z 5G สมาร์ทโฟน 5G ที่ถ่าย Portrait สวยที่สุด พร้อมจอสวย ชิปแรง ชาร์จเร็ว บนบอดี้ Reno Glow พรีเมียมสะดุดตา ในราคาหมื่นต้น ๆ :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟน 5G ที่ถ่าย Portrait สวยที่สุด พร้อมจอสวย ชิปแรง ชาร์จเร็ว บนบอดี้ Reno Glow พรีเมียมสะดุดตา ในราคา 12,990 บาท

21 กรกฎาคม 2021 - เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ทาง OPPO ประเทศไทย ได้ฤกษ์เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Reno Series ซีรีส์ระดับกลางยอดนิยมออกมาอีกหนึ่งรุ่นแล้ว นั่นคือ OPPO Reno6 Z 5G ภายใต้สโลแกน “อารมณ์ไหน ก็พอร์ตเทรต” ซึ่งเมื่อดูจากสโลแกนก็ชัดเจนว่ารุ่นใหม่นี้ชูโรงด้านการถ่ายภาพบุคคล หรือ Portrait นั่นเอง

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์ครบครัน ตั้งแต่ ชิปเซ็ต Dimensity 800U ที่รองรับเครือข่าย 5G พร้อมเสาสัญญาณรอบตัวเครื่องแบบ 360 องศา โดยทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB ผสานเทคโนโลยี RAM Expansion อีกสูงสุด 5GB ในการยืมพื้นที่ ROM มาใช้งานชั่วคราว กับหน่วยความจำภายใน ( ROM ) ขนาด 128GB ที่สามารถใส่การ์ด microSD เพิ่มเติมได้ และแบตเตอรี่ความจุ 4310 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 30W VOOC Flash Charge 4.0 ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 52 นาที และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.1 เวอร์ชันใหม่ ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 11

หน้าจอแสดงผลของ OPPO Reno6 Z 5G เป็นแบบ Punch-Hole AMOLED Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล : 409 ppi) ในอัตราส่วนแบบ 20:9 โดยฝัง กล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซลไว้บนหน้าจอ พร้อม AI-Enhanced Sensing สำหรับการใช้งานฟีเจอร์ Air Gestures ในการสั่งงานด้วยท่าทาง ส่วนที่ด้านหลังใช้ดีไซน์แบบ Reno Glow ที่ให้เอฟเฟกต์แบบไดนามิก พร้อมความระยิบระยับไล่เฉดสี สะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่าง ๆ บนมิติตัวเครื่องที่บางเบาพกพาสะดวก

ชุดกล้องหลักที่ด้านหลัง เป็นกล้อง 3 ตัว ( Triple Camera ) ประกอบด้วย กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่เก็บภาพมุมกว้างสุด 119 องศา และกล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล โดย ชูจุดขายสำคัญที่ฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait เอฟเฟกต์การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอที่เสริมให้ตัวแบบมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น พร้อม โหมด Portrait Beautification Video ในการนำ AI เข้ามาปรับผิวให้เนียนสวยแบบธรรมชาติในขณะถ่ายวิดีโอ และโหมด Dual-View Video ในการบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า กับกล้องหลังได้พร้อมกัน รวมถึงระบบ Focus Tracking ในการล็อกจุดโฟกัสของตัวแบบ หรือวัตถุที่ต้องการได้เมื่อมีการเคลื่อนไหว

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า OPPO Reno6 Z 5G มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องของกล้องถ่ายภาพ, การประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งฟีเจอร์ที่จัดมาให้เต็มกำลังดี บนตัวเครื่องที่ดูสวยพรีเมียมสะดุดตา กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 12,990 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชม รีวิว OPPO Reno6 Z 5G ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

OPPO Reno6 Z 5G มาในแพ็กเกจสีฟ้าตัดกับสีดำ มีการระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน โดยกล่องด้านในมีสีดำด้าน

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ เคสใส, อะแดปเตอร์ VOOC (5V/6A), หูฟัง, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด

ภาพตัวอย่างการใส่เคสที่แถมมาในแพ็กเกจ

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมกับหน้าจอ Punch-Hole AMOLED Display ขนาด 6.43 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 90.8%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 409 ppi) บนตัวเครื่องขนาด 160x73.38x7.97 มิลลิเมตร (สี Aurora) และมีน้ำหนัก 173 กรัม (สี Stellar Black มีความหนาตัวเครื่อง 7.92 มิลลิเมตร)

ที่ด้านบนมีเพียงลำโพงสำหรับสนทนา และเซนเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนาเพื่อประหยัดพลังงาน กับเซนเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

ส่วนกล้องหน้าสำหรับเซลฟี่ถูกฝังอยู่บนหน้าจอที่มุมบนซ้าย โดยใช้เซนเซอร์รับภาพความละเอียด 32 ล้านพิกเซล (f2.4) พร้อม AI-Enhanced Sensing สำหรับการใช้งานฟีเจอร์ Air Gestures

ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย

มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint 3.0)

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน

ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพงเสียงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา และช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power สำหรับ เปิด-ปิดเครื่อง และล็อกหน้าจอในตัว

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ซึ่งรองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Nano SIM) + 1 microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน

OPPO Reno6 Z 5G มีฝาหลังดีไซน์แบบ Reno Glow ที่ให้เอฟเฟกต์แบบไดนามิก พร้อมความระยิบระยับ โดยมีตัวเลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สี Aurora และสี Stellar Black

ที่ด้านหลังตัวเครื่องของ OPPO Reno6 Z 5G มีการติดตั้งระบบกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) แบ่งออกเป็น

- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Binning, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 25 มิลลิเมตร, มุมรับภาพ 79 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร, มุมรับภาพ 119 องศา และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

พร้อมรองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูงแบบ Ultra-Clear 108MP, โหมด Flash Snapshot, โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเอฟเฟกต์แบบ Bokeh Flare Portrait, โหมดหน้าสวย (Beauty), ฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD พร้อมโหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady, โหมด Portrait Beautification Video ในการนำ AI เข้ามาปรับผิวให้เนียนสวยแบบธรรมชาติ และโหมด Dual-View Video ในการบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า-หลังได้พร้อมกัน รวมถึงระบบ Focus Tracking ในการล็อกจุดโฟกัสของตัวแบบ หรือวัตถุที่ต้องการได้เมื่อมีการเคลื่อนไหว

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ

OPPO Reno6 Z 5G ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย Color OS 11.1 กับดีไซน์หน้า User Interface ที่เรียบหรู และดูสบายตามากขึ้น

โดยมีหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี RAM Expansion ที่ขยาย RAM ได้อีกสูงสุด 5GB และหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB

และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด (สแตนด์บายบนเครือข่าย 5G ได้ทีละซิมเท่านั้น)

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่าง ๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่าง ๆ

โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการ

สามารถปรับค่าการแสดงผลต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร พร้อมรองรับฟังก์ชัน Eye comfort สำหรับลดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ และฟังก์ชัน Adaptive Sleep ในการตรวจจับการมองของผู้ใช้ด้วย AI เพื่อคงความสว่างของหน้าจอ และจะทำการหรี่แสงหน้าจอเมื่อไม่ได้มองหน้าจอตามเวลาที่กำหนด

รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่

และยังรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces

รองรับฟังก์ชัน Always-On Display ในการแสดงวันที่ เวลา และการแจ้งเตือนต่าง ๆ ขณะล็อกหน้าจอ

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้

หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่าง ๆ เพื่อสั่งการ

หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe-Up Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่าง ๆ เพื่อสั่งการ

ฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะเองก็มีให้ใช้งานด้วย เช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง, การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน, การรับสายอัตโนมัติ, การสลับจากลำโพงภายนอก มาเป็นลำโพงสำหรับสนทนาเมื่อนำมือถือมาแนบที่ใบหู และการคว่ำตัวเครื่องเพื่อปิดเสียงสายโทรเข้า

OPPO Reno6 Z 5G รองรับการใช้งานแบบไร้การสัมผัสด้วยฟังก์ชัน Air Gestures ในการทำท่าทางเฉพาะเพื่อสั่งการ

รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่าง ๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่น ๆ ได้

โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google บน OPPO Reno6 Z 5G ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4310 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน Power saving เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานให้นานขึ้น (เมื่อเปิดใช้งานสัญลักษณ์แบตเตอรี่ที่ด้านบนจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง)

และโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุดอย่าง Super Power Saving Mode ที่ยืดระยะเวลาการใช้งานให้นานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่แลกกับการใช้งานได้เฉพาะฟังก์ชันพื้นฐานเท่านั้น รวมถึง Super Nighttime Standby ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น

รวมถึงโหมด High Performance เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง (เมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย ถัดจากเวลา)

และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จความเร็วสูงแบบ 30W VOOC 4.0 Charge ที่ช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี

รองรับฟังก์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบาย ๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง

ฟีเจอร์ App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อม ๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี

ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ

ฟังก์ชัน Quick Return Bubble สำหรับสร้างปุ่มทางลัดเพื่อเข้าสู่เกมที่ตั้งค่าไว้

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน OPPO Reno6 Z 5G มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งอยู่ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint 3.0) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ

และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว

ท่านที่ใช้งาน OPPO Reno6 Z 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที

OPPO Reno6 Z 5G รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dirac ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (ระบบเสียง Dirac จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)

รองรับแอปพลิเคชัน O Relax ตัวช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยการทำสมธิจากการหายใจ พร้อมเพลง ดนตรี และเกมที่ช่วยเพิ่มสมาธิ คลายเครียด พร้อมช่วยให้นอนหลับสบาย

ที่สำคัญ OPPO Reno6 Z 5G ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่าง ๆ ภายในตัวเครื่อง, Kid Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่น ๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ

อีกทั้งยังมีฟังก์ชันป้องกันการแอบมอง สำหรับการแจ้งเตือน ด้วยระบบ AI ที่สามารถตรวจจับได้ว่ามีบุคคลอื่นแอบมองหน้าจอโทรศัพท์หรือไม่

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง OPPO Reno6 Z 5G นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor

ระบบนำทางด้วยดาวเทียม (GNSS : Global Navigation Satellite System) เพื่อการระบุตำแหน่ง มีมาครบทั้งระบบ GPS+A-GPS, Galileo, Glonass, BeiDou และ QZSS

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 800U แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.4 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G57 MC3, หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้ และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ ColorOS 11.1

OPPO Reno6 Z 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 394,804 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 603 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 1,774 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 3,378 คะแนน

OPPO Reno6 Z 5G รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

OPPO Reno6 Z 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Focus Mode ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่าง ๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้

ใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Cookie Run : Kingdom และ A3 : Still Alive ก็พบว่า OPPO Reno6 Z 5G พร้อมเปิดการแสดงผลระดับสูงสุด ก็พบว่าสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี โดยไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก แต่ก็มีการสะสมความร้อนให้เห็นบ้าง

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมกับหน้าจอ Punch-Hole AMOLED Display ขนาด 6.43 นิ้ว ในอัตราส่วนแบบ 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 90.8%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล : 409 ppi) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ ผสานเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม

นอกจากนี้ยังรองรับการชมคอนเทนต์แบบ HD ได้จากแอปพลิเคชันชื่อดังอย่าง Netflix และ Amazon Prime อีกด้วย

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมระบบกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) โดยแบ่งออกเป็น

- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Binning, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 25 มิลลิเมตร, มุมรับภาพ 79 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร, มุมรับภาพ 119 องศา และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน ซึ่งรองรับฟังก์ชันพื้นฐานครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra-Wide พร้อมฟังก์ชัน Smart Scene Recognition ในการตรวจจับซีนรูปแบบต่าง ๆ พร้อมปรับภาพให้สวยงามโดยอัตโนมัติ

มีโหมดถ่ายภาพให้ได้เลือกใช้งานแบบครบครัน ตั้งแต่การถ่ายภาพความละเอียดสูง Ultra-clear 108MP (Extra HD), Flash Snapshot,

รองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอในโหมด Portrait พร้อมเอฟเฟกต์แบบ Bokeh Flare Portrait กับ AI Color Portrait ที่ช่วยเสริมให้ตัวแบบโดดเด่นยิ่งขึ้น

และรองรับฟังก์ชัน AI Beauty ในการปรับผิวให้สวยเป็นธรรมชาติ ที่ระดับ 0-100%

รองรับโหมด Night สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ พร้อมการถ่ายภาพในมุมกว้างพิเศษแบบ Ultra-Wide รวมถึงเพิ่มฟิลเตอร์ได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Cosmopolitan, Astral และ Dazzle

รวมถึงฟังก์ชัน AI Palette ในการจำลองโทนสีจากภาพที่บันทึกไว้

OPPO Reno6 Z 5G รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K  UHD 30fps พร้อมการบันทึกมุมกว้างพิเศษแบบ Ultra-Wide และรองรับโหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady (รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p) รวมถึงระบบ Focus Tracking ในการเลือกโฟกัสที่ตัวแบบ หรือวัตถุที่ต้องการได้ โดยเมื่อมีการเคลื่อนไหวก็จะเป็นการล็อกโฟกัสตำแหน่งนั้นไว้

รองรับโหมด Beautification Video ในการนำ AI เข้ามาปรับผิวให้เนียนสวยแบบธรรมชาติ

และโหมด Dual-View Video ในการบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า-หลังได้พร้อมกัน

ด้านการถ่ายเซลฟี่ OPPO Reno6 Z 5G ก็มีโหมดยอดนิยมอย่าง Portrait ในการถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอให้ใช้ด้วยเช่นกัน พร้อมเอฟเฟกต์แบบ Bokeh Flare Portrait กับ AI Color Portrait เหมือนกล้องหลัง

และโหมด AI Beauty ที่สามารถเลือกปรับระดับส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างอิสระ

พร้อมรองรับการถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยด้วยโหมด Night Selfie

และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด ระดับ Full HD 1080p พร้อมโหมดกันสั่น รวมถึงปรับค่าผิวเนียนได้ในโหมด AI Beauty ที่ระดับ 0-100%

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 64+8+2 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno6 Z 5G

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare Portrait

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night พร้อมใส่ฟิลเตอร์แบบ Dazzle

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night พร้อมใส่ฟิลเตอร์แบบ Cosmopolitan

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night พร้อมใส่ฟิลเตอร์แบบ Cosmopolitan

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night พร้อมใส่ฟิลเตอร์แบบ Astral

ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Night พร้อมใส่ฟิลเตอร์แบบ Dazzle

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ OPPO Reno6 Z 5G

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด AI Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare Portrait

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno6 Z 5G

จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน OPPO Reno6 Z 5G มาระยะหนึ่งก็พอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno6 Z 5G เป็นมือถือ 5G รุ่นใหม่ที่น่าสนใจในงบหมื่นต้น ๆ ด้วยการดีไซน์ตัวเครื่องพรีเมียมแบบ Reno Glow ที่สะท้อนเล่นกับแสงในมุมตกกระทบต่าง ๆ ได้เป็นสีที่ต่างกันออกไป พร้อมความบางเบาเพียง 7.97 มิลลิเมตร (สี Aurora) และ 7.92 มิลลิเมตร (สี Stellar Black) จึงพกพาได้สะดวก และถือใช้งานได้ยาวนาน อีกทั้งยัง รอง รับการเชื่อมต่อ 5G คลื่นความถี่ในไทยตั้งแต่แกะกล่อง ด้วยชิปเซ็ตที่แรงพอตัวอย่าง MediaTek Dimensity 800U พร้อมทำงานได้อย่างลื่นไหลร่วมกับ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB ผสานเทคโนโลยี RAM Expansion ที่สามารถดึงพื้นที่ ROM มาใช้งานชั่วคราวได้อีกสูงสุด 5GB โดยมี ROM ขนาด 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าพื้นที่จะเต็มเร็ว

ด้านแบตเตอรี่มีความจุที่ 4310 mAh ซึ่งสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมรองรับโหมด Super Power Saving Mode + Super Nighttime Standby ที่ช่วยยืดระยะการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น และรองรับ เทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 30W VOOC Flash Charge 4.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 52 นาที จึงช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง OPPO Reno6 Z 5G ก็มี โหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่าง ๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง

OPPO Reno6 Z 5G ชูจุดขายสำคัญด้านการถ่ายภาพ Portrait ด้วยกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่เก็บภาพมุมกว้างได้ 119 องศา และกล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล โดย มีทีเด็ดที่ฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait เอฟเฟกต์การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอที่เสริมให้ตัวแบบมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น , โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง Ultra-Clear 108MP, โหมด Flash Snapshot, โหมดหน้าสวย (Beauty), ฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD พร้อมโหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady รวมถึง โหมด Portrait Beautification Video ในการนำ AI เข้ามาปรับผิวให้เนียนสวยแบบธรรมชาติ และโหมด Dual-View Video ใน การบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า-หลังได้พร้อมกัน รวมถึงระบบ Focus Tracking ในการล็อกจุดโฟกัสของตัวแบบ หรือวัตถุที่ต้องการได้เมื่อมีการเคลื่อนไหว

สำหรับ OPPO Reno6 Z 5G มีหน้าจอ Punch-Hole AMOLED Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล : 409 ppi) ในอัตราส่วนแบบ 20:9  จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080P ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ ผสานเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดสวยงามกว่าเดิม แต่ค่อนข้างน่าเสียดายที่รองรับค่า Refresh Rate ในระดับพื้นฐานที่ 60Hz เท่านั้น พร้อมกันก็มีการฝังเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint 3.0) ที่ทำงานร่วมกับระบบสแกนใบหน้า (Face Unlock) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บน ระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบทับด้วย ColorOS 11.1 เวอร์ชันใหม่ กับ UI/UX ดีไซน์โมเดิร์นสบายตา พร้อมฟีเจอร์ Dark Mode ในการปรับการแสดงผลพื้นหลังหน้าจอให้เป็นสีดำ และฟังก์ชัน Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบาย ๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง รวมถึงแอปพลิเคชัน O Relax ที่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการผ่อนคลาย

นอกจากนี้ OPPO Reno6 Z 5G ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยฟังก์ชันสำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Focus Mode ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ขณะเล่นเกม พร้อมกับฟีเจอร์ Graphics Acceleration ในการรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถเล่นเกมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเกมที่มีกราฟิกสวย ๆ ได้แบบไม่มีสะดุด

OPPO Reno6 Z 5G เปิดราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วที่ 12,990 บาท กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ สี Aurora และสี Stellar Black โดยเปิดให้สั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order) ได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 พร้อมรับฟรี E-VIP Card รับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี และ Bluetooth Speaker มูลค่ารวมกว่า 7,099 บาท ท่านที่สนใจสามารถสั่งจอง OPPO Reno6 Z 5G ได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านตัวแทนจำหน่าย รวมทั้งช่องทางออนไลน์ที่ OPPO Official Store , Lazada , Shopee , Thisshop และ JD Central

หน้าตาของกล่อง Special Gift ที่มาพร้อมกับ OPPO Reno6 Z 5G สำหรับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้า

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno6 Z 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ OPPO Reno6 Z 5G

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ OPPO Reno Glow ด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบ Diamond Spectrum Process รูปแบบใหม่ พร้อมชั้นฟิล์มแบบ Multiple Films ที่มีพื้นผิว และสีสันที่แตกต่างกัน ซึ่งให้เอฟเฟกต์แบบไดนามิก กับความระยิบระยับไล่เฉดสี และสะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่าง ๆ รวมทั้งมีคุณสมบัติของการป้องกันรอยนิ้วมือ - ระบบระบายความร้อนแบบ Multi-Cooling - ตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 7.92 มิลลิเมตร (สี Stellar Black) หรือ 7.97 มิลลิเมตร (สี Aurora) - หน้าจอแสดงผล Punch-Hole AMOLED FHD Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1080 พิกเซล : 409 ppi) พร้อมอัตราส่วนการแสดงผลแบบ 20:9, พื้นที่แสดงผล 90.8%, ค่า Touch Sampling Rate ที่ 180 Hz (Game Mode), แสดงผลช่วงสีแบบ NTSC ได้ 96%, ค่า Contrast Ratio ที่ 1,000,000:1 และค่าความสว่างสูงสุดที่ 800 nits (Peak) - เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint 3.0) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) - ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 800U 5G (MT6853) ความเร็ว 2.4 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G57 MC3 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี RAM Expansion ที่ช่วยเพิ่มขนาดของแรมได้สูงสุด 5 GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB - รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD - แบตเตอรี่ Li-Ion ความจุ 4310 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 30W VOOC 4.0 - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 11.1 กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

> กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Binning, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 25 มิลลิเมตร, มุมรับภาพ 79 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ > กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร, มุมรับภาพ 119 องศา และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ > กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

พร้อมรองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง Ultra-Clear 108MP, โหมด Flash Snapshot, โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเอฟเฟกต์แบบ Bokeh Flare Portrait และ AI Color Portrait, โหมดหน้าสวย (Beauty), ฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD พร้อมโหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady, โหมด Portrait Beautification Video ในการนำ AI เข้ามาปรับผิวให้เนียนสวยแบบธรรมชาติ และโหมด Dual-View Video ในการบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า-หลังได้พร้อมกัน รวมถึงระบบ Focus Tracking ในการล็อกจุดโฟกัสของตัวแบบ หรือวัตถุที่ต้องการได้เมื่อมีการเคลื่อนไหว กล้องดิจิทัลด้านหน้าฝังบนจอ (In-Display Selfie) ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อม AI-Enhanced Sensing สำหรับใช้งาน Air Gestures, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร, มุมรับภาพ 85 องศา, โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์, รองรับโหมด AI Beauty ที่สามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ, โหมด Portrait พร้อมเอฟเฟกต์แบบ Bokeh Flare Portrait และ AI Color Portrait ในการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ โดยมีพื้นหลังสีขาว-ดำ ขณะที่ยังคงสีสันของตัวแบบไว้, ฟีเจอร์ Dual-View Video และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (30 fps)

- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 2.4/5GHz, 5G NR, 4G LTE, 3G, EDGE และGPRS - รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.1 - รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM) บนถาดแบบ Triple Slot - รองรับการระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Galileo, Glonass, BeiDou และ QZSS - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 2.0) - พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร - ระบบเสียง Real HD Sound พร้อมระบบ Dirac 2.0 - ฟังก์ชัน App Lock, Hide Apps และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัวรวมถึง Kid Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก - ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่น ๆขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่นการเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่าง ๆ - การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่าง ๆ ให้เป็นสีดำ - โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก - แอปพลิเคชัน O Relax ช่วยในการทำสมาธิ, คลายเครียด และช่วยให้นอนหลับสบาย - ระบบ Multi-User สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง - ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม - ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่าง ๆ  รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ - ฟีเจอร์ Multi-Screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่น ๆ โดยไม่ต้องใช้สาย - แอปพลิเคชัน Soloop สำหรับช่วยตัดต่อวิดีโอแบบอัตโนมัติ - ราคา 12,990 บาท ถือว่าเหมาะสมเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno6 Z 5G

- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว - หน้าจอมีค่า Refresh Rate สูงสุดที่ 60Hz - ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ หรือป้องกันฝุ่น - ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนเมื่อใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno6 Z 5G ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

Leave a Comment