รีวิว Samsung Galaxy S10 | S10+ ยอดเรือธงแห่งทศวรรษ กับฟีเจอร์จัดหนักที่สุดในรอบ 10 ปี บนดีไซน์ใหม่สุดพรีเมียม!:: Thaimobilecenter.com

ยอดเรือธงแห่งทศวรรษ กับฟีเจอร์จัดหนักที่สุดในรอบ 10 ปี! ด้วยจอ Infinity-O Dynamic AMOLED HDR+ ผสานระบบสแกนนิ้ว Ultrasonic, กล้อง AI Triple Camera มุมกว้างแบบ Ultra Wide ผสานกล้องหน้า Dual Pixel, ชิปเซ็ต Exynos 9820 ผสาน RAM สูงสุด 12GB + ROM สูงสุด 1TB, แบตเตอรี่ Wireless PowerShare, ลำโพงคู่ AKG และรองรับ Wi-Fi 6 บนตัวเครื่อง Metal Glass โฉมใหม่ที่ไม่กลัวน้ำ และความร้อน

29 เมษายน 2019 - สวัสดีครับ ก็กลับมาพบกันอีกครั้งกับการรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดโดยทีมงาน Thaimobilecenter สำหรับสมาร์ทโฟนทั้ง 2 เครื่องที่เรานำมารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันในวันนี้ก็คือ Samsung Galaxy S รุ่นฉลองครบรอบ 10 ปี ได้แก่ Galaxy S10 และ S10+ ซึ่งถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมดให้สมกับเป็นเรือธงแห่งทศวรรษ ตั้งแต่ รูปลักษณ์ภายนอก, จอแสดงผล, หน่วยประมวลผล, กล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง, แบตเตอรี่, หน่วยความจำ, ระบบ AI และอีกมากมาย จนมีกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรน่าประทับใจขนาดไหน และคุ้มค่าเงินที่จ่ายออกไปหรือไม่ เชิญไปติดตามกันต่อในรีวิวฉบับเต็มได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

เมื่อมาดูที่ด้านหน้าตัวเครื่องของ Galaxy S10 กับ S10+ ก็จะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปจาก S9 กับ S9+ ค่อนข้างชัดเจนครับ นั่นคือเปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ Infinity-O ซึ่งมีการเจาะรู หรือ Hole Punching ที่มุมขวาบนของหน้าจอ

โดยใน S10 จะมีกล้อง Selfie เพียงกล้องเดียว ส่วน S10+ จะมี 2 กล้องคือกล้องเซลฟี่ กับกล้อง RGB Depth

และจะเห็นว่าขอบสีดำที่ด้านบน กับด้านล่าง ก็บางเฉียบกว่าเดิมอีกด้วย

ในด้านขนาดหน้าจอของ Galaxy S10 จะมีขนาดอยู่ที่ 6.1 นิ้ว ส่วน S10+ จะมีขนาดอยู่ที่ 6.4 นิ้ว

เมื่อพลิกมาที่ด้านหลังตัวเครื่องก็จะพบว่ากล้องถ่ายภาพก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

นั่นคือมีกล้องเพิ่มเป็น 3 ตัว หรือ Triple Camera และมีการจัดเรียงในแนวนอน

กระจกหน้าจอของ Galaxy S10 กับ S10+ นั้นเป็นกระจกนิรภัยรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Gorilla Glass 6

ส่วนที่ด้านหลังจะเป็นกระจก Gorilla Glass 5

และกรอบด้านข้างนั้นทำมาจากโลหะอะลูมิเนียมซีรีย์ 7000 ที่ดูพรีเมียมสวยหรู และแข็งแกร่งทนทาน

Galaxy S10 และ S10+ มาพร้อมกับลำโพงเสียงแบบคู่ ที่อยู่ด้านบน กับด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งถูกปรับแต่งเสียงโดย AKG

และรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ที่ฟังแล้วดูมีมิติเสียงที่ดีกว่าเดิม

นอกจากนี้ก็มาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ตามยุคสมัย

และมีช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรติดตั้งมาให้ใช้งาน แต่ตัวเครื่องกลับยังคงดูบางเฉียบ

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องยังคงมีปุ่มเรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Bixby มาให้เช่นเคย

ถาดใส่ซิมการ์ดยังคงเลือกใช้แบบ Hybrid Slot ซึ่งช่องใส่ซิมการ์ดที่สอง ต้องเลือกใส่อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ดแบบ nanoSIM หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD

และแน่นอนว่าตัวเครื่องยังคงมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 ซึ่งแม้เราจะเผลอทำตัวเครื่องหล่นลงไปใต้น้ำแบบนี้ ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่หากหลีกเลี่ยงการโดนน้ำได้ก็จะดีที่สุดครับ

หน้าจอ และเทคโนโลยีด้านการแสดงผล

แม้ว่าขนาดหน้าจอของ Galaxy S10 กับ S10+ จะแตกต่างกัน ที่ 6.1 นิ้ว กับ 6.4 นิ้ว ตามลำดับ แต่เรื่องเทคโนโลยีด้านการแสดงผลนั้นยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน

เริ่มตั้งแต่ใช้ดีไซน์หน้าจอใหม่ล่าสุดแบบ Infinity-O ในอัตราส่วนใหม่แบบ 19:9 ที่ไร้รอยบาก และแทนที่ด้วยการเจาะรูที่มุมบนขวา หรือที่เรียกว่า Hole Punching

มีความละเอียดอยู่ที่ระดับ 2K QHD+ หรือ 3040x1440 พิกเซล

เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้จอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED HDR+ ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+

โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Dynamic Tone Mapping ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้เหมาะสมกับภาพที่เห็นอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้สถาบันทดสอบชื่อดังอย่าง DisplayMate ยังรับรองค่าความเที่ยงตรงของสีมากถึง 0.4 JNCD หรือใกล้เคียงค่า 0 มากที่สุด ตามมาตรฐาน DCI-P3, สามารถแสดงผลสีได้เต็ม 100% จากการรับรองของสถาบัน VDE ในประเทศเยอรมนี, มีค่าความเปรียบต่างมากถึง 2,000,000:1 และมีค่าความสว่างสูงสุดถึง 1200 nits

สามารถลดแสงสีฟ้าได้มากกว่าเดิม 42% เมื่อเทียบกับหน้าจอของ Galaxy S9 รวมถึงได้รับการรับรองว่าเป็นหน้าจอที่ถนอมสายตา หรือ Eye Comfort Display จากสถาบัน TUV Rheinland

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ใช้งานยังสามารถปรับโหมดการแสดงผลได้เอง 2 โหมดด้วยกัน นั่นคือ Vivid กับ Natural รวมถึงการปรับค่าสมดุลสีขาว

สามารถเปิดใช้ฟังก์ชัน Video Enhancer เพื่อช่วยให้การแสดงผลวิดีโอดูสวยงามขึ้นได้

เทคโนโลยีด้านระบบรักษาความปลอดภัย

ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือเป็นรุ่นแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic ซึ่งเป็นการสแกนแบบ 3 มิติ ที่ปลอดภัยกว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่า จนได้รับการรับรองความปลอดภัยตามมาตรฐาน FIDO ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงสามารถสแกนขณะนิ้วเปียกน้ำได้ด้วย

นอกจากระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic แล้ว ก็ยังคงมาพร้อมกับระบบจดจำใบหน้า หรือ Face Recognition ที่สามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Lift to Wake ซึ่งขณะที่หน้าจอล็อกอยู่ เราก็แค่ยกตัวเครื่องขึ้นมา แล้วก็สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกได้ทันที

หรือจะเลือกใช้การแตะที่หน้าจอติดๆ กัน 2 ครั้ง เพื่อปลุกการทำงานก็ได้เช่นกัน แต่ที่น่าเสียดายก็คือระบบสแกนม่านตาที่เคยมีใน Galaxy S9 หรือ Note 9 นั้นกลับถูกตัดออกไป

ฟิล์ม และกระจกกันรอยสำหรับ Samsung Galaxy S10 | S10+

และสำหรับท่านใดที่ต้องการฟิล์ม หรือกระจกกันรอยที่สามารถใช้ร่วมกับระบบสแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic ของ Galaxy S10 ได้ ผมก็มีมาแนะนำอยู่ 2 รุ่นครับ รุ่นแรกคือ Hi-Shield UV Glue กระจกกันรอยกาว UV สุดแกร่งที่หนาถึง 0.25 มิลลิเมตร ซึ่งติดสวยแนบสนิททั้งจอ, ขอบไม่เด้ง และไม่มีรูที่กระจก

ส่วนรุ่นที่สองคือ Hi-Shield Hybrid Film ฟิล์มกันรอยที่ป้องกันแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม ด้วยเนื้อฟิล์มที่เหนียวแข็งแรง, มีความยืดหยุ่นสูง, ไม่ย้วย และไม่มีรูที่ฟิล์ม ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็มีวางจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว

ระบบการทำงานพื้นฐาน และคุณสมบัติที่น่าสนใจในเบื้องต้น

สำหรับเครื่อง Galaxy S10+ ที่เราได้มาทดสอบนั้นเป็นโมเดล SM-G975F/DS ซึ่งเป็นโมเดลที่วางจำหน่ายในประเทศไทย และได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด

โดยมาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 9820, หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G76 MP12, หน่วยความจำภายในขนาด 128GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB, แบตเตอรี่ความจุ 4100 mAh ส่วนรุ่น S10 จะมีความจุอยู่ที่ 3400 mAh และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย One UI เวอร์ชัน 1.1

และมีการพัฒนาร่วมกับ Unity Engine ที่มีส่วนแบ่งการตลาดของเกมบนสมาร์ทโฟนกว่า 40% ซึ่งหากเกมไหนพัฒนาอยู่บน Unity Engine ก็จะเล่นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 10% บน Galaxy S10 กับ S10+

รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูง หรือ Fast Wirless Charging 2.0 ด้วยกำลังไฟ 15W

อีกทั้งยังสามารถแชร์พลังงานให้กับสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วยเทคโนโลยี Wireless PowerShare ด้วยกำลังไฟ 9W วิธีการก็ง่ายๆ เพียงแค่เอามาแตะที่หลังเครื่องเท่านั้น แต่อุปกรณ์นั้นๆ ก็ต้องรองรับมาตรฐาน WPC Qi Wireless Charging ด้วยเช่นกัน หรือจะชาร์จไปแชร์ไปก็ได้นะครับ

Samsung Galaxy S10 นั้นมาพร้อมกับ User Interface ใหม่ล่าสุดของ Samsung เองอย่าง One UI เวอร์ชัน 1.1 ที่พัฒนาจาก Samsung Experience ให้ดูสวยทันสมัย, สบายตา, ใช้งานได้ง่ายขึ้น, เน้นดีไซน์ที่โค้งมน และมีฟีเจอร์ใหม่หลายอย่างด้วยกัน

เช่นโหมดกลางคืนที่จะเปลี่ยนการแสดงผลเป็นสีดำ เมื่อต้องใช้งานในที่มืด ซึ่งช่วยถนอมสายตา และช่วยประหยัดพลังงาน รวมทั้งสามารถกำหนดช่วงเวลาใช้งานได้

สามารถจัดการกับการแจ้งเตือนบน Status Bar ที่ด้านบนได้ง่าย รวมถึงการแสดงปริมาณของแบตเตอรี่เป็นเปอร์เซ็นต์

ยังคงสามารถปรับแต่งหน้า Home Screen ได้อย่างอิสระเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นภาพพื้นหลัง, ธีม, วิดเจ็ต และอื่นๆ โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ในแอปพลิเคชัน Galaxy Themes

เมื่อเข้ามาที่หน้า App Drawer ก็จะเห็นว่าหน้าตาไอคอนของแอปพลิเคชันต่างๆ นั้นเปลี่ยนไป ดูโค้งมนสวยงามทันสมัยมากขึ้น

การใช้งานปุ่ม Navigation สามารถเลือกได้ 2 รูปแบบคือ รูปแบบปกติ และแบบ Full Screen Gestures ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีใช้งานเป็นการลากจากขอบหน้าจอด้านล่างขึ้นมาแทน เช่นหากเราต้องการกลับเข้าหน้าโฮม เราก็เพียงแค่ลากจากส่วนกลางของขอบหน้าจอด้านล่างขึ้นมาดังที่เห็นนี้

ด้วยการที่เป็นจอขอบโค้ง จึงยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Edge Panels กับ Edge Lighting เช่นเคย โดยในส่วนของ Edge Panels ก็มีเครื่องมือให้เลือกใช้มากมาย และในส่วนของ Edge Lighting เราก็สามารถปรับแต่งรูปแบบของการแสดงผลไฟบนขอบโค้งได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์, สี, ความโปร่งใส, ความกว้าง และช่วงเวลา

มีฟังก์ชันป้องกันการสัมผัสหน้าจอโดยไม่ตั้งใจ และการเพิ่มความไวของการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอ โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้ร่วมกับฟิล์มกันรอย หรือกระจกกันรอยแบบต่างๆ

ฟังก์ชันยอดนิยมอย่าง Always On Display ก็ยังคงมีมาให้ใช้งานกันเช่นเคย พร้อมทั้งหน้าตาของนาฬิกาที่สามารถปรับเปลี่ยนได้มากมาย รวมถึงสีสันที่เลือกได้ตามใจชอบ และการกำหนดการใช้งาน FaceWidgets บนหน้าจอ Lock Screen

การใช้งานกล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ของ Galaxy S10+ สำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

มาดูจุดขายสำคัญอย่างกล้องถ่ายภาพกันบ้างครับ โดยคราวนี้กล้องตัวหลักของ Galaxy S10 และ S10+ ได้อัปเกรดใหม่ให้เป็นกล้องแบบ 3 ตัว หรือ Triple Camera เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การถ่ายภาพของผู้ใช้งานส่วนใหญ่ได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่การถ่ายภาพทั่วไป, ภาพบุคคล และภาพวิวทิวทัศน์ รวมทั้งมีการเปลี่ยนมาจัดวางตำแหน่งในแนวนอนแทน

โดยกล้องด้านหลัง 3 ตัวของ Galaxy S10 และ S10+ นั้นมีคุณสมบัติที่เหมือนกันทุกประการครับ ประกอบไปด้วยกล้องตัวที่หนึ่งแบบ Telephoto 12 ล้านพิกเซล มุมรับภาพ 45 องศา พร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF, รูรับแสงขนาด f/2.4 และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, กล้องตัวที่สองแบบ Wide Angle Super Speed Dual Pixel Autofocus 12 ล้านพิกเซล มุมรับภาพ 77 องศา พร้อมรูรับแสงที่ปรับได้ 2 ขนาดคือ f/1.5 กับ f/2.4 และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และกล้องตัวที่สามแบบ Ultra Wide 16 ล้านพิกเซล มุมรับภาพกว้างพิเศษที่ 123 องศา พร้อมรูรับแสงขนาดf/2.2 ส่วนที่ด้านขวาสุดก็จะเป็นไฟแฟลชแบบ LED และเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ

บนหน้าจอหลัก เราสามารถปรับมุมรับภาพได้ 3 ระดับ คือที่ 1x หรือ 77 องศา ซึ่งเป็นมุมกว้างปกติ, 0.5x หรือ 123 องศา ซึ่งเป็นมุมกว้างพิเศษ และ 2x หรือ 45 องศา ซึ่งเป็นมุมรับภาพสำหรับถ่ายระยะไกล

และเราสามารถเลือกเปิดฟังก์ชันแก้ไขความบิดเบี้ยวจากการถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษแบบ Ultra Wide ได้ด้วย

นอกจากจะสามารถซูมด้วยเลนส์แบบ Optical Zoom ได้ 2 เท่าแล้ว เรายังสามารถซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุดที่ 10 เท่า

สามารถกำหนดอัตราส่วนของภาพถ่ายได้ 4 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ 4:3, 16:9, 1:1 และ 19:9 หรือ Full

มีระบบ AI ที่เรียกว่า Scene Optimizer ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์สิ่งที่กล้องเห็น แล้วตั้งค่ากล้องให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ โดยระบบ Scene Optimizer ใน Galaxy S10 นั้นมีเพิ่มเข้ามาใหม่อีก 10 หมวดหมู่ รวมเป็น 30 หมวดหมู่

และนี่ก็คือตัวอย่างของระบบ Scene Optimizer เช่นเมื่อกล้องเห็นดอกไม้ ก็จะทำการปรับตั้งค่าให้เหมาะสมกับการถ่ายภาพดอกไม้ให้โดยอัตโนมัติ โดยสังเกตไอคอนที่มุมบนขวาตรงนี้ ซึ่งจะเห็นว่ามีซีนเด็กทารกเพิ่มเข้ามาใหม่, มีซีนใบหน้าเพิ่มเข้ามาใหม่, มีซีนกลุ่มคนเพิ่มเข้ามาใหม่ และอีกหลายๆ ซีน

นอกจากนี้ภายใน Scene Optimizer ก็ยังมีฟีเจอร์อัจฉริยะอีก 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ฟังก์ชัน Bright Night ที่จะช่วยเพิ่มความสว่างในสถานที่ ที่มืดมากเป็นพิเศษ ด้วยการวัดแสงในจุดต่างๆ รวม 7 ภาพ แล้วมารวมเป็นภาพเดียว, ฟังก์ชัน Document Scan ที่สามารถตรวจจับเอกสาร แล้วสแกนได้โดยไม่มีความบิดเบี้ยว และฟังก์ชัน Starburst ที่ช่วยเพิ่มแฉกของแสงไฟให้โดยอัตโนมัติเมื่อตรวจเจอดวงไฟในในที่มืด

และนี่ก็คือตัวอย่างของฟังก์ชัน Bright Night ซึ่งจะเห็นว่าหากเราถ่ายภาพในที่มืดมากๆ ด้วยโหมดปกติ ภาพที่ได้ก็จะดำสนิทจนแทบไม่เห็นรายละเอียดใดๆ แต่หากเราเปิดฟังก์ชัน Bright Night ภาพที่ได้ก็จะดูสว่าง และเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนกว่ามาก

และนี่ก็คือตัวอย่างของฟังก์ชัน Star Burst ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อเราเล็งกล้องไปที่หลอดไฟขณะที่อยู่ในเวลากลางคืน กล้องก็จะใส่แฉกของแสงไฟให้เราโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากเราไปถ่ายภาพในสถานที่ ที่มีหลอดไฟเยอะๆ ก็จะดูสวยงามเป็นพิเศษ

มีฟังก์ชัน Shot Suggestions ที่ช่วยจัดวางองค์ประกอบของภาพที่สวยงามที่สุดให้ จากการเรียนรู้มากว่า 100 ล้านรูป

และนี่ก็คือตัวอย่างของฟังก์ชัน Shot Suggestion โดยกล้องจะวิเคราะห์ให้ว่าภาพแบบนี้ควรจะจัดวางองค์ประกอบแบบไหน แล้วก็จะปรากฏมาเป็นเส้นนำสายตา กับกรอบวงกลม ที่เหลือเราก็เพียงแค่เล็งกล้องให้ตรงเท่านั้นเองครับ

และมีฟังก์ชัน Flaw Detection ที่ช่วยแจ้งเตือนการกะพริบตา หรือการเคลื่อนไหวของคนในภาพที่ทำให้เกิดการเบลอ รวมถึงกรณีที่มีคราบเปื้อนติดอยู่บนเลนส์กล้อง

ยังคงมาพร้อมกับโหมด Live Focus สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ แต่คราวนี้มีฟังก์ชันใหม่เพิ่มเข้ามา คือสามารถเลือกเอฟเฟกต์การเบลอฉากหลังได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ คือแบบปกติ, แบบหมุนวน, แบบซูม และแบบดูดสี นอกจากนี้ก็ยังสามารถปรับระดับการเบลอได้ 7 ระดับ

สามารถเลือกใส่ฟิลเตอร์สีแบบต่างๆ ได้ และมีฟังก์ชัน Beauty ให้เลือกใช้ โดยปรับค่าความสวยเนียนของใบหน้าได้ 3 ระดับ

หรือจะปรับตั้งค่า Beauty แบบ Manual ก็ได้เช่นกัน ทั้งส่วนของผิวหน้า, กราม, คาง, ดวงตา, จมูก และปาก

นอกจากนี้ก็ยังเอฟเฟกต์อื่นๆ ให้เราเลือกดาวน์โหลดมาใช้งานอีกมากมาย

มีโหมด Pro มาให้ใช้งานอีกเช่นเคย ซึ่งเราสามารถปรับตั้งค่ากล้องได้เองแบบ Manual ทั้งค่าความไวแสง, ความเร็วชัตเตอร์, รูรับแสง ซึ่งมีให้เลือก 2 ค่าคือ f/1.5 กับ f/2.4, สี และแสง, ระยะโฟกัส, สมดุลสีขาว ซึ่งเราสามารถปรับค่าอุณหภูมิสีได้อย่างอิสระ และสุดท้ายคือค่าชดเชยแสง

และมีโหมดถ่ายภาพแบบ Panorama กับโหมดถ่ายภาพอาหาร ให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน

รองรับการถ่ายภาพแบบ HDR ซึ่งกล้องจะเปิดใช้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เหมาะสม

มีระบบโฟกัสแบบติดตามวัตถุ หรือ Tracking Autofocus

มีฟังก์ชัน Motion Photos ซึ่งจะบันทึกคลิปวิดีโอเหตุการณ์สั้นๆ ก่อนที่เราจะถ่ายรูปแต่ละรูป

สามารถกำหนดได้ว่า เมื่อกดปุ่มชัตเตอร์ค้างเอาไว้ จะมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งค่าเริ่มต้นก็คือการถ่ายภาพต่อเนื่อง

รองรับการบันทึกภาพเป็นไฟล์ HEIF ซึ่งหากเทียบกับไฟล์ JPG หรือ PNG ไฟล์ HEIF ก็จะมีคุณภาพสูงกว่า ในขณะที่ขนาดไฟล์เล็กกว่า แต่การนำไปใช้งานในบางแพลตฟอร์มอาจจะยังไม่รองรับไฟล์ชนิดนี้

รองรับการบันทึกภาพเป็นไฟล์ RAW ซึ่งก็จะมีการบันทึกภาพเป็นไฟล์ JPG ไปพร้อมๆ กันด้วย

สามารถตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้าได้ที่ 2, 5 และ 10 วินาที

รองรับการสั่งถ่ายภาพด้วยเสียง และการยกฝ่ามือ

ยังคงมาพร้อมกับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Bixby Vision ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ก็คือ Lens และ Apps โดยในส่วนของ Lens นั้นจะประกอบไปด้วยข้อมูลช้อปปิ้ง, ข้อมูลรูปภาพ, ข้อความ, ไวน์, QR Code, สถานที่ และการแปลภาษาแบบสดๆ

โดย Bixby Vision สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร, ซื้อได้ที่ไหน หรือมีราคาเท่าไหร่ รวมทั้งหากเป็นข้อความ ก็จะสามารถแปลให้เราได้ทันทีแบบ Real-Time ทั้งภาษาไทย และภาษาอื่นๆ หรือจะแปลงข้อความที่เห็น ให้กลายเป็นไฟล์ Text แล้วเก็บบันทึกไว้ก็ได้เช่นกัน หรือหากเป็น QR Code ก็สามารถสแกนแล้วเข้าไปดูรายละเอียดได้อย่างรวดเร็ว

อีกส่วนก็คือ Bixby Vision Apps ซึ่งก็มีแอปพลิเคชันดีๆ ที่น่าใช้งานอยู่หลายตัวด้วยกัน ทั้ง Adobe Scan, Picture Link และ Amazon Assistant เช่นหากเป็นแอปพลิเคชัน Picture Link ก็จะเป็นการนำเอาเทคโนโลยี Augmented Reality มาใช้สร้างคอนเทนต์แบบ AR ที่ดูน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง

ส่วนความสามารถด้านการถ่ายวิดีโอก็นับว่าไม่ธรรมดาครับ โดยสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที

ที่สำคัญคือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่สามารถถ่ายวิดีโอแบบ HDR10+ ได้

นอกจากนี้ก็ยังมีระบบป้องกันการสั่นใหม่ล่าสุดแบบ Super Steady ที่กันสั่นได้ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับกล้อง Action Camera

สามารถถ่ายวิดีโอได้ทั้งมุมกว้างพิเศษ, มุมกว้างปกติ และระยะไกล โดยสามารถซูมแบบ Optical ได้สูงสุด 2 เท่า และซูมแบบ Digital ได้สูงสุด 10 เท่า

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 960 เฟรมต่อวินาที ได้นานกว่าเดิม 2 เท่า คือเพิ่มเป็น 0.8 วินาที และเปิดเล่นได้นานสูงสุด 24 วินาที แต่ความละเอียดยังคงอยู่ที่ระดับ HD ไม่ใช่ Full HD

แต่หากเป็นโหมด Slow Motion ปกติ ที่ความเร็ว 240 เฟรมต่อวินาที ก็จะสามารถถ่ายที่ความละเอียดระดับ Full HD ได้

และสุดท้ายก็คือสามารถถ่ายวิดีโอแบบ Hyperlapse ได้ ซึ่งต่างจากวิดีโอแบบ Time Lapse คือกล้องของเรามีการเคลื่อนที่ไปด้วยนั่นเอง

การใช้งานกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual Camera) ของ Galaxy S10+ สำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

กล้องคู่ด้านหน้าของ Galaxy S10+ จะประกอบไปด้วยกล้อง Dual Pixel Autofocus ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.9 กับกล้อง RGB Depth Fixed Focus ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.2

เมื่อสลับมาใช้งานกล้องหน้า ก็จะมีหน้าตาดังที่เห็นนี้ครับ โดยเมนูหลักจะแบ่งออกเป็นโหมดถ่ายภาพ, โหมดถ่ายวิดีโอ และโหมด Live Focus

สามารถถ่ายได้ทั้งมุมเซลฟี่ปกติ และเซลฟี่แบบกว้าง หรือ Wide Selfie

ที่สำคัญคือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลก ที่กล้องหน้ามีระบบโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel Autofocus ซึ่งโฟกัสได้รวดเร็วแม่นยำไม่แพ้กล้องหลัง

มีระบบตรวจจับใบหน้า ที่ช่วยให้ใบหน้าคมชัดสวยงาม

มีฟังก์ชัน Selfie Shape Correction ที่ช่วยให้รูปทรงใบหน้าของเราไม่บิดเบี้ยว

สามารถเลือกอัตราส่วนภาพได้ 4 รูปแบบคือ 3:4, 9:16, 1:1 และ Full หรือ 19:9

สามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอด้วยโหมด Live Focus พร้อมปรับระดับการเบลอได้ 7 ระดับ และเลือกเอฟเฟกต์การเบลอได้ 4 รูปแบบ เช่นเดียวกับกล้องหลัง

มีฟิลเตอร์สีให้เลือกใช้มากมาย และดาวน์โหลดมาติดตั้งเพิ่มเติมได้

มีฟังก์ชัน Beauty ที่ช่วยเพิ่มความสวยเนียนของใบหน้า

ซึ่งฟังก์ชัน Beauty นี้ก็สามารถใช้ร่วมกับการถ่ายวิดีโอได้ด้วยเช่นกัน

และเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลก ที่กล้องหน้าสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 4K ได้ โดยมีความเร็วที่ 30 เฟรมต่อวินาที

นอกจากนี้ก็ยังคงมาพร้อมกับฟังก์ชัน AR Emoji ที่สามารถสร้าง Emoji จากใบหน้าของเราเองได้ แต่คราวนี้ถูกอัปเกรดให้สามารถแสดงสีหน้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 140 รูปแบบ รวมทั้งสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวได้ทั้งตัว ไม่เฉพาะแค่ใบหน้าเท่านั้น โดยสามารถปรับแต่งได้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า, ทรงผม, หนวดเครา, รูปทรงใบหน้า, ดวงตา, คิ้ว, จมูก, ปาก, หู, เสื้อ, กางเกง, ชุดเดรส, รองเท้า, หมวก, แว่นตา และเครื่องประดับ

เมื่อปรับแต่งจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็เพียงกดสร้าง Emoji แล้วรอเพียงแค่อึดใจเดียว ก็จะมี Emoji สวยๆ เป็นของตัวเองแล้ว

และด้วยฟังก์ชัน Mask เราก็สามารถนำใบหน้า Emoji ของเรา ไปใส่ไว้บนใบหน้าของเพื่อนได้ ซึ่งก็เป็นลูกเล่นที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนานได้

และด้วยฟังก์ชันใหม่อย่าง Mini Motion เราก็สามารถทำ Emoji ด้วยการเคลื่อนไหวได้แบบทั้งตัว ไม่เฉพาะแค่ใบหน้าเท่านั้น

โดย AR Emoji ที่เราสร้างขึ้นมานี้ สามารถถ่ายเก็บเป็นไฟล์รูปภาพ หรือจะถ่ายเก็บเป็นคลิปวิดีโอก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ก็ยังมี AR Emoji เป็นรูปตัวการ์ตูนต่างๆ ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานในเครื่อง

รวมทั้งสติกเกอร์แบบต่างๆ ที่สามารถเอามาแปะไว้บนใบหน้าของเราได้

ฟีเจอร์เด่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สำหรับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Bixby ก็ถูกเพิ่มความสามารถใหม่เข้ามา นั่นคือ Bixby Routines ซึ่งเราสามารถปรับแต่งการทำงานได้เองแบบ If กับ Else คล้ายกับภาษาคอมพิวเตอร์ เช่นหากถึงเวลาเท่านี้ จะให้เครื่องทำอะไร หรือหากอยู่ในสถานที่นี้ จะให้เครื่องเปิดฟังก์ชันไหน อย่างเวลาก่อนนอน เราอยากจะให้ปิดเสียง, เปิดฟังก์ชันกรองแสงสีฟ้า, ลดความสว่างของหน้าจอ และเปิดโหมดกลางคืน คำสั่งก็จะมีหน้าตาประมาณนี้ครับ

นอกจากนี้ก็จะมีฟังก์ชัน Bixby Voice สำหรับสั่งงานด้วยเสียง เช่นหากเราอยากรู้ว่าอากาศวันนี้เป็นอย่างไร ก็คุยกับ Bixby ได้ทันที

มีหน้า Bixby Home ซึ่งจะรวมข้อมูลทุกอย่างที่เราสนใจเอาไว้ในที่เดียวกัน

ซึ่งโดยปกติแล้วปุ่ม Bixby ที่อยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง หากกดครั้งเดียวจะเป็นการเข้าสู่หน้า Bixby Home แต่เรายังสามารถกำหนดได้ด้วยว่าเมื่อกดปุ่ม Bixby ติดๆ กัน 2 ครั้ง จะให้เปิดแอปพลิเคชันใด หรือเรียกใช้คำสั่ง Quick Commands แบบไหน

นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ที่มีทั้งโหมดอัตโนมัติ, ชมภาพยนตร์, เพลง และเสียง รวมถึง Dolby Atmos สำหรับการเล่นเกม

ฟังก์ชัน Adapt Sound สำหรับปรับตั้งค่าเสียงให้เหมาะกับผู้ใช้งานในแต่ละช่วงอายุ

สามารถแยกเสียงจากแอปพลิเคชันหนึ่ง ไปยังลำโพงภายนอกได้ เช่นในขณะที่เราฟังเสียงจากคลิป YouTube ด้วยลำโพงในตัว ในเวลาเดียวกันเราก็ยังสามารถเปิดฟังไฟล์เพลงที่ลำโพงบลูทูธได้ด้วย

สามารถเลือกเปิดสัญญาณไฟแฟลชเมื่อมีการแจ้งเตือน หรือนาฬิกาปลุกร้องได้ ทั้งไฟแฟลชของกล้อง และการเปล่งแสงจากหน้าจอ

ด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ก็เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6 ซึ่งดีกว่ามาตรฐานเดิมอย่าง Wi-Fi 5 ทั้งเรื่องความเร็ว, การตอบสนอง, การใช้งานในพื้นที่ที่มีคนใช้งานหนาแน่น และการลดสัญญาณรบกวน

มีฟังก์ชัน Download Booster ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของการดาวน์โหลดด้วยการเปิดให้ Wi-Fi กับ 4G LTE ทำงานไปพร้อมๆ กัน

รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ NFC และ MST ซึ่งใช้สำหรับจ่ายเงินผ่านมือถือ, แชร์ข้อมูล และอ่าน หรือเขียนข้อมูลบน NFC Tags

และแน่นอนว่ารองรับการใช้งานร่วมกับบริการ Samsung Pay อย่างเต็มรูปแบบ

มีแอปพลิเคชัน Game Launcher ที่จะรวมทุกเกมเอาไว้ในที่เดียวกัน พร้อมทั้งสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของการเล่นเกมให้ดีขึ้น

มีโหมดการใช้งานสำหรับเด็ก หรือ Kids Mode ซึ่งภายในจะมีเฉพาะเกม หรือแอปพลิเคชัน ที่เหมาะสำหรับเด็กเท่านั้น

มีฟีเจอร์ Digital Wellbeing ซึ่งช่วยจัดการระยะเวลาของการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวันให้มีความสมดุล ไม่มากจนเกินไป เรียกว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเยียวยาอาการของผู้ที่ติดมือถือนั่นเอง

มีแอปพลิเคชัน Secure Folder สำหรับช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ทั้งไฟล์สำคัญ, รูปภาพ และแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาเปิดใช้งาน หรือเปิดดู

สามารถใช้งานแอคเคานท์โซเชียลเน็ตเวิร์กได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ภายในเครื่องเดียว ทั้ง Facebook และ LINE ด้วยฟังก์ชัน Dual Messenger

สามารถจดบันทึกข้อมูล, ขีดเขียน หรือวาดรูป ได้ด้วยแอปพลิเคชัน Samsung Notes

สามารถเก็บบันทึกข้อมูลต่างๆ ไว้บนอินเทอร์เน็ตได้ด้วยบริการ Samsung Cloud โดยมีพื้นที่ให้ใช้งานฟรี 15GB ซึ่งถือว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไป

สามารถดูแลประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องได้ง่ายๆ ด้วยแอปพลิเคชัน Device Care ทั้งเรื่องการทำงานของแอปพลิเคชันที่อยู่เบื้องหลัง, แบตเตอรี่, หน่วยความจำภายใน, หน่วยความจำแรม และการป้องกัน Malware หรือการโจมตีจากภายนอก

สามารถดาวน์โหลดคอนเทนต์มาติดตั้งเพิ่มเติมได้มากมายจาก Galaxy Store ทั้งแอปพลิเคชันทั่วไป, เกม, แอปพลิเคชัน กับคอนเทนต์สำหรับ Samsung Galaxy และ Watch Faces กับคอนเทนต์สำหรับนาฬิกา Smartwatch ของ Samsung

สามารถย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า มายัง Galaxy S10 ได้ง่ายภายในไม่กี่คลิก ด้วยแอปพลิเคชัน Smart Switch ทั้งแบบผ่านสายดาต้า และแบบไร้สาย

ทดสอบประสิทธิภาพการทำงาน (Benchmark) ของ Galaxy S10 | S10+

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 331,939 คะแนน ซึ่งหากเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ก็นับว่าอยู่ในระดับหัวแถวเลยทีเดียว

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพด้านการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 4 ก็พบว่าได้คะแนนในส่วนของ Single-Core ที่ 4,509 คะแนน และได้คะแนนในส่วนของ Multi-Core ที่ 10,048 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพด้านการประมวลผลกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark ก็พบว่าได้คะแนนรวมสูงสุดอยู่ที่ 4,373 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยความจำด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ก็พบว่ามีความเร็วของการอ่านข้อมูลแบบ Sequential อยู่ที่ประมาณ 790 MB/s ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังคงเป็นหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 ไม่ใช่ UFS 3.0

ด้านประสิทธิภาพของการเล่นเกมที่มีกราฟิกระดับสูงก็แน่นอนว่าลื่นไหลไร้การสะดุดแม้แต่น้อยครับ ด้วยสเปกระดับท็อป ทั้งชิปเซ็ต Exynos 9820, หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G76 MP12 และหน่วยความจำแรมขนาด 8GB นอกจากนี้หากเกมไหนพัฒนาอยู่บน Unity Engine ก็จะเล่นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 10% อีกด้วย

และไม่ต้องกังวลเรื่องความร้อนครับ เพราะ Galaxy S10+ นั้นมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Cooling System ส่วน S10 ใช้ระบบ Advanced Heatpipe Cooling System

สามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้อย่างรวดเร็วแม้ในตัวอาคาร และรองรับทุกระบบดาวเทียมในปัจจุบัน ทั้ง GPS, GLONASS, GALILEO, BEIDOU, QZSS, SBAS และอื่นๆ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 12+12+16 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S10+

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบ Ultra Wide 123 องศา (0.5x), Wide 77 องศา (1x) และ Telephoto 45 องศา (2x) ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบ Ultra Wide 123 องศา (0.5x), Wide 77 องศา (1x) และ Telephoto 45 องศา (2x) ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบ Ultra Wide 123 องศา (0.5x), Wide 77 องศา (1x) และ Telephoto 45 องศา (2x) ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางคืน หรือในที่แสงน้อย

เปรียบเทียบภาพถ่ายในที่มืดมาก ด้วยการปิด และเปิดฟังก์ชัน Bright Night ตามลำดับ

เปรียบเทียบภาพถ่ายในที่มืดมาก ด้วยการปิด และเปิดฟังก์ชัน Bright Night ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายดวงไฟในเวลากลางคืน พร้อมเปิดฟังก์ชัน Star Burst

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ ด้วยโหมด Live Focus

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 10+8 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S10+

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ด้วยการเปิดฟังก์ชัน Beauty ที่ระดับ 0, 1, 2 และ 3 ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ด้วยการเปิดฟังก์ชัน Beauty ที่ระดับ 0, 1, 2 และ 3 ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ ด้วยโหมด Live Focus พร้อมเอฟเฟกต์การเบลอแบบปกติ, แบบหมุนวน, แบบซุม และแบบดูดสี ตามลำดับ

สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy S10 | S10+

สรุปแล้วก็นับว่าสมกับการเป็นสมาร์ทโฟน เรือธงรุ่นครบรอบ 10 ปี จริงๆ ครับ สำหรับ Samsung Galaxy S10 กับ S10+ และด้วยความสามารถที่ ถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคาค่าตัวด้วยเช่นกัน โดยขณะนี้ทั้ง Galaxy S10 และ S10+ นั้นได้เริ่มวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยราคาเริ่มที่ 31,900 บาท สำหรับ Galaxy S10 รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB และ 35,900 บาท สำหรับ Galaxy S10+ รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB โดยมี 3 สีให้เลือกได้แก่ Prism White, Prism Blackและ Prism Green ส่วนใครที่อยากได้สีพิเศษอย่าง Ceramic White กับ Ceramic Black ก็มีให้เลือก 2 รุ่นความจุคือ รุ่น RAM 8GB+ROM 512GB ในราคา 44,900 บาท กับรุ่น RAM 12GB+ROM 1TB ในราคา 55,900 บาท ท่านใดที่สนใจก็สามารถแวะไปลองเล่นลองสัมผัสตัวจริงที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านกันก่อนได้ครับ สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป สวัสดีครับ

โปรดทราบ *

โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S10 | S10+ ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

Leave a Comment