รีวิว Huawei Mate 20 X ที่สุดของสมาร์ทโฟนเพื่อความบันเทิง จอยักษ์ แบตจุใจ สเปกระดับท็อป และนวัตกรรมระดับโลก! :: Thaimobilecenter.com

30 มกราคม 2019 - ในงานอีเวนท์สุดยิ่งใหญ่ของ Huawei ณ ศูนย์การจัดแสงสินค้า ExCel ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ปี 2018 ที่ผ่านมา Huawei ไม่ได้เปิดตัวเพียงแค่ Huawei Mate 20, Huawei Mate 20 Pro และ Porsche Design Huawei Mate 20 RS แต่ยังมีเซอร์ไพรส์พิเศษที่เรียกว่า “One More Big Thing ” ซึ่งเป็นการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความใหญ่เป็นพิเศษภายใต้ชื่อ Huawei Mate 20 X

สำหรับตัวอักษร X ที่ต่อท้ายชื่อรุ่น Mate 20 X นั้น ทาง Huawei ระบุว่า มาจากคำว่า eXtra ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการสื่อถึงความพิเศษของ Mate 20 X ทั้งหมด 3 อย่าง ได้แก่ eXtra Display หน้าจอขนาดใหญ่สะใจถึง 7.2 นิ้ว, eXtra Power แบตเตอรี่ขนาดจุใจถึง 5000mAh และ eXtra Performance ประสิทธิภาพที่เร็วแรงรอบด้านด้วยขุมพลังระดับท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Kirin 980 นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับความพิเศษด้านการรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา Stylus โฉมใหม่ในชื่อว่า Huawei M-Pen ที่รองรับแรงกดได้สูงสุดถึง 4096 ระดับ

นอกเหนือจากความเร็วแรง และหน้าจอขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานแล้ว Huawei Mate 20 X ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำคัญอย่าง Huawei SuperCool ระบบระบายความร้อนแบบใหม่ของ Huawei ทีช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการเล่นเกม หรือการรับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงอยู่ตลอดเวลา

ส่วนทางด้านกล้องถ่ายภาพก็จัดเต็มไม่แพ้กัน เนื่องจากมาพร้อมกับกล้องหลังที่พัฒนาร่วมกับ Leica จำนวน 3 ตัว (Leica Triple Camera) และยังเป็นกล้องตัวเดียวกันกับที่ใช้บนรุ่นท็อปอย่าง Huawei Mate 20 Pro โดยประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล , กล้องเลนส์มุมกว้างแบบ Ultra Wide Angle ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยีต่างๆ ที่ตอบโจทย์ด้านการถ่ายภาพโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Master AI สำหรับปรับแต่งภาพถ่ายให้อัตโนมัติโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอที่สามารถปรับรูปแบบของโบเก้ได้อย่างหลากหลาย

จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดก็พอจะเห็นภาพได้ว่า Huawei Mate 20 X เป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ Huawei Mate 20 Series รุ่นอื่นๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะการใช้งานด้านความบันเทิง แต่ตัวเครื่องจริงจะมีความสวยงามมากน้อยขนาดไหน และมีฟีเจอร์อะไรให้เลือกใช้งานบ้าง สามารถไปติดตามพร้อมกับทีมงาน Thaimobilecenter ผ่านรีวิวแบบเจาะลึกได้เลยครับ

แกะกล่อง พร้อมสำรวจรูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

ก่อนจะเข้าสู่ตัวเครื่อง เรามาเริ่มต้นที่กล่องบรรจุภัณฑ์กันก่อน โดย Huawei Mate 20 X มาพร้อมกับแพ็กเกจสีดำเรียบหรู พร้อมประทับชื่อรุ่น Huawei Mate 20 X ด้วยตัวอักษรสีทองซึ่งตัดรับเข้ากับสีกล่องอย่างลงตัว

ด้านล่างประทับชื่อ Leica Triple Camera ซึ่งเป็นการสื่อถึงการเลือกใช้กล้องดิจิทัลด้านหลังทั้งหมด 3 ตัวที่ทาง Huawei ได้พัฒนาร่วมกับแบรนด์กล้องชั้นนำระดับโลกอย่าง Leica ซึ่งเป็นการันตีทางหนึ่งว่าภาพที่ได้จากรุ่นนี้จะต้องมีความสวยงามอย่างแน่นอน

พลิกมาดูที่ด้านหลังของกล่องบรรจุภัณฑ์จะพบกับมาตรฐานการรับรองต่างๆ ของ Huawei Mate 20 X ซึ่งหนึ่งในมาตรฐานที่น่าสนใจคือ TUV Rheinland Certified Safe Fast-Charge System ซึ่งเป็นการรับรองจาก TUVRheinland สถาบันทดสอบชื่อดังจากประเทศเยอรมนีที่ได้ทำการทดสอบระบบชาร์จเร็วแบบ Huawei SuperCharge ในสภาวะต่างๆ แบบเข้มข้น พร้อมการันตีว่าระบบชาร์จเร็วของ Huawei จะสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยนั่นเองครับ

เปิดกล่องออกมาจะพบกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่จัดเรียงเอาไว้อย่างครบครัน ประกอบไปด้วย เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, หูฟัง Earbuds, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล หรือชาร์จแบตเตอรี่, เคสใส และอแดปเตอร์สำหรับจ่ายไฟ

สำหรับอแดปเตอร์สำหรับจ่ายไฟของ Huawei Mate 20 X ที่แถมมาให้ภายในกล่อง รองรับระบบชาร์จเร็ว Huawei SuperCharge เหมือนกับรุ่น Mate 20 แต่จะไม่ใช่ระบบ Huawei SuperCharge 40W เหมือนกับที่ใช้บนรุ่น Huawei Mate 20 Pro แต่อย่างใด

มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง โดย Huawei Mate 20 X เลือกใช้ดีไซน์จอที่มีความคล้ายคลึงกับรุ่น Huawei Mate 20 ซึ่งเป็นดีไซน์หน้าจอแทบไร้ขอบ พร้อมเว้นพื้นที่หน้าจอขนาดเล็กที่ด้านบนคล้ายกับทรงหยดน้ำค้าง (Dewdrop Display) แต่แผงหน้าจอของ Huawei Mate 20 X จะเป็นแบบ OLED ความละเอียดระดับ Full HD+ (2244x1080 พิกเซล) ที่มีจุดเด่นด้านการแสดงสีสัน และการประหยัดพลังงาน รองรับการแสดงผลมาตรฐานสีแบบ DCI-P3 รวมทั้งยังมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าที่ 7.2 นิ้ว ทำให้การรับชมคอนเทนต์, การเล่นเกม หรือการรับชมความบันเทิงต่างๆ เป็นไปอย่างเต็มตาเต็มอารมณ์อย่างแน่นอน

ที่ด้านบนของหน้าจอติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 พร้อมเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ ประกอบไปด้วย Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน, Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับควมสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

ใครที่ไม่ชอบจอรอยบาก (Notch) ก็สามารถเลือกปิดการแสดงผลได้เอง

ด้านล่างของตัวเครื่องมีการขยายพื้นที่หน้าจอให้ชิดกับขอบเครื่อง ทำให้ไม่มีปุ่ม Physical เหมือนกับ Mate Series รุ่นก่อนๆ โดยทาง Huawei ได้นำปุ่มสัมผัสบนหน้าจอมาใช้งานแทน ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าก่อนหน้า, ปุ่ม Home สำหรับกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่กำลังจะใช้งานอยู่

สำหรับใครที่ต้องการพื้นที่ในการแสดงผลแบบเต็มหน้าจอมากขึ้น ก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีควบคุมตัวเครื่องไปใช้แบบ Gestures ได้ ซึ่งจะเป็นการสั่งงานตัวเครื่องผ่านการใช้นิ้วปัดขึ้นจากด้านล่าง และขอบของหน้าจอ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีปุ่มสัมผัสบนหน้าจอแต่อย่างใด

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมาพร้อมกับช่องใส่ซิมการ์ด แต่ไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ ให้ใช้งาน

สำหรับช่องใส่ซิมการ์ดของ Huawei Mate 20 X จะเป็นแบบ Dual-Slot ซึ่งรองรับซิมการ์ดแบบ nanoSIM ทั้งสองช่อง นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบใหม่ของ Huawei อย่าง Nano Memory Card หรือ NM Card ได้ด้วย

ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ

ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพงตัวที่สอง, Infrared Sensor สำหรับใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันประเภท Remote Control, ไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม.

ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงตัวหลักของตัวเครื่อง ทำให้รวมๆ แล้ว Huawei Mate 20 X มาพร้อมกับลำโพงทั้งหมด 2 ตัว เพื่อช่วยขับเสียงแบบ Stereo Speakers ที่มีความกระหึ่มทุกย่านเสียงนั่นเอง

พลิกมาดูที่ด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้าง โดย Huawei Mate 20 X มาพร้อมกับบอดี้กระจกเงางาม เสริมแกร่งด้วยเฟรมแบบโลหะ นอกจากนี้ ยังมีการเคลือบผิวสัมผัสลายตารางแบบ Micro 3D Texture ซึ่งนอกเหนือจากจะเพิ่มมิติของความสวยงามแล้ว ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถจับถือได้อย่างถนัดมือมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดคราบเปื้อนของรอยนิ้วมือได้อีกด้วยครับ

ภายในตัวเครื่องของ Huawei Mate 20 X ยังมีการติดตั้งระบบความร้อนแบบ Huawei SuperCool ซึ่งเป็นระบบระบายความร้อนแบบหลากหลายมิติด้วยแผ่น Vapour Chamber และ Graphene Film ช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากตัวเครื่องได้เร็วกว่าระบบระบายความร้อนแบบอื่นๆ ซึ่งเมื่อประกบคู่กับแบตเตอรี่สุดอึดความจุ 5000mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ SuperCharge แล้ว ทำให้ Huawei Mate 20 X ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์ และผู้ที่ชื่นชอบรับชมความบันเทิงผ่านสมาร์ทโฟนเป็นอย่างมากครับ

ที่ด้านบนมาพร้อมกับระบบกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ที่พัฒนาร่วมกับแบรนด์กล้องชั้นนำระดับโลกอย่าง Leica และที่สำคัญยังเป็นเซ็ตอัพกล้องแบบเดียวกับที่ใช้บน Huawei Mate 20 Pro ซึ่งเป็นรุ่นท็อปในซีรีส์นี้ โดยจะประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักเลนส์มุมกว้าง Wide Angle ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้องตัวที่สองเลนส์มุมกว้างพิเศษ Ultra Wide Angle ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 ที่รองรับการซูมภาพแบบไม่สูญเสียรายละเอียด 2 เท่า (Optical Zoom 2x) และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีโฟกัสภาพแบบ Laser Focus, Phase Focus และ Contrast Focus พร้อมไฟแฟลชแบบ LED ที่บริเวณมุมขวาบน ถัดลงมาเป็นปุ่มเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่สามารถวางนิ้วเพื่อปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว

เปรียบเทียบขนาดตัวเครื่องกับ Huawei Mate 20 Series รุ่นอื่นๆ กันดูบ้าง จะเห็นได้ว่า Huawei Mate 20 X มีหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับทั้งสามรุ่น รวมทั้งยังมีพื้นที่ในการแสดงผลที่กว้างที่สุด ทำให้การรับชมคอนเทนต์ด้านความบันเทิงจากสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะเป็นไปอย่างเต็มอิ่มแน่นอน

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

สำหรับ Huawei Mate 20 X ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 9.0 Pie ใหม่ล่าสุด พร้อมครอบทับด้วย UI เวอร์ชันใหม่จาก Huawei อย่าง EMUI 9.0 ที่เพิ่มลูกเล่นแบบจัดเต็มมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันที่หลากหลาย

สำหรับหน้าโฮมสกรีนของ EMUI 9.0 จะถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย และดูสะอาดตา ด้วยไอคอนแอปพลิเคชันที่จัดแสดงเอาไว้บนหน้าโฮมสกรีนทั้งหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องมี App Drawer

เมื่อปัดไปที่ด้านซ้ายจากหน้าโฮมสกรีนจะพบกับ HiBoard ซึ่งเป็นหน้าที่รวมบริการ การแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน คีย์ลัด รวมถึงข่าวสารต่างๆ อย่างเช่น การนับก้าว, ปริมาณการใช้สมาร์ทโฟน หรือคีย์ลัดเข้าถึงแอปพลิเคชันจดบันทึก เป็นต้น

เมื่อลากนิ้วจากบนลงล่างจะพบกับศูนย์รวมคีย์ลัดต่างๆ ภายในตัวเครื่อง หรือ Toggle Switch โดยผู้ใช้สามารถเรียกดูคีย์ลัดทั้งหมดโดยการลากแถบ Toggle Switch ลงมาที่ด้านล่างของหน้าจอ และสามารถปรับแต่งตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้เองผ่านการแตะที่ไอคอนรูปปากกา

ถัดลงมาจาก Toggle Switch คือ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ ภายในตัวเครื่อง

เมื่อปัดการแจ้งเตือนจากหน้า Notification Center ไปยังด้านขวา จะพบกับออพชันการตั้งค่าทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ การตั้งค่าการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันนั้นๆ และ Snooze สำหรับปิดการตั้งค่าชั่วคราวตามระยะเวลาที่กำหนด

รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับฟังก์ชัน Dual 4G สำหรับสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G LTE พร้อมกันทั้งสองซิมการ์ด รวมทั้งยังรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE) ทั้งสองซิมการ์ด มากไปกว่านั้น ยังรองรับเทคโนโลยี Wi-Fi Calling สำหรับเปลี่ยนสัญญาณ Wi-Fi ให้เป็นสัญญาณโทรศัพท์อีกด้วย (ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการเครือข่าย)

นอกจากนี้ ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ NFC และ Huawei Share สำหรับโอนถ่ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนไปยังคอมพิวเตอร์ได้แบบไร้สาย รวมทั้งยังสามารถสั่งพรินท์ไฟล์เอกสารจากสมาร์ทโฟนได้โดยตรง

สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ภายใน EMUI 9.0 ก็ถือว่าครบครันพร้อมทุกการใช้งาน เริ่มตั้งแต่ แอปพลิเคชันจากฝั่ง Google เช่น Gmail, Google Maps หรือ Youtube รวมไปถึงแอปพลิเคชันเครื่องมือพื้นฐาน อย่างเช่น เครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง หรือเข็มทิศ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Smart Remote สำหรับเปลี่ยน Huawei Mate 20 X เป็นรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น โทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ หรือโปรเจ็กเตอร์ โดยจะทำงานผ่านเซ็นเซอร์ Infrared ที่ด้านบนของตัวเครื่องนั่นเองครับ

มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Phone Clone สำหรับโอนถ่ายข้อมูลต่างๆ จากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า ไม่ว่าจะเป็น รายชื่อผู้ติดต่อ, ปฏิทิน หรือรูปภาพ มายังสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ได้อย่างง่ายดาย

และยังมีแอปพลิเคชันที่น่าสนใจอย่าง Translator ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันแปลภาษาแบบ Real-Time ที่ทาง Huawei พัฒนาร่วมกับ Microsoft รองรับการแปลภาษาทั้งในรูปแบบตัวอักษร และข้อความเสียง

ด้านแอปพลิเคชัน Gallery สามารถแสดงผลรูปภาพภายในตัวเครื่องได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ Photos แสดงรูปภาพ และคลิปวิดีโอทั้งหมดภายในตัวเครื่อง, Albums แสดงรูปภาพ และคลิปวิดีโอ โดยแยกออกเป็นหมวดหมู่, Highlights แสดงรูปภาพเด่นที่คัดแยกโดยระบบ และ Discover สำหรับแสดงรูปภาพตามสถานที่ หรือรูปภาพโดยแบ่งตามประเภทสิ่งของต่างๆ

สามารถเล่นไฟล์เสียงได้ผ่านแอปพลิเคชัน Music อีกทั้ง ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ เพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง เช่น แสดงเนื้อร้อง, คัดกรองเพลงเฉพาะเพลงที่มีความยาวตามที่กำหนด หรือการปิดการเล่นเพลงอัตโนมัติเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น

แอปพลิเคชัน Health สำหรับแสดงข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้ อย่างเช่น การนับก้าวเดินในแต่ละวัน หรือปริมาณแคลลอรี่ที่ถูกใช้ไป รวมทั้งยังมาพร้อมกับโหมดการตรวจจับการออกกำลังกาย อย่างเช่น การวิ่ง และการปั่นจักรยาน โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมประเภท Fitness Tracker เข้ากับแอปพลิเคชัน Health ได้อีกด้วย

อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่น่าสนใจคือ HiCare ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน Huawei โดยเฉพาะ โดยผู้ใช้สามารถค้นหาศูนย์บริการ, ความคืบหน้าในการซ่อมอุปกรณ์, ตรวจสอบราคาอะไหล่เบื้องต้น หรือเรียนรู้เทคนิคการใช้งานได้ภายในแอปพลิเคชันนี้

ด้านแอปพลิเคชันจัดการไฟล์ ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย โดยผู้ใช้สามารถค้นหาไฟล์ตามหมวดหมู่ได้ หรือจะเรียกดูไฟล์ล่าสุดก็ทำได้เช่นเดียวกันผ่านการแตะที่ไอคอน Recent

และยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชัน AppGallery ซึ่งเป็นแหล่งรวมแอปพลิเคชันแนะนำสำหรับ Huawei Mate 20 X ครับ

สามารถปรับเปลี่ยนธีม และดาวน์โหลดภาพวอลเปเปอร์เพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน Themes

นอกเหนือจากแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้ภายในตัวเครื่องแล้ว EMUI 9.0 บน Huawei Mate 20 X ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ ฟังก์ชัน Eye Comfort สำหรับปรับแต่งอุณหภูมิสีของหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อลดอาการล้าของสายตา โดยผู้ใช้สามารถตั้งเวลาให้ฟังก์ชันนี้ทำงานอัตโนมัติได้เองผ่านการแตะที่เมนู Scheduled

ฟังกืชัน Screen Resolution สำหรับปรับความละเอียดในการแสดงผลของสมาร์ทโฟน โดยสามารถเลือกตั้งค่าการแสดงผลได้ตั้งแต่ระดับ HD+ ไปจนถึง FHD+ หรือจะเลือกปรับแบบ Smart Resolution ที่ให้ระบบจัดการการตั้งค่าความละเอียดเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน

ฟังก์ชัน Simple Mode สำหรับปรับแต่งหน้าโฮมสกรีนให้มีหน้าตาที่ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยปุ่มไอคอนที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่งนับว่าเป็นฟังก์ชันที่เหมาะกับเด็ก หรือผู้สูงอายุ ที่อาจไม่คุ้นชินกับการใช้สมาร์ทโฟนมากนัก

มาพร้อมกับเทคโนโลยีเสียงแบบ Dolby Atmos โดยผู้ใช้สามารถปรับโหมดการขับเสียงได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Smart สำหรับปรับแต่งเสียงตามคอนเทนต์แบบอัตโนมัติ, Movie สำหรับปรับแต่งเสียงให้เหมาะกับการรับชมภาพยนตร์ หรือรายการโทรทัศน์ และ Music สำหรับขับเสียงที่มีความคมชัดทุกย่านเสียง เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง

ฟังก์ชันจัดการประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ โดยสามารถปรับโหมดการทำงานได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Performace Mode ซึ่งระบบจะทำงานในระดับสูงสุด เพื่อให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหล, Power Saving Mode สำหรับประหยัดงาน และ Ultra Power Saving Mode สำหรับประหยัดพลังงานในระดับสูงสุด นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเลือกเปิดฟีเจอร์ Darken Inferface Colors หรือการปรับโทนสีของเมนูภายในตัวเครื่องให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม เนื่องจากแผงหน้าจอแบบ OLED ที่ใช้บน Huawei Mate 20 X จะไม่เปล่งแสงเมื่อแสดงสีดำนั่นเองครับ

อย่างที่กล่าวไปด้านต้นว่า Huawei Mate 20 X รองรับการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือด้วย โดยผู้ใช้สามารถบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ นอกจากนี้ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ Huawei Mate 20 X ยังสามารถนำไปใช้งานกับการสั่งการอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น การแตะค้างเพื่อถ่ายภาพ, แตะค้างเพื่อรับสายโทรศัพท์, แตะค้างเพื่อปิดนาฬิกาปลุก หรือปัดนิ้วลงมาด้านล่างเพื่อเรียกดูการแจ้งเตือนต่างๆ ภายในตัวเครื่อง

นอกจากนี้ ปุ่มสแกนลายนิ้วมือของ Huawei Mate 20 X ยังสามารถนำไปใช้งานกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยได้ อย่างเช่น ฟังก์ชัน App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยผู้อื่น โดยจะมีเพียงผู้ที่รู้รหัสผ่าน หรือผู้ที่ลงทะเบียนลายนิ้วมือเอาไว้เท่านั้นที่สามารถใช้งานได้

รวมถึงฟังก์ชัน Safe ที่เปรียบเสมือนตู้เซฟประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถเก็บไฟล์, รูปภาพ หรือข้อมูลต่างๆ เอาไว้ภายใน Safe ได้ และจะมีเพียงผู้ที่รู้รหัสผ่าน หรือผู้ที่ลงทะเบียนลายนิ้วมือเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ครับ

นอกเหนือจากระบบยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือแล้ว Huawei Mate 20 X ยังมาพร้อมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า โดยสามารถบันทึกใบหน้าได้เพียงใบหน้าเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับระบบสแกนใบหน้าได้ด้วยตนเอง เช่น Smart Lock Screen Nofitication ที่เป็นการปิดเนื้อหาของการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันบนหน้าล็อกสกรีน โดยระบบจะแสดงเนื้อหาที่ถูกซ่อนไว้ก็ต่อเมื่อตรวจพบใบหน้าของผู้ใช้งานเท่านั้น ป้องกันผู้ไม่ประสงค์ดีแอบอ่านการแจ้งเตือนบนสมาร์ทโฟนของเราขณะล็อกหน้าจอ รวมทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันได้อีกด้วย

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับยุคดิจิทัลก็คือ Digital Balance ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมปริมาณการใช้งานโดยเฉพาะ โดยระบบจะแสดงว่าเราใช้สมาร์ทโฟนไปกับฟังก์ชันใดมากที่สุด ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งกำหนดเวลาในการใช้แอปพลิเคชันได้ รวมทั้งสามารถตั้ง Screen Time เพื่อควบคุมปริมาณการเปิดหน้าจอ อีกทั้ง ยังมีฟีเจอร์ Bedtime ที่ช่วยปรับหน้าจอให้เป็นสีเทา และจำกัดการเข้าถึงแอปพลิเคชันบางส่วน เพื่อให้เราไม่ใช้งานสมาร์ทโฟนมากจนเกินไปขณะเข้านอนครับ

มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน App Twin สำหรับโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียออกเป็น 2 แอคเคานท์ เหมาะสำหรับผู้ที่มี Facebook 2 แอคเคานท์ หรือผู้ที่ต้องการแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน

One-handed UI สำหรับปรับการแสดงผลให้เหมาะสำหรับการใช้งานมือเดียว โดยจะเป็นการย่อหน้า UI ให้อยู่ในบริเวณมุมซ้าย-ขวา ล่าง ทำให้ใช้งานด้วยนิ้วโป้งได้สะดวกขึ้น พร้อมปรับขนาดของแป้นพิมพ์ให้เล็กลง

ฟีเจอร์ Motion Control สำหรับควบคุมสมาร์ทโฟนด้วยท่าทาง ประกอบไปด้วย Flip สำหรับคว่ำหน้าจอเพื่อปิดเสียงเรียกเข้า และนาฬิกาปลุก, Pick Up สำหรับปลุกหน้าจอแบบอัตโนมัติเพื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาในระดับหนึ่ง

Raise to ear สำหรับรับสาย หรือโทรออกอัตโนมัติ เมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู, Smart Screenshot สำหรับบันทึกภาพหน้าจอโดยใช้ข้อนิ้ววาดเป็นตัวอักษร S

Split Screen สำหรับแบ่งการทำงานของแอปพลิเคชันแบบสองหน้าจอ โดยใช้ข้อนิ้วลากเป็นแนวนอน และ Open Apps สำหรับใช้ข้อนิ้ววาดเป็นรูปตัวอักษรต่างๆ เพื่อเปิดแอปพลิเคชันที่ต้องการ อย่างเช่น ใช้ข้อนิ้ววาดรูปตัวอักษร C เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ หรือวาดรูปตัวอักษร E เพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน Google Chrome เป็นต้น

ข้ามมาที่ประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องกันบ้าง โดย Huawei Mate 20 X ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังทรงประสิทธิภาพรุ่นล่าสุดอย่าง Kirin 980 Octa-Core Processor เหมือนกับ Huawei Mate 20 Series รุ่นอื่นๆ โดย Kirin 980 เป็นชิปเซ็ตที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 7 นาโนเมตร ช่วยให้มีความเร็วแรง และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทาง Huawei ยังใส่ชิป Dual-NPU หรือหน่วยประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบคู่ ตอบโจทย์การใช้งานสมาร์ทโฟนในปัจจุบันที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การจัดสรรพลังงานแบตเตอรี่, การเรียนรู้พฤติกรรมใช้งานแอปพลิเคชัน หรือการตรวจจับสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อปรับแต่งการตั้งค่ากล้องถ่ายภาพให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ เป็นต้น โดย Kirin 980 ของ Huawei Mate 20 X จะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB, แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh และระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 9.0 Pie ครอบทับด้วย EMUI 9.0

เมื่อลองนำไปทดสอบประสิทธิภาพของตัวเครื่องโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu ก็พบว่า Huawei Mate 20 X สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 303497 คะแนน (เมื่อเปิด Perfornace Mode) ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่สูงลำดับต้นๆ ของสมาร์ทโฟน Android ณ ชั่วโมงนี้

ทดสอบการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench 4 พบว่า สามารถทำคะแนนการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ได้ทั้งหมด 3363 คะแนน และสามารถทำคะแนนทดสอบการประมวลผลแบบหลายแกน (Multi-Core) ได้ทั้งหมด 10064 คะแนน

แน่นอนว่าด้วยประสิทธิภาพแบบจัดเต็ม พร้อมเทคโนโลยี GPU Turbo สำหรับช่วยรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของกราฟิกให้อยู่ในระดับสูงสุด ทำให้ Huawei Mate 20 X สามารถเล่นเกมกราฟิก 3 มิติหนักๆ อย่าง Asphalt 9 ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงเกมยอดฮิตอย่าง RoV ก็สามารถเปิดโหมดเฟรมเรทสูง 60FPS ได้ หรือเกมที่มีองค์ประกอบภายในฉากเยอะอย่าง PUBG Mobile ก็สามารถเล่นได้โดยไม่มีสะดุดครับ

ส่วนการรับชมคลิปความละเอียดสูงก็สามารถทำได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ซึ่งเมื่อประกอบกับหน้าจอขนาดใหญ่เต็มตาถึง 7.2 นิ้ว ที่รองรับการแสดงช่วงสีแบบ DCI-P3 รวมถึงลำโพงเสียงคู่แบบ Stereo Speakers แล้ว ทำให้รับชมคอนเทนต์ได้แบบเต็มอิ่มแน่นอน

ลองทดสอบประสิทธิภาพของ GPS ก็พบว่าสามารถตรวจจับสัญญาณได้อย่างรวดเร็ว และมีความแม่นยำ +- ไม่เกิน 6 เมตรเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยี Dual-Frequency GPS ที่จับคลื่นความถี่ GPS ทั้งหมด 2 ความถี่ ได้แก่ L1 ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่ใช้บนสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป และ L5 ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการเดินทาง เช่น เครื่องบิน เป็นต้น ทำให้จับตำแหน่งได้แม่นยำกว่าเดิมถึง 10 เท่าเลยทีเดียว

ปากกา Huawei M-Pen มีฟีเจอร์เด่นอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง?

หนึ่งในไฮไลท์เด่นของ Huawei Mate 20 X ที่ไม่กล่าวถึงก็คงจะไม่ได้เลยนั่นก็คือ การรองรับการใช้งานร่วมกับปากกาสไตลัสในชื่อ M-Pen ทำให้ขีดเขียนบนหน้าจอได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ ผู้ที่ซื้อ Huawei Mate 20 X ในประเทศไทยจะได้รับปากกา M-Pen ฟรีทันทีอีกด้วย เราลองมาดูกันดีกว่าว่าปากกา M-Pen มีหน้าตาเป็นอย่างไร และสามารถทำอะไรได้บ้างครับ

ปากกา M-Pen มาพร้อมกับกล่องแพ็กเกจสีขาวสะอาดตา พร้อมพิมพ์ภาพดีไซน์ของตัวปากกาไว้บนหน้ากล่องอย่างเด่นชัด

ที่ด้านบนของกล่องระบุชื่ออุปกรณ์ที่รองรับอย่าง Huawei Mate 20 X เอาไว้แบบชัดเจน

ด้านหลังมีการระบุคุณสมบัติเด่นของตัวปากกาเอาไว้

เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับปากกา M-Pen และหัวปากกาที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

สำหรับปากกา M-Pen มีขนาดใกล้เคียงกับปากกาทั่วไป สามารถจับถือได้อย่างถนัดมือ

ที่ด้านล่างมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบ Smart Key สำหรับสั่งการปากกาในรูปแบบต่างๆ

หัวปากการองรับแรงกดได้ทั้งหมด 4096 ระดับ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกับเขียนด้วยปากกาจริงครับ

ที่ด้านบนมาพร้อมกับที่เหน็บปากกา ทำให้ผู้ใช้สามารถพกพาติดตัวไปได้อย่างง่ายดาย

ด้านหลังของปากกา M-Pen มาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่

ลองนำมาใช้งานจริงกันดูสักเล็กน้อย ซึ่งจากที่ทีมงานได้ลองนำไปวาดรูป และจดบันทึกต่างๆ ก็พบว่าปากกา M-Pen สามารถตอบสนองได้อย่างแม่นยำ เขียนได้อย่างลื่นไหลโดยที่ไม่มีอาการหน่วงแต่อย่างใดครับ

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง การเขียน Memo จากหน้าล็อกสกรีนอย่างรวดเร็ว เพียงผู้ใช้กดปุ่มควบคุม Smart Key ที่ด้านล่างค้างเอาไว้ และนำปากกาไปเขียนข้อความที่ต้องการลงบนหน้าจอ

รวมถึงฟีเจอร์การบันทึกภาพหน้าจอโดยกดค้างที่ปุ่ม Smart Key และนำปากกาไปแตะที่หน้าจอสองครั้ง หรือจะวาดเป็นวงกลมเพื่อบันทึกภาพหน้าจอแค่บางส่วนก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้ปากกา M Pen เปิดใช้งานฟังก์ชันแบ่งหน้าจอได้อย่างรวดเร็ว โดยกดปุ่ม Smart Key ค้างเอาไว้ และลากเส้นขวางบนหน้าจอครับ

การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอ

นอกจากความสามารถเรื่องประสิทธิภาพการทำงานแบบจัดเต็ม, หน้าจอใหญ่สะใจ และการรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา M-Pen แล้ว Huawei Mate 20 X ยังมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพ ด้วยระบบกล้องหลัง 3 ตัว (Tirple Camera) ที่พัฒนาร่วมกับแบรนด์ Leica และยังเป็นเซ็ตอัพกล้องแบบเดียวกันกับที่ใช้บนตัวท็อปอย่าง Huawei Mate 20 Pro ที่มีความละเอียดสูงสุดถึง 40 ล้านพิกเซล ส่วนทางด้านกล้องหน้าเซลฟี่ก็มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 24 ล้านพิกเซล พร้อมลูกเล่นการถ่ายภาพที่เหมาะแก่การถ่ายทุกสถานการณ์

สำหรับอินเทอร์เฟสของกล้องหน้าถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างง่ายด้าย ด้วยปุ่มคีย์ลัดการตั้งค่าที่จัดเรียงเอาไว้ด้านบนอย่างเป็นระเบียบ เริ่มตั้งแต่ เปิด-ปิด ไฟแฟลช, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Moving Picture, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน AI HDR

สามารถปรับความละเอียดของภาพถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 24 ล้านพิกเซล และสารถเปิด-ปิด ฟังก์ชัน Mirror Reflection หรือเอฟเฟกต์กลับด้านของภาพถ่าย รวมถึงสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Capture Smiles ซึ่งเป็นถ่ายภาพให้อัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ยิ้ม

ด้านโหมดถ่ายภาพก็มีให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนโหมดโดยการปัดไปทางด้านซ้าย หรือด้านขวา เริ่มตั้งแต่ โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยผู้ใช้สามารถเลือกเอฟเฟกต์ของโบเก้ได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ วงกลม Circle, หัวใจ Hearts, โบเก้หมุน Swirl และโบเก้รูปข้ามหลามตัด Discs รวมทั้งยังสามารถเลือกเอฟเฟกต์การจัดแสงได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ 5 รูปแบบ ประกอบด้วย ได้แก่ Photo Booth ซึ่งเป็นการเติมแสงเข้าสู่ใบหน้าตัวแบบเพื่อให้มีความสว่างมากยิ่งขึ้น, Stained Glass จัดแสงคล้ายกับแสงที่ส่องผ่านมาจากกระจกสี, Folding Blinds จัดแสงคล้ายกับแสงที่ส่องผ่านมาจากม่านพับ, Pop จัดแสงให้อยู่ในโทนสีแดงผสมน้ำเงิน และ Stage Lighting จัดแสงคล้ายกับไฟบนเวที

นอกจากนี้ ในโหมด Portrait ยังสามารถปรับเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) โดยสามารถเลือกปรับความเรียบเนียนของผิวได้สูงสุด 10 ระดับ, ปรับโครงหน้าเรียวได้สูงสุด 5 ระดับ และปรับสกินโทนได้ทั้งหมด 8 รูปแบบ

ด้านโหมดถ่ายภาพวิดีโอ รองรับการบันทึกที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD+ 1080p และสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน AI HDR รวมถึงเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) ขณะถ่ายวิดีโอได้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ 3D Qmoji สำหรับทำภาพอีโมจิที่เคลื่อนไหวตามใบหน้าของผู้ใช้งาน โดยเราสามารถบันทึกออกมาเป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหวแบบ GIF หรือบันทึกเป็นไฟล์วิดีโอแบบสั้นๆ เพื่อส่งต่อให้กับเพื่อนๆ ให้โซเชียลได้ทันที

ด้านกล้องหลังก็มีหน้าตาที่ใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน โดยมาพร้อมกับคีย์ลัดการตั้งค่าที่จัดวางไว้เป็นหมวดหมู่ เริ่มตั้งแต่ เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Huawei Hi Vision, เปิด-ปิด ไฟแฟลช, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Moving Picture พร้อมเลือกโทนสีได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Standard, Vivid Colors และ Smooth Colors

สามารถตั้งค่าความละเอียดของภาพถ่ายได้สูงสุดที่ 40 ล้านพิกเซล และสามารถเลือกบันทึกภาพเป็นไฟล์ RAW สำหรับนำไปปรับแต่งต่อในแอปพลิเคชันอื่นๆ โดยสามารถใช้งานได้เฉพาะในโหมด Pro ครับ

สามารถเปิด-ปิด การใช้งานฟังก์ชัน Master AI สำหรับปรับแต่งภาพถ่ายให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมได้ รวมถึงเปิด-ปิด ฟังก์ชันจุดตัด 9 ช่อง, ลายน้ำ และฟังก์ชัน 4D Predictive Focus

สำหรับฟังก์ชัน Master AI ของ Huawei Mate 20 X สามารถตรวจจับซีนได้ทั้งหมด 1,500 ซีน จากทั้งหมด 25 หมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร, ต้นไม้ หรือบุคคล ครอบคลุมการถ่ายภาพในทุกๆ สถานการณ์ อีกทั้ง การตรวจจับซีนแต่ละครั้งก็ทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากหน่วยประมวลผล AI แบบคู่อย่าง Dual-NPU นั่นเองครับ

และอีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ของ Master AI บน Huawei Mate 20 X นั่นก็คือ ฟังก์ชัน Super Macro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสภาพได้ใกล้สุดถึง 2.5 เซนติเมตร เหมาะสำหรับการถ่ายภาพมาโคร หรือสิ่งของเล็กๆ เป็นอย่างมาก

สามาถปรับระดับการซูมภาพได้ทั้งหมด 5 ระดับ เริ่มตั้งแต่ 0.6x สำหรับเก็บภาพถ่ายมุมกว้าง ไปจนถึง 10x สำหรับเก็บภาพที่อยู่ไกลจากผู้ถ่าย ซึ่งเทียบเท่ากับระยะเลนส์ 16-270 มม. บนกล้องใหญ่ครับ

มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) โดยผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบของเอฟเฟกต์โบเก้ได้เหมือนกับกล้องหน้า ได้แก่ วงกลม Circle, หัวใจ Hearts, โบเก้หมุน Swirl และโบเก้รูปข้ามหลามตัด Discs พร้อมทั้งสามารถปรับเอฟเฟกต์การจัดแสงได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ Photo Booth ซึ่งเป็นการเติมแสงเข้าสู่ใบหน้าตัวแบบเพื่อให้มีความสว่างมากยิ่งขึ้น, Stained Glass จัดแสงคล้ายกับแสงที่ส่องผ่านมาจากกระจกสี, Folding Blinds จัดแสงคล้ายกับแสงที่ส่องผ่านมาจากม่านพับ, Pop จัดแสงให้อยู่ในโทนสีแดงผสมน้ำเงิน และ Stage Lighting จัดแสงคล้ายกับไฟบนเวที พร้อมทั้งสามารถปรับเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) ได้ทั้งหมด 10 ระดับ

ฟังก์ชัน Night Mode สำหรับช่วยถ่ายภาพกลางคืนให้มีความสว่างคมชัดโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง ผ่านการเปิดหน้ากล้องค้างไว้เป็นเวลาหลายวินาที และใช้ระบบป้องกันการสั่นด้วย AI (AIS) เข้ามาช่วยล็อกเฟรมให้มีความนิ่ง โดยผู้ใช้สามารถปรับค่าความไวชัตเตอร์ โดยในโหมดนี้ใช้สามารถตั้งค่า Shutter Speed ได้ตั้งแต่ 1/4 วินาที ไปจนถึง 32 วินาที และสามารถตั้งค่า ISO ได้ตั้งแต่ 100 - 1600 หรือจะเลือกเป็น Auto เพื่อให้ระบบคำนวนเองก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Aperture สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านการจำลองค่ารูรับแสง (ค่า f) ตั้งแต่ f/0.95 ไปจนถึง f/16

ส่วนใครที่ชื่นชอบการปรับแต่งการตั้งค่าการตั้งค่ากล้องด้วยตนเอง ก็สามารถทำได้ผ่านโหมด Pro โดยปรับแต่งการตั้งค่าได้ทั้งหมด 6 อย่าง เริ่มตั้งแต่ รูปแบบการวัดแสง, ตั้งค่า ISO ได้ตั้งแต่ 50 ไปจนถึง 102400, ตั้งค่า Speed Shutter ได้ตั้งแต่ 1/4000 ไปจนถึง 30 วินาที, ตั้งค่าชดเชยแสง (EV) ได้ตั้งแต่ -4.0 EV ไปจนถึง +4.0 EV, ตั้งค่าระบบโฟกัสได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ AF-S สำหรับถ่ายภาพวัตถุที่ไม่มีการเคลื่อนไหว, AF-C สำหรับถ่ายภาพวัตถุที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา, MF สำหรับเลือกระยะโฟกัสด้วยตนเอง และสามารถตั้งค่าความสมดุลแสงสีขาว (White Balance) ได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ

และยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพที่น่าสนใจอย่าง Monochrome สำหรับถ่ายภาพในโทนสีขาว-ดำ หรือ Light Painting สำหรับถ่ายภาพด้วยเทคนิค Long Expoure สำหรับเก็บภาพแสงไฟท้ายรถในยามค่ำคืน, ถ่ายภาพดวงดาวบนท้องฟ้า หรือถ่ายภาพสายน้ำของน้ำตก

ทางด้านโหมดถ่ายภาพวิดีโอ ก็มีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง AI Cinema ซึ่งเป็นนำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยปรับแต่งเอฟเฟกต์ของวิดีโอให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกเอฟเฟกต์ได้ทั้งหมด 6 รูปแบบ ได้แก่ AI Colour สำหรับปรับฉากหลังเป็นโทนสีขาว-ดำ ในขณะที่เก็บสีของตัวแบบไว้, Background Blur สำหรับถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ, Vintage สำหรับถ่ายวิดีโอในโทนสีแบบวินเทจ, Suspense สำหรับถ่ายวิดีโอในแบบคุมโทนสีน้ำเงิน และ Fresh สำหรับถ่ายวิดีโอโดยเน้นปรับสีสันให้มีความสว่างสดใส

มาพร้อมกับโหมดถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Mo ที่ระดับสูงสุด 960FPS ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวินาทีได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD และสามารถเลือกเปิดเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) ขณะถ่ายวิดีโอได้ด้วย แต่จะจำกัดความละเอียดอยู่ที่ระดับ HD 720p เท่านั้น

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Leica Triple Camera ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 40+20+8 ล้านพิกเซล ของ Huawei Mate 20 X

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดใช้งาน Master AI

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดใช้งาน Master AI ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Super Macro

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Super Macro

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกเอฟเฟกต์โบเก้แบบ Circle

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกเอฟเฟกต์โบเก้แบบ Swirl

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Stage Lighting ตัวอย่างภาพถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ในโหมด Monochrome

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Night Mode ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Night Mode

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยโหมด Aperture

ตัวอย่างภาพถ่าย พร้อมเลือกซูมภาพในระยะต่างๆ ตั้งแต่ 0.6x - 10x

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 24 ล้านพิกเซลของ Huawei Mate 20 X

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมปรับเอฟเฟกต์โบเก้รูป Circle และปรับเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) ระดับกลาง

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมปรับเอฟเฟกต์โบเก้รูป Circle และปรับเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) ระดับสูงสุด

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Folding Blinds

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Stainded Glass

สรุปผลการทดสอบของ Huawei Mate 20 X

หากจะให้คำนิยามกับ Huawei Mate 20 X ก็คงต้องบอกว่า เป็นสมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึด สเปกไฮเอนด์จัดเต็ม ที่เกิดมาเพื่อตอบโจทย์ด้านความบันเทิงอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ หน้าจอแสดงผลแบบ OLED สีสันคมชัดสดใส ขนาดใหญ่เต็มตาถึง 7.2 นิ้ว พร้อมรองรับการแสดงช่วงสีแบบ DCI-P3 เหมาะสำหรับการนำไปรับชมภาพยนตร์ และคอนเทนต์ต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งแม้ว่าขนาดของหน้าจอจะใหญ่กว่า Mate 20 Series รุ่นอื่นๆ แต่ด้วยงานออกแบบของ Huawei ที่เลือกใช้บอดี้เคลือบผิวสัมผัสลายตารางแบบ Hyper Optical Pattern รวมถึงการลดพื้นที่ขอบจอให้เหลือน้อยลงเพื่อเพิ่มพื้นที่การแสดงผลให้มากขึ้น ก็ช่วยให้การจับถือใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างถนัดมือ

ทางด้านประสิทธิภาพการทำงานนั้นก็ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์เป็นอย่างมาก ด้วยขุมพลังระดับไฮเอนด์ Kirin 980 Octa-Core Processor ผสานการทำงานควบคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 6GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่อง 128GB และแบตเตอรี่สุดอึดอีก 5000mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ Huawei SuperCharge ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ระบบชาร์จเร็วแบบ SuperCharge 40W เหมือนกับที่ใช้บนรุ่น Mate 20 Pro แต่ก็ถือว่าย่นระยะเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ให้เหลือน้อยลงได้พอสมควร ไม่เพียงเท่านั้น ภายในตัวเครื่องยังมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนแบบ Huawei SuperCool ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า แม้จะเล่นเกมหนัก หรือเปิดใช้งานเป็นระยะเวลานานมากน้อยเพียงใด ก็จะไม่เกิดอาการสะสมความร้อนบนตัวเครื่องมากจนเกินไปอย่างแน่นอน

และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Huawei Mate 20 X แตกต่างจอสมาร์ทโฟนจอใหญ่แบตอึดรุ่นอื่นๆ ก็คือ การมาพร้อมกับกล้องหลังระดับเรือธง ด้วยระบบ กล้อง 3 ตัว (Leica Triple Camera) ที่พัฒนาร่วมกับ Leica ซึ่งกล้องตัวหลักมีความละเอียดสูงถึง 40 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ ยังมีเลนส์ที่ครอบคลุมการถ่ายภาพทุกระยะ ไม่ว่าจะเป็น เลนส์มุมกว้างพิเศษ (Ultra-Wide Angle) , เลนส์มุมกว้าง (Wide-Angle) และเลนส์ซูม (Telephoto) รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ช่วยทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่าย อย่างเช่น Master AI ที่ตรวจจับซีนต่างๆ ได้มากกว่า 1,500 ซีน, โหมดถ่ายภาพ Portrait ที่ปรับแต่งได้ทั้งเอฟเฟกต์โบเก้ และรูปแบบการจัดแสง, โหมดถ่ายภาพแบบ Night Mode ที่ช่วยให้การถ่ายภาพกลางคืนเป็นเรื่องง่ายไม่ต่างจากการถ่ายภาพในเวลากลางวัน รวมถึงโหมด Super Macro ที่ช่วยโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุดถึง 2.5 เซนติเมตร นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายวิดีโอแบบ AI Cinema ที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำเข้ามาช่วยปรับแต่งเอฟเฟกต์ให้แก่วิดีโอ เช่น การถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ หรือการปรับสีสันแบบ Real-Time โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนำไปปรับแต่งเพิ่มเติมในแอปพลิเคชันอื่นๆ

ด้านกล้องหน้าก็ถือว่าจัดเต็มไม่แพ้กับกล้องหลัง ด้วยการมาพร้อมกับกล้องเซลฟี่ความละเอียดสูง 24 ล้านพิกเซล และยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างการถ่ายเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอ ที่ผู้ใช้สามารถปรับเอฟเฟกต์โบเก้เป็นรูปแบบต่างๆ ได้ด้วยตนเอง หรือฟีเจอร์ 3D Qmoji อีโมจิที่เคลื่อนไหวได้ตามใบหน้าผู้ใช้งาน ช่วยแชร์ต่อความรู้สึกได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม และที่สำคัญ Huawei Mate 20 X ยังสามารถใช้งานร่วมกับปากกา M-Pen ที่รองรับแรงกดได้ทั้งหมด 4096 ระดับ ให้ความรู้สึกเหมือนกับการขีดเขียนด้วยปากกาจริง ซึ่งเมื่อประกอบเข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 7.2 นิ้วของ Huawei Mate 20 X แล้ว การสร้างสรรค์งานศิลปะ หรือการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

และไม่เพียงเท่านี้ ด้วยฟีเจอร์มากมายข้างต้นที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงช่วยให้ Huawei Mate 20 X สามารถคว้าตำแหน่ง สมาร์ทโฟนเพื่อความบันเทิงยอดเยี่ยมประจำปี 2018 จากทีมงานของเราไปได้อีกด้วย ส่วนเราตัดสินจากอะไร ทุกท่านสามารถแวะไปติดตามเพิ่มเติมได้ใน " สมาร์ทโฟนยอดเยี่ยมประจำปี 2018 โดย Thaimobilecenter [TMC Awards 2018] รุ่นใดคือที่สุดแห่งปี 2018 "

สำหรับราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยของ Huawei Mate 20 X อยู่ที่ 28,990 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Midnight Blue และสีม่วง Phanton Silver และที่สำคัญ Huawei ยังใจดีมอบปากกา M-Pen ให้แก่ผู้ซื้อ Huawei Mate 20 X ไปใช้งานกันแบบฟรีๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องซื้อแยกเหมือนกับประเทศอื่นๆ ซึ่งหากพิจารณาจากคุณสมบัติต่างๆ เทียบกับราคาวางจำหน่ายแล้ว ก็ถือว่า Huawei Mate 20 X เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจลำดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มองหาสมาร์ทโฟนจอใหญ่สเปกแรง พร้อมกล้องถ่ายภาพที่สวยงาม และมีคุณสมบัติต่างๆ ที่ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงเป็นอย่างมาก ซึ่งสำหรับใครที่สนใจก็สามารถแวะเวียนไปทดลองใช้งานและหาซื้อ Huawei Mate 20 X ได้ที่ Huawei Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศนะครับ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Huawei ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Huawei Mate 20 X มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ Huawei Mate 20 X

- ตัวเครื่องผลิตด้วยวัสดุประเภทโลหะ ผสานกระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass พร้อมกระบวนการขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันแบบ Unibody - ชั้นกระจกพิเศษแบบ Hyper Optical Patterns ที่ช่วยป้องกันการลื่น และป้องกันรอยนิ้วมือ - จอแสดงผลแบบ OLED ความละเอียดระดับ Full HD+ พิกเซล (2244x1440 พิกเซล) ขนาด 7.2 นิ้ว พร้อมรองรับการแสดงสีสันตามมาตรฐาน DCI-P3 - ขอบหน้าจอบาง 2.1 มิลลิเมตร - หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Mali-G76 เป็นรุ่นแรกของโลก - เทคโนโลยี GPU Turbo สำหรับช่วยเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลของหน่วยประมวลผลกราฟิก - รองรับการใช้งานสองแอปพลิเคชันพร้อมกันผ่านฟังก์ชัน Split-Screen - ฟังก์ชัน App Twin สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันได้แบบ 2 แอคเคานท์ - ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Octa-Core Kirin 980 ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 7 นาโนเมตรเป็นรุ่นแรกของโลก - ประมวลผลการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยหน่วยชิปเซ็ต Dual-NPU - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย EMUI 9.0 เวอร์ชันล่าสุด - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) ขนาด 128GB พร้อมรองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ Nano Memory Card ความจุสูงสุด 256GB - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB - กล้องดิจิทัลด้านหลังที่พัฒนาร่วมกับ Leica จำนวน 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 40+20+8 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.8, ไฟแฟลช LED พร้อมเทคโนโลย Master AI สำหรับวิเคราะห์ฉาก และวัตถุที่อยู่ภายในเฟรม เพื่อปรับแต่งให้มีความสวยงามอัตโนมัติ - ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ AIS (AI Image Stabilization) - รองรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait พร้อมฟีเจอร์ปรับเอฟเฟกต์โบเก้ และฟีเจอร์จัดแสงให้แก่ตัวแบบ - โหมดถ่ายภาพแบบ Super Marcro สามารถโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุดที่ 2.5 เซนติเมตร - โหมดถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow-Mo ที่ระดับ 960FPS - โหมดถ่ายวิดีโอแบบ AI Cinema สำหรับปรับแต่งสีสันของการถ่ายวิดีโอแบบ Real-Time - กล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.0 - รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM) - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, WiFi, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4.5G LTE Cat.21 เป็นรุ่นแรกของโลก - รองรับการสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G LTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด - ระบบ Dual Frequency GPS ที่ช่วยให้สามารถตรวจจับตำแหน่งดาวเทียม และนำทางได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น - เซ็นเซอร์อินฟราเรดสำหรับใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันประเภท Remote Control - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ Android 9 Pie พร้อมครอบทับด้วย EMUI 9.0 - แบตเตอรี่ ขนาด 5000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Huawei SuperCharge

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Huawei Mate 20 X

- การแสดงผลแบบเต็มหน้าจอ FullView ในอัตราส่วนแบบ 19.5:9 ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ 100% เช่นการเปิดดู YouTube, การเปิดดูคลิปวิดีโอ, การเล่นเกม หรืออื่นๆ - ตัวเครื่องมาพร้อมกับคุณสมบัติป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นเพียงแค่ระดับ IP53 (ในขณะที่รุ่น Mate 20 Pro ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นได้ที่ระดับ IP68) ซึ่งช่วยป้องกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง (ไม่สามารถนำไปจุ่มในน้ำได้) - มีให้เลือกเพียง 2 เฉดสี คือ สีน้ำเงิน Midnight Blue และสีม่วง Phanton Silver - ตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่พิเศษถึง 7.2 นิ้ว - รองรับการ์ดหน่วยความจำแบบ Nano Memory Card ไม่ใช่ microSD Card

Leave a Comment