รีวิว Vivo V15 Pro สมาร์ทโฟนกล้องหน้า Pop-Up 32MP รุ่นแรกของโลก พร้อมจอ Ultra FullView Super AMOLED 6.39 นิ้ว และสแกนนิ้วบนหน้าจอ ในราคาแค่หมื่นต้นๆ:: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟนกล้องหน้า Pop-Up 32MP รุ่นแรกของโลก พร้อมจอ Ultra FullView Super AMOLED ไร้รอยบาก 6.39 นิ้ว, ระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ, กล้องหลัง AI Triple Camera 48MP, ชิปเซ็ต Snapdragon 675 AIE, ROM 128GB, RAM 6GB และแบตเตอรี่ Dual-Engine Fast Charging 3700 mAh บนตัวเครื่องดีไซน์ Spectrum Ripple ไล่เฉดสีสวยเด่นเงางาม กล้องดีทั้งหน้า-หลัง พร้อมสเปกจัดเต็ม ในราคา 14,999 บาท

28 กุมภาพันธ์ 2019 - Vivo ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่นำเทรนด์การพัฒนาสมาร์ทโฟนจอไร้ขอบอย่างแท้จริง โดยเราจะเห็นได้จากในรุ่น Vivo NEX สมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่เปิดตัวไปเมื่อกลางปี 2018 ที่มาพร้อมกับความโดดเด่นด้านดีไซน์ด้วยหน้าจอไร้ขอบไร้รอยบาก ทำให้มีพื้นที่ในการรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างเต็มตา ส่วนกล้องหน้าที่เคยอยู่บริเวณขอบหน้าจอด้านบน ก็ถูกย้ายไปติดตั้งเอาไว้บนกลไกกล้องเลื่อนได้แบบ Elevating Camera หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ Pop-up Camera นั่นเอง โดยทาง Vivo ก็ได้นำดีไซน์การออกแบบในลักษณะดังกล่าวมาใช้งานบนสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของตนเองหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Vivo Nex S มาจนถึง Vivo APEX 2019 คอนเซ็ปท์โฟนไร้พอร์ตเชื่อมต่อสุดล้ำที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมา

แต่เทคโนโลยีจอไร้ขอบอย่างแท้จริง รวมถึงกล้องหน้าเลื่อนได้ของ Vivo ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่บนสมาร์ทโฟนระดับเรือธงเท่านั้น เพราะล่าสุดทาง Vivo ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟนตระกูล V-Series รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Vivo V15 Pro ที่มาพร้อมกับความโดดเด่นด้านดีไซน์หน้าจอแบบ Ultra FullView Display หรือหน้าจอไร้ขอบอย่างแท้จริง พร้อมกล้องหน้าเลื่อนได้ความละเอียดจัดเต็ม 32 ล้านพิกเซล ซึ่งนับว่าเป็นความละเอียดของกล้องหน้าแบบเลื่อนได้ที่สูงที่สุดในโลก ณ ชั่วโมงนี้ นอกจากนี้ Vivo ยังจัดเต็มด้านกล้องหลังด้วย ระบบกล้อง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับช่วยถ่ายภาพภายในตัว รวมทั้งยังมีการใส่เลนส์ AI Super Wide-Angle สำหรับเก็บภาพถ่ายในมุมกว้างโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องถอยออกห่างจากฉากด้านหน้ามากนัก

ส่วนทางด้านประสิทธิภาพก็ถือว่าครบเครื่องตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยขุมพลังระดับกลางตัวใหม่ล่าสุดอย่าง Qualcomm Snapdragon 675 AIE จับคู่กับหน่วยความจำ แรม (RAM) ขนาด 6GB และหน่วยความจำภายในความจุ 128GB ที่ผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3700mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ Dual-Engine Fast Charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขจาก 0-24% ได้ในเวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น

นอกจากนี้ Vivo V15 Pro ยังมีความโดดเด่นด้านงานออกแบบ ด้วยฝาหลังที่มีผิวสัมผัสเงางามคล้ายกับกระจก พร้อมกระบวนการเคลือบสีสันไล่เฉดแบบ Spectrum Ripple Design หรือการไล่เฉดสีที่เป็นคลื่นคล้ายกับการแผ่รังสีของเส้นสเปกตรัม ทำให้ตัวเครื่อง Vivo V15 Pro มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ รวมทั้งยังมาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือที่ฝังเอาไว้ด้านใต้ของหน้าจอ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวางนิ้วเพื่อปลดล็อกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า Vivo V15 Pro เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว โดยตัวเครื่องจริงจะมีความสวยงามมากน้อยเพียงใด, กล้องหน้าแบบเลื่อนได้ รวมถึงกล้องหลัง 3 ตัวสามารถถ่ายภาพได้คมชัดขนาดไหน รวมทั้งระบบภายในจะมีฟีเจอร์เด่นอะไรให้เลือกใช้งานบ้าง สามารถติดตามไปพร้อมกับทีมงานผ่านบทความรีวิวฉบับนี้ได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

Vivo V15 Pro มาพร้อมกับกล่องแพ็กเกจสีขาวที่มีการพิมพ์ภาพดีไซน์ตัวเครื่องของ Vivo V15 Pro เอาไว้ที่ด้านหน้าให้เห็นแบบเด่นชัด โดยที่บริเวณมุมขวาบนของกล่องจะมีการระบุหน่วยความจำ RAM และหน่วยความจำภายในของรุ่นนี้เอาไว้ให้ทราบด้วย ซึ่งรุ่นที่เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นรุ่น RAM 6GB + ROM 128GB ครับ

พลิกมาดูที่ด้านหลังของกล่องแพ็กเกจ จะพบว่าทาง Vivo ได้ระบุคุณสมบัติเด่นของรุ่นนี้เอาไว้ให้ทราบด้วย เริ่มตั้งแต่ หน้าจอแสดงผลไร้ขอบไร้รอยบากแบบ Ultra FullView Display, ระบบกล้องหลัง 3 ตัว ที่มีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับช่วยถ่ายภาพ, กล้องหน้าเลื่อนได้ (Elevating Front Camera) ความละเอียดสูง 32 ล้านพิกเซล และระบบสแกนลายนิ้วมือที่ฝังเอาไว้ใต้หน้าจอแบบ In-Display Fingerprint Scanning

อุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่องประกอบไปด้วย คู่มือการใช้งาน, ใบรับประกัน, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด

สายเชื่อมต่อแบบ microUSB, หูฟังแบบ EarBuds, อแดปเตอร์ชาร์จไฟ และเคสใส

สำหรับอแดปเตอร์ชาร์จไฟของ Vivo V15 Pro รองรับการจ่ายไฟสูงสุดที่ระดับ 9V/2A

ส่วนเคสใสที่แถมมาให้จะเป็นเคสซิลิโคนที่มีความแข็ง พร้อมขอบด้านข้างที่มีความหนา สามารถปกป้องตัวเครื่องได้อย่างรอบด้าน นอกจากนี้ ยังมีการเว้นช่องว่างสำหรับกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบเลื่อนได้ รวมถึงกล้องด้านหลังจำนวน 3 ตัวเอาไว้อย่างเหมาะสม

เมื่อลองสวมใส่เคสที่แถมมาให้จะเห็นได้ว่า เคสจะมีความหนากว่าหน้าจอแสดงผลเล็กน้อย ซึ่งช่วยปกป้องหน้าจอจากการอุบัติเหตุได้ในระดับหนึ่ง ส่วนที่ด้านหลังก็มีความหนากว่ากล้องเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วยปกป้องเลนส์กล้องทั้งสามตัวจากการวางไว้บนพื้นผิวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

ด้านล่างของเคสมามีจุกยางสำหรับปิดพอร์ตเชื่อมต่อ microUSB เมื่อไม่ได้ใช้งาน

ส่วนกลไกกล้องหน้ายังสามารถเลื่อนขึ้นลงได้ตามปกติโดยไม่ติดขอบเคส

มาดูที่ตัวเครื่องจริงกันบ้าง Vivo V15 Pro มาพร้อมกับดีไวน์หน้าจอแบบใหม่ในชื่อ Ultra FullView Display ซึ่งเป็นการนำเอาดีไซน์หน้าจอแบบ Halo FullView Display ที่ใช้บน Vivo V-Series รุ่นก่อนๆ มาปรับโฉมใหม่ โดยขยายพื้นที่หน้าจอทั้งสี่ด้านให้ชิดขอบกับจอมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งขอบด้านบนมีความบางเฉียบที่ 2.22 มม. ส่วนขอบด้านข้างบางเฉียบเพียง 1.75 มม. เท่านั้น ส่งผลให้มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 91.64% เลยทีเดียว

สำหรับหน้าจอของ Vivo V15 Pro เป็นแบบ Super AMOLED บนขนาดใหญ่เต็มตาที่ 6.39 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล) อัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 19.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D Glass นอกจากนี้ ยังรองรับการแสดงผลบนขอบเขตสีแบบ DCI-P3 ตอบโจทย์ผู้ทีต้องการหน้าจอแสดงผลที่มีสีสันเที่ยงตรงเป็นอย่างมาก

ข้อดีของหน้าจอแบบ Super AMOLED คือการแสดงผลสีดำที่ดำสนิท เนื่องจากหน้าจอจะไม่เปล่งแสงในส่วนของสีดำนั่นเอง ทำให้ Vivo V15 Pro สามารถใช้งานฟีเจอร์อย่าง Always On Display ที่จะคอยแสดงการแจ้งเตือน, เวลา หรือข้อความต่างๆ ขณะที่ล็อกหน้าจอได้

ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลจะเห็นได้ว่า ทาง Vivo ได้มีการซ่อนลำโพงสนทนา เอาไว้ที่บริเวณขอบบนอันบางเฉียบของตัวเครื่องได้อย่างแนบเนียน ส่วนเซ็นเซอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมอัตโนมัติ และ Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา ก็ถูกย้ายไปติดตั้งเอาไว้ใต้หน้าจอทั้งหมด ซึ่งช่วยให้ Vivo สามารถลดพื้นที่ขอบที่ไม่จำเป็นได้มากขึ้นนั่นเอง

ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่ไม่ได้หายไปไหน เพราะอย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่าทาง Vivo ได้นำกล้องหน้าไปติดตั้งเอาไว้ในกลไกกล้องเลื่อนได้แบบ Pop-up Camera หรือ Elevating ที่บริเวณด้านขวาของตัวเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกล้องหน้าเลื่อนได้ของ Vivo V15 Pro มาพร้อมกับความละเอียดจัดเต็มที่ 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.0 ซึ่งถือว่าเป็นกล้องหน้าเลื่อนได้รุ่นแรกของโลกที่มีความละเอียดของกล้องสูงถึงขนาดนี้เลยทีเดียว รวมทั้งระยะเวลาในการทำงานของกลไกนี้ก็ถือว่าฉับไว เพราะสามารถเลื่อนกล้องขึ้นมาได้ในเวลาเพียง 0.46 วินาทีเท่านั้น

สำหรับเบื้องหลังความล้ำของกลไกกล้องหน้าของ Vivo V15 Pro ประกอบไปด้วย 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ Micro Stepping Motor มอเตอร์สำหรับช่วยยกตัวกล้องขึ้นมาจากภายในตัวเครื่อง, Independent IC Drive หรือวงจรไอซีแบบแยกอิสระ และ Precision control algoritim หรืออัลกอริทึมที่ควบคุมการทำงานกลไกกล้องได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการทำงานของสามสิ่งเหล่านี้เองจะทำให้ผู้ใช้วางใจได้ว่า กล้องหน้าจะถูกเลื่อนออกมาจากตัวเครื่องให้แบบอัตโนมัติเมื่อต้องการใช้งาน และที่สำคัญกลไกกล้องเลื่อนได้ที่อยู่ภายในของ Vivo V15 Pro ยังถูกเชื่อมต่อเข้ากันด้วยแผ่นโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง และทนทาน โดยสามารถรองรับแรงกดได้มากถึง 120 กิโลกรัมเลยทีเดียว

กลไกกล้องหน้าเลื่อนได้นอกเหนือจากจะเอาไว้ถ่ายภาพเซลฟี่สวยๆ แล้ว ยังทำงานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ Face Access ที่สามารถตรวจจับจุดต่างๆ บนใบหน้าของผู้ใช้งานได้สูงถึง 1024 จุด เพื่อยืนยันตัวตนเข้าสู่การใช้งาน โดยกระบวนการปลดล็อกด้วยใบหน้าเพื่อเข้าใช้งาน จะใช้เวลาเพียง 0.55 วินาทีเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะเกิดความสงสัยว่า การที่กลไกกล้องมีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสำหรับใช้ถ่ายภาพเซลฟี่ รวมถึงใช้ร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า จะส่งผลให้กลไกกล้องเสื่อมไวหรือไม่ ประเด็นนี้ทาง Vivo เปิดเผยว่า ได้มีการทดสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็พบว่ากลไกกล้องสไลด์สามารถใช้งานได้ประมาณ 300,000 ครั้ง โดยหากเราใช้กลไกกล้องสไลด์วันละ 100 ครั้ง จะสามารถใช้งานได้นานถึง 8 ปี ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า กลไกกล้องสไลด์สุดล้ำตัวนี้จะไม่เสื่อมได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ กลไกกล้องสไลด์ของ Vivo V15 Pro ยังถูกออกแบบมาเผื่อสำหรับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากกล้องหน้าไม่ได้ถูกใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือหากมีแรงกดที่ตัวกล้องในระดับหนึ่ง ระบบก็จะทำการเลื่อนกล้องกลับไปเก็บไว้ให้แบบอัตโนมัติ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

ด้านล่างของหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ (On-Screen Navigation Button) ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดค้างเอาไว้, ปุ่ม Home สำหรับกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ โดยผู้ใช้สามารถสลับการจัดเรียงของปุ่มต่างๆ ได้เอง

ส่วนใครไม่ต้องการแถบปุ่มสัมผัสที่ด้านล่าง ก็สามารถปรับไปใช้วิธีควบคุมแบบ Gesture ซึ่งเป็นการควบคุมการทำงานต่างๆ ภายในตัวเครื่องผ่านการลากนิ้วจากบริเวณขอบด้านล่างของตัวเครื่องแทน

นอกจากนี้ ทาง Vivo ยังได้มีการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Figerprint Scanning) โดยเลือกใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอเจเนเรชันที่ 5 ต่างจากในรุ่น Vivo V11 ที่ใช้เป็นแบบเจเรชันที่ 4 นอกจากนี้ เทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือตัวใหม่ที่ใช้บน Vivo V15 Pro ยังมีการปรับปรุงในเรื่องของอัลกอริทึมประมวลผล, เลนส์แบบ 3 ชิ้นตัวใหม่ (3P Lens) และปรับปรุง DSP หรือหน่วยประมวลผลภาพดิจิทัล ช่วยให้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอของ Vivo V15 Pro สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว และมีความปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม โดยทาง Vivo ระบุว่า สามารถปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้ในเวลาเพียง 0.37 วินาทีเท่านั้น

ที่ด้านบนของตัวเครื่องนอกเหนือมีการติดตั้งกลไกกล้องหน้าเลื่อนได้แล้ว ยังมาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มม. และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มกดสำหรับเรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant และช่องใส่ microSD Card

ที่ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ หรือเปิด-ปิดเครื่อง, ปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot

ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB และลำโพงเสียงภายนอก

พลิกมาดูที่ด้านหลังตัวเครื่องกันบ้าง โดย Vivo V15 Pro มาพร้อมกับตัวเครื่องที่มีผิวสัมผัสเงางามคล้ายกับกระจก พร้อมกระบวนการเคลือบสีผิวที่มีการเล่นเฉดสีคล้ายกับการแผ่แสงของเส้นสเปกตรัม ส่งผลให้สามารถสะท้อนเล่นกับแสงเป็นรูปคลื่นในรูปแบบต่างๆ ตามมุมที่ตกกระทบ โดยสีที่ทีมงานได้รับมารีวิวในวันนี้คือสีน้ำเงิน Topaz Blue ครับ

ที่ด้านบนมาพร้อมกับระบบกล้องหลัง 3 ตัวแบบ AI Triple Camera โดยจะประกอบไปด้วย กล้อง Bokeh ที่อยู่ด้านบนของตัวเครื่อง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, กล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษแบบ AI Super Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้องตัวหลักที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Quad Pixel Sensor ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่มี Effective Pixels หรือพิกเซลที่ใช้สำหรับบันทึกภาพจริงจำนวน 12 ล้านพิกเซล

ภายในตัวเครื่องสวยๆ ของ Vivo V15 Pro ติดตั้งแบตเตอรี่ความจุ 3700mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ Dual-Engine Fast Charging โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-24% ได้ในเวลา 15 นาที

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

Vivo V15 Pro ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 9 Pie ใหม่ล่าสุด พร้อมครอบทับด้วย Funtouch OS 9 ซึ่งเป็น UI เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่ทาง Vivo ได้พัฒนาขึ้นมา ซึ่ง Vivo V15 Pro ถือว่าเป็นรุ่นแรกๆ ของค่ายที่ได้ใช้ UI เวอร์ชันใหม่ล่าสุด

รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ทั้งสองซิมการ์ด รวมทั้งยังรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (4G Voice Over LTE : VoLTE) ได้ทั้งสองซิมการ์ดอีกด้วย

สำหรับ Funtouch OS 9 จะจัดเรียงแอปพลิเคชันที่อยู่ภายในตัวเครื่องเอาไว้บนหน้าโฮมสกรีนทั้งหมด โดยผู้ใช้สามารถจัดเรียงตำแหน่งของไอคอน หรือสร้างโฟลเดอร์เพื่อจัดเก็บไอคอนแอปพลิเคชันไว้เป็นหมวดหมู่ได้เอง ผ่านการแตะที่ไอคอน หรือพื้นที่ว่างบนหน้าโฮมสกรีนค้างไว้

จากหน้าโฮมสกรีน เมื่อปัดไปทางขวาจะพบกับหน้า Card ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ใช้สนใจในรูปแบบของการ์ด อย่างเช่น สภาพอากาศปัจจุบัน, จำนวนก้าวเดิน หรืออีเวนท์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ รวมทั้งยังมาพร้อมกับทางลัดเข้าถึงแอปพลิเคชัน และเครื่องมือต่างๆ เช่น Speed up สำหรับเคลียร์พื้นที่หน่วยความจำ RAM, เครื่องคิดเลข หรือบันทึกเสียง เป็นต้น โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่ง และจัดตำแหน่งของการ์ดได้ด้วยตนเองโดยแตะที่เมนู Card Management ที่ด้านล่าง

เมื่อลากนิ้วจากบริเวณขอบด้านบนลงมายังด้านล่าง จะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นศูนย์รวมการแจ้งเตือนต่างๆ ภายในตัวเครื่อง โดยผู้ใช้สามารถลากนิ้วไปทางขวาเพื่อ Snooze หรือปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันนั้นๆ เป็นเวลาชั่วคราว และสามารถลบการแจ้งเตือนทั้งหมดได้ภายในครั้งเดียวผ่านการแตะที่ไอคอนรูปกากบาทที่ด้านล่าง

เมื่อลากนิ้วจากบริเวณขอบด้านล่างขึ้นมายังด้านบน จะพบกับ Control Center ที่รวมคีย์ลัดสั่งการต่างๆ ภายในตัวเครื่องเอาไว้ เช่น การเปิด-ปิดสัญญาณ Wi-Fi, เปิด-ปิด Bluetooth, เปิด-ปิด ไฟฉาย หรือเปิด-ปิด การใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือ เป็นต้น โดยผู้ใช้สามารถจัดเรียงตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้เอง โดยปัดไปที่ด้านขวา และแตะที่ไอคอนจุด 3 จุด

สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งที่ติดตั้งมาให้ภายในตัวเครื่อง จะประกอบไปด้วย แอปพลิเคชันจาก Google ได้แก่ Chrome, Gmail, Maps, Youtube, Drive, Play Music, Play Movie และ Photos นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชันพื้นฐาน เช่น เครื่องคิดเลข, เครื่องบันทึกเสียง, เข็มทิศ และวิทยุ FM

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งแอปพลิเคชันที่หลายคนใช้งานบ่อยมาให้ด้วย อย่างเช่น Facebook,Line, WPS Office และ Google Duo

สำหรับแอปพลิเคชันวิทยุ FM ผู้ใช้จำเป็นต้องเสียบหูฟังเพื่อเป็นตัวช่วยรับสัญญาณ และไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้งาน นอกจากนี้ ยังสามารถบันทึกเสียงเพื่อนำมารับฟังในภายหลังได้ผ่านการแตะที่ไอคอนรูปเทปที่บริเวณมุมซ้ายบน

มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน i Theme สำหรับปรับเปลี่ยนธีม และภาพพื้นหลังของตัวเครื่อง นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลดธีม, วอลเปเปอร์ และฟอนท์อื่นๆ ได้แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

มีแอปพลิเคชัน i Music สำหรับเล่นไฟล์เสียงต่างๆ พร้อมลูกเล่นในการปรับ Equalizer ได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบเสียงแบบ DeepField เพื่อช่วยขับเสียงในรูปแบบต่างๆ ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ อย่างเช่น การเล่นเสียงแบบรอบทิศทาง 360 องศา, การเล่นเสียงโดยเน้นที่เสียงเบส, การเล่นเสียงโดยเน้นที่เสียงนักร้องที่มีความคมชัด หรือการเล่นเสียงแบบคอนเสิร์ต เป็นต้น โดยระบบเสียงแบบ DeepField จะทำงานเฉพาะเมื่อเสียบหูฟังเท่านั้นครับ

ส่วนแอปพลิเคชันสำหรับเล่นไฟล์วิดีโอก็มีลูกเล่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยผู้ใช้สามารถลากนิ้วขึ้น-ลงบริเวณด้านซ้ายของหน้าจอเพื่อปรับความสว่างได้ หรือจะลากนิ้วขึ้น-ลงบริเวณด้านขวาของตัวเครื่องปรับระดับความดังของเสียง นอกจากนี้ ยังสามารถเล่นวิดีโอแบบหน้าต่างลอย หรือ Picture-in-Picture ได้ โดยแตะที่ไอคอนมุมซ้ายล่าง

แอปพลิเคชัน i Manager แอปพลิเคชันที่รวบรวมเครื่องมือจัดการประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่อง เช่น Space Cleanup สำหรับเคลียร์ไฟล์ภายในตัวเครื่องที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้มากขึ้น, Virus Scan สำหรับสแกนหาไวรัสที่เป็นอันตรายต่อสมาร์ทโฟน, Data Monitor สำหรับตรวจสอบปริมาณอินเทอร์เน็ตมือถือที่ถูกใช้ไป, App Manager สำหรับจัดการการขอสิทธิ์เข้าถึงของแอปพลิเคชันต่างๆ, Block Unwanted สำหรับบล็อกเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ต้องการรับสาย หรือ Phone Cooling สำหรับลดอุณหภูมิของตัวเครื่องผ่านการปิดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งาน และปรับแต่งการทำงานของสมาร์ทโฟน ส่วนใครที่ไม่ที่ไม่ต้องการปรับแต่งค่าต่างๆ ด้วยตัวเอง ก็สามารถเลือกแตะที่ฟังก์ชัน One-touch Optimization เพื่อให้ระบบเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Easy Share สำหรับแชร์ไฟล์ต่างๆ ภายในตัวเครื่องให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ รวมทั้งยังสามาถโอนถ่ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ไปยังเครื่องใหม่ได้ด้วย

รวมถึงแอปพลิเคชัน VivoCloud บริการสุดพิเศษสำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Vivo ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแบ็คอัพข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อ, ข้อความ SMS, บุ๊กมาร์กของเบราว์เซอร์, บันทึก รวมถึงไฟล์ต่างๆ ขึ้นไปเก็บไว้บนคลาวด์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดกลับมาใช้งานได้ทุกครั้งแม้ว่าจะเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วก็ตาม

มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน iReader แพลตฟอร์มสำหรับอ่าน E-Book ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดหนังสือ หรือการ์ตูนจากแอปพลิเคชันนี้ได้โดยตรง

ทางด้านแอปพลิคเคชันจัดการไฟล์อย่าง File Manager ถูกออกแบบมาโดยเน้นการใช้งานที่ง่าย โดยมาพร้อมกับการแบ่งประเภทของไฟล์ออกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งผู้ใช้สามารถกดค้นหาไฟล์เหล่านั้นผ่านการแตะที่รูปไอคอน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันพิเศษที่เรียกว่า File Safe ซึ่งเปรียบเสมือนตู้เซฟประจำเครื่อง โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์สำคัญต่างๆ เข้าไปเก็บไว้ใน File Safe ได้ และจะมีเพียงผู้ที่รู้รหัสผ่าน หรือลงทะเบียนใบหน้า และลายนิ้วมือเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงไฟล์เหล่านี้ได้

มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Note สำหรับจดบันทึกข้อความต่างๆ โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มรูปภาพ, ทำ Check-list, เสียงบันทึก ลงไปในโน๊ตได้ รวมทั้งยังสามารถตั้งการแจ้งเตือนได้อีกด้วย

ทางด้านแอปพลิเคชันโทรศัพท์ มาพร้อมกับแป้นตัวเลขขนาดกำลังพอดีต่อนิ้วมือ และมีฟังก์ชัน Smart Dial สำหรับค้นหารายชื่อผู้ติดต่อผ่านการกดตัวอักษรบนแป้นตัวเลข ส่วนใครที่ต้องการค้นหารายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมด ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านการแตะที่ไอคอนรูปคนที่ด้านล่างซ้ายมือ

นอกเหนือแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้ภายในเครื่องแล้ว Funtouch OS 9 ยังมีลูกเล่นต่างๆ ที่น่าสนใจ เริ่มตั้งแต่ ฟังก์ชัน Do not disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือน และเสียงเรียกเข้า ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการพักผ่อน หรืออยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถใช้เสียงได้ เป็นต้น

รวมไปถึงฟังก์ชัน Motorbike Mode หรือโหมดที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ โดยเมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานโหมดนี้ ระบบจะทำการปิดเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ และยกเลิกสายเรียกเข้าให้แบบอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้มีสมาธิกับการขับขี่บนท้องถนนมากที่สุด โดยจะสามารถรับสายได้ก็ต่อเมื่อจอดรถจักรยานยนต์แล้วเท่านั้น

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Eye protection สำหรับปรับสีหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น หรือโทนเย็น เพื่อลดอาการล้าของสายตา โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ฟังก์ชันนี้ทำงานแบบอัตโนมัติตามระยะเวลาที่กำหนดได้

อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นว่า ประโยชน์ของหน้าจอ Super AMOLED ช่วยให้ตัวเครื่องสามารถแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ ขณะที่ล็อกหน้าจอได้โดยที่ไม่กินแบตเตอรี่มากนัก โดยฟังก์ชันนี้ผู้ใช้จะต้องเข้าไปเปิดใช้งานก่อนในเมนู Always On Display และสามารถปรับแต่งรูปแบบของนาฬิกาได้ทั้งหมด 6 รูปแบบด้วยกัน

ด้านระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ In-Display Fingerprint Scanning รองรับการบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ โดยผู้ใช้สามารถนำลายนิ้วมือที่ลงทะเบียนไว้ไปใช้กับฟังก์ชันด้านความปลอดภัยภายในตัวเครื่องอย่างเช่น การล็อกแอปพลิเคชัน ได้ด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกรูปแบบเอฟเฟ็กต์ของปุ่มสแกนลายนิ้วมือได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ

ส่วนระบบสแกนใบหน้า สามารถบันทึกใบหน้าได้เพียงคนเดียวเพื่อความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันที่น่าสนใจอย่าง Screen Fill Light ที่เป็นการเพิ่มแสงหน้าจอเมื่อใช้งานระบบปลดล็อกใบหน้าในที่มืด โดยจากที่ทีมงานได้ทำการทดสอบก็พบว่า แม้จะเป็นที่แสงน้อย แต่ระบบก็ยังสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วแทบไม่แตกต่างกับการปลดล็อกในสภาพแสงปกติ

มาพร้อมกับฟังก์ชันปรับแต่งการใช้งานของแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ Normal Mode ซึ่งตัวเครื่องจะทำงานตามปกติเพื่อรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน, Low Power Mode ซึ่งจะเป็นการลดความเร็วการประมวลผลของ CPU และ GPU รวมทั้งลดความสว่างของหน้าจอ และปิดการทำงานของ Wi-Fi, Bluetooth และฟังก์ชัน Always On Display เพื่อประหยัดการใช้งานแบตเตอรี่ ส่วนโหมดสุดท้ายคือ Super Power-Saving Mode ซึ่งจะเป็นการประหยัดแบตเตอรี่ในขั้นสูงสุดด้วยการเปลี่ยนธีมเป็นสีขาว-ดำ และอนุญาติให้ใช้ได้แค่เฉพาะแอปพลิเคชันพื้นฐานเช่น นาฬิกา, รายชื่อผู้ติดต่อ, โทรศัพท์ และข้อความ เท่านั้น อีกทั้ง ผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้งานแบตเตอรี่จากแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับลูกเล่นในการสั่งงานตัวเครื่องในรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ฟังก์ชัน Smart Wake สำหรับลากนิ้วในท่าทางต่างๆ หรือวาดตัวอักษรภาษาอังกฤษ เพื่อเปิดแอปพลิเคชัน เช่น วาดรูปตัว C เพื่อเปิดแอปพลิเคชันโทรศัพท์ หรือวาดตัว F สำหรับเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook เป็นต้น

รวมถึงฟังก์ชัน Raise to wake สำหรับปลุกหน้าจออัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาในระดับหนึ่ง, ฟังก์ชัน Double click to light สำหรับปลุกหน้าจอผ่านการแตะที่หน้าจอสองครั้ง และฟังก์ชัน Double tap to turn off screen หรือการแตะสองครั้งเพื่อล็อกหน้าจอ

ฟังก์ชัน Smart Call สำหรับโทรออกอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู, ฟังก์ชัน Smart Anser สำหรับรับสายเรียกเข้าอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู, ฟังก์ชัน Smart Switch สำหรับเปลี่ยนจากโหมดคุยสายสนทนาผ่านลำโพงเสียงภายนอก เป็นการพูดคุยผ่านลำโพงสนทนา เพียงยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู และฟังก์ชัน Smart Mute สำหรับปิดเสียงเรียกเข้าเมื่อนำฝ่ามือไปวางปิดหน้าจอ

หรือฟังก์ชันการเขย่าตัวเครื่องเพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันไฟฉายขณะที่หน้าจอดับ

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Smart Mirroring ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฉายวิดีโอ, ภาพถ่ายภาพในตัวเครื่อง หรือเล่นไฟล์เสียงจากในเครื่อง บนโทรทัศน์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ และเชื่อมต่ออยู่บนเครือข่ายเดียวกัน

และยังมีอีกหนึ่งฟังก์ชันที่น่าสนใจนั่นก็คือ Message Screen Splitting โดยเมื่อมีการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียขณะที่เรากำลังใช้งานแอปพลิเคชันอื่นแบบเต็มหน้าจออยู่ ตัวระบบจะแสดงการแจ้งเตือนเป็นแบบไอคอนลอย ซึ่งเราสามารถลากการแจ้งเตือนนี้มายังบริเวณตรงกลางของหน้าจอเพื่อแบ่งหน้าจอการทำงานได้ทันที

ส่วนใครที่ต้องการใช้งานฟังก์ชันแบ่งหน้าจอด้วยตนเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันนี้ได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ ใช้ 3 นิ้วลากลงมาจากหน้าจอด้านบน หรือเลื่อนแถบ Control Center จากด้านล่างขึ้นมา และแตะที่เมนู Multitasking

ฟังก์ชัน One-handed สำหรับใช้งานด้วยมือเดียว โดยจะเป็นการย่อขนาดของแป้นคีย์บอร์ด และหน้าต่างแอปพลิเคชันให้เล็กลง ตอบโจทย์การใช้งานด้วยมือเดียวมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน S-capture สำหรับบันทึกภาพสกรีนช็อต โดยผู้ใช้สามารถบันทึกภาพหน้าจอได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ กดปุ่ม Power และปุ่มลดเสียงพร้อมกัน หรือใช้ 3 นิ้วลากจากล่างขึ้นบน

สามารถบันทึกภาพหน้าจอแบบยาวได้ด้วย โดยเริ่มแรกให้ทำการบันทึกภาพหน้าจอแบบปกติก่อน จากนั้นให้แตะคำว่า Long Screenshot

ฟังก์ชัน Smart Click สำหรับกดปุ่มลดเสียงขณะล็อกหน้าจอเพื่อสั่งการต่างๆ เช่น เปิด-ปิด ไฟแฟลช, บันทึกเสียง หรือเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ เป็นต้น

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Easy Touch หรือปุ่มแบบลอยที่รวบรวมคีย์ลัดการใช้งานเอาไว้อย่างครบถ้วน เช่น การปรับระดับเสียง, บันทึกภาพหน้าจอ, เปิดแอปพลิเคชันเครื่องคิดเลข หรือล็อกหน้าจอ เป็นต้น และยังสามารถเลือกตั้งค่าการแตะสองครั้งบนปุ่ม Easy Touch เพื่อสั่งการในรูปแบบต่างๆ ได้ด้วย เช่น การกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน

และที่สำคัญ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน App Clone สำหรับโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดีย โดยแอปพลิเคชันที่ถูกโคลนออกมาจะทำงานแยกออกจากกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเล่น Facebook หรือ Line แบบ 2 แอคเคานท์ได้

มาดูประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง โดย Vivo V15 Pro ขับเคลื่อนการทำงานด้วยขุมพลังระดับกลางรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย Qualcomm ในชื่อ Snapdragon 675 AIE ซึ่งเป็นชิปเซ็ตประมวลผลแบบ 8 แกน (Octa-Core Processor) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น Snapdragon 670 มีจุดเด่นด้านการผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 11 นาโนเมตร พร้อมแพลตฟอร์ม AI Engine ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยประมวลผลงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญที่มีอยู่บนรุ่น Vivo V15 Pro โดยชิป Snapdragon 675 AIE จะทำงานควบคู่กับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 612, หน่วยความจำ RAM ขนาด 6GB, หน่วยความจำภายในความจุ 128GB และระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 9 Pie

ชิปเซ็ต Snapdragon 675 AIE ไม่ได้มีเพียงความน่าสนใจแค่เรื่องการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพราะทาง Qualcomm ยังได้พัฒนาเพื่อตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์ด้วย โดย Qualcomm เปิดเผยว่า ชิปเซ็ต Snapdragon 675 AIE สามารถเปิดเกมได้เร็วกว่าชิปรุ่นก่อนอย่าง Snapdragon 670 ราว 30% และลดอาการกระตุกขณะเล่นเกมได้มากถึง 90% รวมทั้งชิปเซ็ต Snapdragon 675 AIE ยังถูกปรับแต่งให้เหมาะสมกับ Engine การสร้างเกมมือถือยอดนิยมอย่าง Untreal Engine 4, Unity, Messiah และ NeoX อีกด้วย ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า Vivo V15 Pro จะสามารถเล่นเกมที่มีอยู่บนท้องตลาดได้อย่างลื่นไหลแน่นอน

นอกจากนี้ ทาง Vivo ยังได้มีการใส่เทคโนโลยีที่เรียกว่า Dual-Turbo ไว้ใน Vivo V15 Pro ด้วย เพื่อช่วยรีดประสิทธิภาพในการประมวลผลให้สูงขึ้น

และเพื่อเป็นการทดสอบ ทางทีมงานจึงได้นำ Vivo V15 Pro ไปทดลองเล่นเกมกราฟิกสวยๆ อย่าง AxE ที่ใช้เอนจิน Unity ในการพัฒนา โดยเลือกปรับกราฟิก และเฟรมเรทอยู่ในระดับสูงสุดที่ตัวเครื่องสามารถปรับได้ ซึ่งก็พบว่าสามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลโดยไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุกให้เห็นแต่อย่างใด

ลองนำไปทดสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของตัวเครื่องด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า สามารถทำคะแนนได้ราว 179761 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 4 พบว่า สามารถทำคะแนนทดสอบแบบ Single-Core ได้ทั้งหมด 2384 คะแนน และทำคะแนนทดสอบแบบ Multi-Core ได้ทั้งหมด 6489 คะแนน

ส่วนด้านความบันเทิงก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยมาพร้อมกับความสามารถด้านการเล่นไฟล์ความละเอียดสูงระดับ Full HD ได้อย่างลื่นไหล ซึ่งเมื่อประกอบกับหน้าจอขนาดใหญ่เต็มตาแบบไร้ขอบไร้รอยบากของ Vivo V15 Pro แล้ว ยิ่งทำให้รับชมภาพยนต์ และคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างเต็มอารมณ์โดยไม่มีสิ่งมาบดบังเหมือนกับหน้าจอที่มี Notch

กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นว่า Vivo V15 Pro ยกเครื่องด้านการถ่ายภาพใหม่ด้วยระบบกล้องหลังจำนวน 3 ตัว แบบ AI Triple Camera ประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักเซ็นเซอร์รับภาพ Quad Pixel Sensor ที่สามารถถ่ายภาพได้ที่ความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้องเลนส์มุมกว้างแบบ AI Super Wide-Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 ทีสามารถ่ายภาพได้กว้างถึง 120 องศา และกล้อง Depth Camera ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 สำหรับตรวจจับข้อมูลระยะชัดตื้น

กล้องตัวหลักของ Vivo V15 Pro ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Bining สำหรับรวมพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน ที่อยู่ใกล้เคียงกันเพื่อให้มีขนาดของพิกเซลใหญ่ขึ้นที่ 1.6 ไมครอน ผลลัพธ์จะช่วยให้กล้องของ Vivo V15 Pro สามารถเก็บแสงได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไปถึง 4 เท่า ส่งผลให้การถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยทำได้อย่างคมชัดนั่นเองครับ

ส่วนทางด้านกล้องหน้าแบบเลื่อนได้ มาพร้อมกับความละเอียดจัดเต็มที่ 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 และยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างโหมดถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty ที่เป็นการนำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาช่วยปรับแต่งใบหน้าของผู้ใช้ให้มีความสวยงามแบบอัตโนมัติ และยังมาพร้อมกับฟังก์ชันถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการจัดแสงในรูปแบบต่างๆ ได้อีกด้วย

สำหรับหน้าอินเทอร์เฟสของกล้องถ่ายภาพด้านหลัง มีการจัดเรียงไอคอนคีย์ลัดต่างๆ เอาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน เริ่มตั้งแต่ การเปิดใช้งานไฟแฟลช, เปิด-ปิด การทำงานของฟังก์ชัน HDR, เปิด-ปิด ฟังก์ชันการถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Live Photo

รวมถึงฟังก์ชันตั้งเวลาถ่ายภาพที่ตั้งได้นานสูงสุด 10 วินาที, ฟิลเตอร์ภาพถ่ายที่มีให้เลือก 14 รูปแบบ และการถ่ายภาพแบบเต็มสัดส่วนของหน้าจอ

ในส่วนของฟังก์ชันถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอนั้น ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการจัดแสงให้แก่ตัวแบบได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ประกอบไปด้วย Studio Light, Stereo Light, Loop Light, Rainbow Light และ Momochrome Background

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอผ่านการจำลองค่ารูรับแสง หรือค่า F คล้ายกับกล้องใหญ่ด้วย โดยสามารถจำลองค่ารูรับแสงได้ตั้งแต่ F/0.95 ไปจนถึง F/16

ส่วนวิธีการสลับไปใช้งานเลนส์มุวกว้างพิเศษแบบ AI Super Wide-Angle ก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแตะที่ไอคอน WIDE ที่เวณด้านล่าง ระบบก็จะทำการสลับไปใช้งานกล้องตัวใหม่ให้แบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันค้นหาข้อมูลของวัตถุที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ใช้กล้องส่อง ซึ่งฟังก์ชันนี้จะเป็นการทำงานร่วมกับผู้ช่วยอัจฉริยะของ Vivo อย่าง Jovi นั่นเองครับ

สำหรับการถ่ายภาพในโหมดปกติด้วยกล้องตัวหลักของ Vivo V15 Pro จะเป็นการถ่ายภาพที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลตาม Effective Pixels ของตัวเซ็นเซอร์รับภาพ ซึ่งหากผู้ใช้ต้องการถ่ายภาพขนาดใหญ่ที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล จะต้องเข้าไปเปิดใช้งานก่อน โดยแตะที่ไอคอนฟันเฟืองด้านบน และเลือกเมนู 48 MP

ส่วนโหมดการถ่ายภาพก็มีให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลายเช่นเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ โหมด AI Beauty หรือโหมดถ่ายภาพหน้าสวย โดยผู้ใช้สามารถเลือกปรับแต่งส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น สกินโทน, ความสว่าง, ความเรียวของใบหน้า, ปรับขนาดกราม, ปรับขนาดของดวงตา, ปรับขนาดของหน้าผาก, ปรับขนาดของจมูก รวมไปถึงการปรับขนาดของปาก

มากไปกว่านั้น ในโหมด AI Beauty ผู้ใช้ยังสามารถปรับรูปร่างผ่านฟังก์ชันที่มีชื่อว่า Slim ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การปรับขนาดของศรีษะ, ปรับความกว้างของไหล่, ปรับขนาดเอว, ปรับความยาวของขา, ปรับขนาดของขา รวมถึงการปรับขนาดของสะโพก

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันเด่นที่เรียกว่า Super Night Mode หรือโหมดการถ่ายภาพที่ออกแบบมาเพื่อถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย หรือถ่ายภาพตอนกลางคืนโดยเฉพาะ โดยจะเป็นการถ่ายภาพเป็นจำนวน 6-7 ภาพในสภาวะแสงที่แตกต่างกัน จากนั้นจะนำภาพที่ได้มาผสานรวมกันเป็นภาพใบเดียว เพื่อช่วยเก็บรายละเอียด และยังทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัดกว่าการถ่ายด้วยโหมดปกติ

มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพ Panorama สำหรับเก็บภาพวิวทิวทัศน์ในมุมกว้าง และโหมด Pro ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพได้เอง ไม่ว่าจะเป็น การปรับค่าชดเชยแสง (EV) ได้ตั้งแต่ -2 ไปจนถึง +2, ปรับค่าความไวแสง (ISO) ได้ตั้งแต่ 50 ไปจนถึง 3200, ปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ได้ตั้งแต่ 1/2000 ไปจนถึง 32 วินาที, ปรับค่าสมดุลแสงสีขาว และปรับการโฟกัสภาพ

รวมถึงโหมด AR Stickers สำหรับติดสติ๊กเกอร์สุดน่ารักให้กับตัวแบบ และยังสามารถดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์เพิ่มเติมได้อีกด้วย

มาพร้อมกับฟังก์ชัน AI Portrait Framing สำหรับจัดองค์ประกอบภาพให้เหมาะสมกับการถ่ายภาพบุคคลผ่านคำแนะนำของผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการถ่ายภาพบุคคลให้ออกมามีความสวยงาม

และที่สำคัญยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน AI Scene Identification ที่สามารถตรวจจับซีนต่างๆ ได้มากกว่า 17 ซีน เช่น บุคคล, อาหาร, ภาพกลางคืน หรือดอกไม้ เพื่อนำมาปรับแต่งการตั้งค่าของกล้อง และสีสันของภาพให้ออกมาสวยงามแบบอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อระบบสามารถตรวจจับซีนได้ จะขึ้นไอคอนที่บริเวณมุมขวาบน

ส่วนโหมดการถ่ายภาพวิดีโอ สามารถเปิดใช้งานเลนส์ AI Super Wide-Angle ขณะบันทึกภาพได้ด้วย ช่วยให้มุมมองของวิดีโอมีความกว้างกว่าปกติ

สามารถเลือกฟิลเตอร์สำหรับถ่ายวิดีโอได้ทั้งหมด 14 รูปแบบ

รองรับการบันทึกภาพที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD แบบ 60FPS พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion และ Time-Lapse นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Beauty และ Slim ขณะถ่ายวิดีโอได้ แต่จะจำกัดความละเอียดสูงสุดที่ระดับ HD 720p

ส่วนทางด้านกล้องหน้าก็มาพร้อมกับอินเทอร์เฟสที่ใช้งานได้ง่ายไม่แพ้กับกล้องหลัง โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงคีย์ลัดการตั้งค่ากล้องถ่ายภาพได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด ฟังก์ชัน HDR, การเปิด-ปิด ฟังก์ชันถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ, เปิด-ปิด ฟังก์ชัน Live Photo

สามารถเลือกฟิลเตอร์ของภาพถ่ายได้ทั้งหมด 14 รูปแบบ

ฟังก์ชันถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ สามารถเลือกรูปแบบการจัดแสงได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ประกอบไปด้วย Studio Light, Stereo Light, Loop Light, Rainbow Light และ Momochrome Background

มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพหน้าสวยแบบ Beauty ที่สามารถปรับแต่งโครงหน้าได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น สกินโทน, การเติมแป้ง, ระดับความสว่างของใบหน้า, ขนาดกราม หรือปรับขนาดของดวงตา เป็นต้น แต่จะไม่สามารถปรับรูปร่างได้ทั้งตัวเหมือนกับกล้องหลัง

ส่วนโหมดถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกภาพที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p และยังสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Beauty สำหรับปรับหน้าสวย และฟังก์ชัน Slim สำหรับปรับรูปร่างได้ด้วย แต่จะจำกัดความละเอียดสูงสุดที่ระดับ HD 720p เท่านั้น

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง AI Triple Camera ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 48+8+5 ล้านพิกเซล ของ Vivo V15 Pro

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดใช้งาน AI Scene Identification

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดใช้งาน AI Scene Identification ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน 48MP

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน 48MP

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait)

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกเอฟเฟ็กต์จัดแสงแบบ Rainbow Light

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Stereo Light

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Super Night Mode

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Super Night Mode

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยกล้อง AI Super Wide-Angle ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยกล้อง AI Super Wide-Angle

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยโหมด AR Stickers

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ Vivo V15 Pro

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI Beauty พร้อมปรับความเนียนที่ระดับกลาง

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI Beauty พร้อมเปิดเอฟเฟ็กต์ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AR Stickers

สรุปผลการทดสอบของ Vivo V15 Pro

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับการรีวิว Vivo V15 Pro ซึ่งหลายท่านคงจะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มีการยกเครื่องอัปเกรดจากรุ่นพี่อย่าง Vivo V11 หลายต่อหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ ดีไซน์หน้าจอไร้ขอบที่แท้จริงแบบ Ultra FullView Display ขนาดใหญ่เต็มตาที่ 6.39 นิ้ว ความละเอียดคมชัดระดับ Full HD+ พร้อมเลือกใช้แผงหน้าจอแบบ Super AMOLED ที่มีจุดเด่นด้านการแสดงสีสันได้อย่างคมชัดสดใส และยังสามารถแสดงสีตามมาตรฐาน DCI-P3 ทำให้มั่นใจได้ว่า การรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะเป็นไปอย่างเต็มตาเต็มอารมณ์แน่นอน

ด้านกล้องหน้าก็มีการยกเครื่องใหม่หมดจด จากเดิมในรุ่น Vivo V11 ที่จัดวางกล้องหน้าเซลฟี่มาให้ที่ความละเอียด 25 ล้านพิกเซล ก็ปรับไปใช้ กล้องหน้าแบบเลื่อนได้ (Pop-up Camera) เหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงอย่าง Vivo Nex แต่เหนือกว่าตรงที่ มาพร้อมกับความละเอียด 32 ล้านพิกเซลเป็นรุ่นแรกของโลก ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเซลฟี่เป็นอย่างมาก อีกทั้ง ทาง Vivo ยังได้ใส่ฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อเอาใจคอเซลฟี่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชันถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty หรือฟังก์ชันการถ่ายภาพเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการจัดแสงได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ฟังก์ชัน AI Beaty ยังสามารถใช้งานในโหมดถ่ายวิดีโอได้อีกด้วย

ส่วนทางด้านกล้องหลังก็ยกระดับขึ้นไปอีกครั้ง จากเดิมที่เคยใช้ระบบกล้องหลังคู่ (Dual Camera) ก็ปรับมาเป็น ระบบกล้องหลัง 3 ตัวแบบ AI Triple Camera ที่กล้องตัวหลักมีความละเอียดสูงสุดถึง 48 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์แบบ Quad Pixel Sensor และยังมีเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Bining สำหรับช่วยรวมเม็ดพิกเซลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อช่วยให้เซ็นเซอร์รวมแสงได้ดีขึ้น ตอบโจทย์การถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย มากไปกว่านั้น ทาง Vivo ยังได้คิดค้นโหมดถ่ายภาพแบบ Super Night Mode เพื่อตอบโจทย์การถ่ายภาพกลางคืนโดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อประกอบกับเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Bining แล้ว ทำให้มั่นใจได้ว่าภาพที่ได้จะต้องมีความสวยงามคมชัดอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ Vivo ยังเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟน V-Series ที่ทาง Vivo ได้ใส่เลนส์มุมกว้างพิเศษแบบ AI Super Wide-Angle มาให้ด้วย โดยมีองศาในการรับภาพกว้างถึง 120 องศา ตอบโจทย์การเก็บภาพวิวทิวทัศน์ได้อย่างครบถ้วนแบบไม่หลุดเฟรม หรือในบางสถานการณ์ที่ไม่สามารถถอยออกเพื่อเก็บภาพในมุมกว้างได้ ซึ่งเลนส์มุมกว้างพิเศษก็ถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของกล้องถ่ายภาพสมาร์ทโฟนที่กำลังมาแรงในปีนี้ด้วย

ส่วนทางด้านประสิทธิภาพการทำงานก็ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลื่นไหล เริ่มตั้งแต่ การขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่จาก Qualcomm อย่าง Snapdragon 675 AIE , เพิ่มขนาดของหน่วยความจำเป็น 128GB จากเดิมในรุ่น Vivo V11 ที่มีหน่วยความจำภายในความจุ 64GB, เพิ่มปริมาณแบตเตอรี่เป็น 3700mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ Dual-Engine Fast Charging รวมถึงการมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android OS 9 Pie เวอร์ชันใหม่ล่าสุด พร้อม Funtouch OS 9 ที่มีลูกเล่นให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย

นอกจากนี้ Vivo ยกระดับระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งานขึ้นไปอีกขั้น ด้วยระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ Face Access ที่สามารถตรวจสอบใบหน้าผู้ใช้งานผ่านการตรวจจับจุดต่างๆ ได้มากกว่า 1024 จุด และใช้เวลาในการปลดล็อกเพียง 0.55 วินาที รวมทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ In-Display Fingerprint Scanning ก็ปรับไปใช้เซ็นเซอร์เจเนเรชันที่ 5 ซึ่งสามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำกว่าเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอที่เคยใช้บนรุ่น Vivo V11

จากข้อมูล และการทดสอบทั้งหมด ก็พอจะสรุปได้ว่า Vivo V15 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพที่ถ่ายได้สวยงามทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง รวมทั้งยังตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนดีไซน์สวยที่มีสเปกครบเครื่อง ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือการเล่นเกม 3 มิติยอดฮิตในปัจจุบัน ซึ่ง Vivo V15 Pro ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว

สำหรับ Vivo V15 Pro เปิดราคาขายในประเทศไทยที่ 14,999 บาท โดยจะเริ่มเปิดให้สั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order) วันที่ 1-8 มีนาคม 2562 และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป มีให้เลือก 2 มาตรฐาน ได้แก่ สีน้ำเงิน-ฟ้า Topaz Blue และสีแดง-ส้ม Coral Red สำหรับใครที่สนใจก็สามารถแวะเวียนไปทดลองใช้งานเบื้องต้น รวมทั้งจับจองเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวได้ที่ Vivo Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านได้นะครับ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Vivo ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Vivo V15 Pro มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ Vivo V15 Pro

- ตัวเครื่องขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันแบบ Unibody พร้อมกระบวนการเคลือบสีสันไล่เฉดแบบ Spectrum Ripple Design - จอแสดงผลไร้รอยบากแบบ Super AMOLED Ultra FullView Display ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล) ขนาด 6.39 นิ้ว พร้อมพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบตัวเครื่องสูงถึง 91.64% - รองรับการแสดงสีสันตามมาตรฐาน DCI-P3 - ขอบหน้าจอด้านข้างบาง 1.75 มิลลิเมตร - หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Adreno 612 - เทคโนโลยี Dual-Turbo สำหรับช่วยเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลของหน่วยประมวลผลกราฟิก - รองรับการใช้งานสองแอปพลิเคชันพร้อมกันผ่านฟังก์ชัน Split-Screen - ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียได้แบบ 2 แอคเคานท์ - ระบบสแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner) เจเรชันที่ 5 ที่สามารถปลดล็อกได้ในเวลาเพียง 0.37 วินาที - ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Access) ที่สามารถตรวจจับจุดต่างๆ บนใบหน้าได้ทั้งหมด 1024 จุด และใช้เวลาในการปลดล็อกเพียง 0.55 วินาที - ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Octa-Core Qualcomm Snapdragon 675 AIE ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 11 นาโนเมตร - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9 เวอร์ชันล่าสุด - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) ขนาด 128GB พร้อมรองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ความจุสูงสุด 256GB - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB - กล้องหน้าสไลด์ขึ้น-ลงได้แบบ Pop-Up ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 รุ่นแรกของโลก - กล้องดิจิทัลด้านหลังจำนวน 3 ตัว แบบ AI Triple Camera ความละเอียด 48+8+5 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.8 + f/2.2 + f/2.4, ไฟแฟลช LED พร้อมเทคโนโลย AI Scene Identification สำหรับวิเคราะห์ฉาก และวัตถุที่อยู่ภายในเฟรม เพื่อปรับแต่งให้มีความสวยงามอัตโนมัติและฟังก์ชัน Portrait Framing สำหรับช่วยจัดองค์ประกอบในการถ่ายภาพบุคคล - กล้องเลนส์ AI Super Wide-Angle ที่สามารถบันทึกภาพ และวิดีโอได้กว้าง 120 องศา - รองรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait พร้อมฟีเจอร์ฟีเจอร์จัดแสงให้แก่ตัวแบบ - รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM) - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, WiFi, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ทั้งสองซิมการ์ด - รองรับการสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G LTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด - รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย Wi-Fi Dual-Band (2.4GHz & 5GHz) - รองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม GPS, GLONASS และ BeiDou - รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 - แบตเตอรี่ขนาด 3700 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging - เปิดให้สั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order : ประเทศไทย) วันที่ 1-8 มีนาคม 2562 - วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (ประเทศไทย) วันที่ 9 มีนาคม 2562 - มีให้เลือก 2 สีมาตรฐาน (น้ำเงิน-ฟ้า Topaz Blue และแดง-ส้ม Coral Red) - ราคาเปิดตัว (ประเทศไทย) 14,999 บาท

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Vivo V15 Pro

Leave a Comment