รีวิว Huawei Mate 30 Pro ที่สุดของเรือธงเพื่อการถ่ายภาพ พร้อมยอดนวัตกรรมระดับท็อปจัดเต็ม บนตัวเครื่องดีไซน์สุดล้ำนำยุค :: Thaimobilecenter.com HUAWEI Mate 30 Pro

ที่สุดของเรือธงเพื่อการถ่ายภาพ พร้อมยอดนวัตกรรมระดับท็อปจัดเต็ม บนตัวเครื่องดีไซน์สุดล้ำนำยุค ด้วย 4 กล้อง Leica SuperSensing Cine 40 ล้านพิกเซล ผสานกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล, จอ OLED Horizon Display ขอบโค้งงามหยด ผสานการสั่งงานแบบไร้สัมผัส, ชิปเซ็ต Kirin 990 ตัวท็อป และแบตเตอรี่ SuperCharge 40W ชาร์จเร็วสุดอึด บนตัวเครื่องดีไซน์ Halo Ring ใหม่หมดจดที่ไม่กลัวร้อน และไม่กลัวน้ำ

หากพูดถึงสมาร์ทโฟนที่มีความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพ หลายท่านน่าจะถึงสมาร์ทโฟนค่าย Huawei เป็นอันดับแรกๆ กันอย่างแน่นอน โดยนอกเหนือจากตระกูล P-Series ที่เริ่มมีความโด่งดังในระดับสะเทือนวงการมาจากรุ่น HUAWEI P9 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่จับมือพัฒนาร่วมกับแบรนด์กล้องถ่ายภาพระดับโลกอย่าง Leica แล้ว ในระยะหลังมานี้ทาง Huawei ก็ไม่พลาดที่จะหยิบยกเทคโนโลยีกล้องมาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟนเรือธงตระกูลใหญ่ของตนเองอย่าง Mate Series ด้วย รวมถึงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง HUAWEI Mate 30 Pro ที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยกล้อง Leica Quad Camera แบบ SuperSensing Cine 40MP บนดีไซน์ใหม่แบบ Halo Ring อันเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับกล้องหน้าที่มีความละเอียดสูงถึง 32MP จนได้รับคะแนนทดสอบจาก DxOMark สูงถึง 121 คะแนน เรียกว่าเป็นอันดับ 1 ของวงการสมาร์ทโฟนในขณะที่เปิดตัวเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา และล่าสุดก็ยังยืนอยู่บนโพเดียมได้อย่างเหนียวแน่น เป็นรองเพียงแค่ Honor V30 Pro กับ HUAWEI Mate 30 Pro 5G เพียงแค่ 1-2 คะแนนเท่านั้น นอกจากนี้ทาง DxOMark ยังยกให้ HUAWEI Mate 30 Pro เป็นมือถือกล้องถ่ายภาพยอดเยี่ยมแห่งปีด้วยตำแหน่ง Best All-Rounder

ไม่เพียงแค่มีจุดขายสำคัญด้านการถ่ายภาพเท่านั้น เพราะแน่นอนว่าสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมจะต้องมีคุณสมบัติในด้านอื่นๆ อยู่ในระดับท็อปเช่นเดียวกัน โดย HUAWEI Mate 30 Pro มาพร้อมกับขุมพลังตัวใหม่ล่าสุดอย่างชิปเซ็ต Kirin 990 ที่ครองตำแหน่งความเป็นเจ้าแรกของโลก ( World's First ) หลายด้าน เช่นการฝังหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G76 แบบ 16-Core เป็นรุ่น แรกของโลก หรือการมาพร้อมกับ NPU (หน่วยประมวลผลโครงข่ายประสาท) ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Big-Tiny Core เป็นรุ่นแรกของโลก ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ที่รองรับเทคโนโลีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ HUAWEI SuperCharge 40W รวมถึงตัวเครื่องที่มีคุณสมบัติป้องกันน้ำป้องกันฝุ่นระดับ IP68 บนดีไซน์หน้าจอสุดงามแบบ HUAWEI Horizon Display ที่โค้งแบบขอบจรดขอบกว่า 88 องศา พร้อม เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอ และระบบสั่งงานด้วยท่าทางสุดอัจฉริยะ

สำหรับ HUAWEI Mate 30 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในบ้านเราเอาไว้ที่ 28,990 บาท โดยตัวเครื่องจริงจะมีความสวยงามเพียงใด และจะมีฟีเจอร์เด่นอะไรให้ใช้งานบ้างนั้น ไปติดตามรีวิวแบบเจาะลึกจากทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

HUAWEI Mate 30 Pro มาพร้อมกับคอนเซ็ปท์จอแบบไม่มีที่สิ้นสุด (Endless Screen) โดย Huawei ตั้งชื่อให้ว่า Horizon Display โดยเป็นหน้าจอแสดงผล OLED ขอบจรดขอบขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1176 พิกเซล) ขอบตัวเครื่องทั้งสองด้านทำมุมลงโค้ง 88 องศา ซึ่งนอกเหนือจากจะช่วยเพิ่มพื้นที่การแสดงผลให้สูงขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถหยิบจับได้อย่างถนัดมือมากขึ้นด้วย เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างการดีไซน์ และความสะดวกสบายด้านการใช้งานได้อย่างลงตัว

ที่ด้านบนของหน้าจอมาพร้อมกับรอยบากขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับติดตั้งชุดกล้อง และเซ็นเซอร์อัจริยะ ได้แก่ กล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล, 3D Depth Camera สำหรับช่วยทำเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอ, Gesture Sensor สำหรับตรวจจับท่าทางการเคลื่อนของมือผู้ใช้งาน, Ambient Light สำหรับปรับแสงของหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ และProximity Sensor สำหรับล็อกหน้าจออัตโนมัติเมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

ที่ด้านล่างของหน้าจอไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ ตามมือถือสมัยใหม่ในปัจจุบันที่เริ่มให้ผู้ใช้ปรับตัวไปใช้วิธีควบคุมแบบ Gesture ที่เป็นการลากนิ้วเพื่อสั่งการ แต่ Huawei ก็ไม่ลืมที่จะติดตั้งระบบสแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอมาให้ใช้งานเช่นเดิม ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ผู้ใช้สามารถวางนิ้วปลดล็อกได้อย่างธรรมชาติ สามารถปลดล็อกได้แม้วางเครื่องไว้บนพื้นผิวต่างๆ

ที่ด้านข้างซ้ายของตัวเครื่องไม่มีปุ่มใดๆ เนื่องจากหน้าจอได้โค้งลงมายังเฟรมมากกว่ารุ่น Mate 20 Pro โดยจะมีเพียงถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM เท่านั้น

ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีเพียงปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ หรือเปิด-ปิด เครื่อง

อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะเกิดความสงสัยว่า แล้วเราจะควบคุมมือถือได้อย่างไร? คำตอบก็คือเทคโนโลยี Side-Touch ที่ทาง Huawei นำมาใส่เอาไว้บนสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นครั้งแรก ผู้ใช้สามารถแตะที่สองครั้งเพื่อเรียกใช้งานปุ่มปรับระดับเสียงได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งปุ่มด้านข้างตรงนี้ยังสามารถปรับแต่งให้ใช้เป็นปุ่มเสริมสำหรับเล่นเกม หรือลั่นชัตเตอร์กล้องได้ด้วย ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกผู้เขียนจะยังไม่ค่อยชินกับการที่ไม่มีปุ่มปรับเสียงเหมือนกับมือ ถือรุ่นอื่นๆ แต่หลังจากที่ใช้งานไปสักระยะก็พบว่า การปรับเสียงโดยแตะที่หน้าจอด้านข้างค่อนข้างที่จะมีความคล่องตัว และรวดเร็วไม่ใช่น้อย แต่อาจมีปัญหาด้านการใช้งานบ้างหากผู้ใช้ต้องการปรับเสียงแบบเร่งด่วน หรือในบางสถานการณ์ที่เราต้องการปรับเสียงแบบไม่มองมือถือ

ที่ด้านบนมาพร้อมกับกล้องหลัง 4 ตัวบนดีไซน์ทรงกลมแบบ Halo Ring ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกล้องถ่ายภาพระดับโปรนั่นเอง โดยกล้องแต่ละตัวประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักแบบ SuperSensing Wide ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.6 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, กล้อง Ultra-Wide Cine ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง F/1.8, กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง F/2.4 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และกล้อง 3D Depth Sensing นอกจากนี้ กล้องของ HUAWEI Mate 30 Pro ยังมีความสามารถด้านการดันค่า ISO ได้สูงถึง 409600 ทำให้ถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของเซ็ตอัพกล้องถ่ายภาพนั้นเราจะสังเกต เห็นชื่อของกล้องตัวใหม่อย่าง Ultra-Wide Cine ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการยกกล้องถ่ายหนังมาใส่ไว้ในมือถือครั้งแรกของโลก เนื่องจากกล้องตัวนี้มาพร้อมกับฟอร์แม็ตภาพแบบ 3:2 เหมือนกับกล้องใหญ่  4K 60FPS พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K HDR+ พร้อมรองรับการดันค่า ISO สูงถึง 51200 ซึ่งถือว่าเป็นกล้องสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่สามารถดันค่า ISO ได้สูงขนาดนี้ขณะถ่ายวิดีโอ รวมทั้งยังมาพร้อมกับการถ่ายวิดีโอแบบ Ultra Slow-Motion ที่ระดับ 7680FPS เลยทีเดียว

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

สำหรับ EMUI 10 แน่นอนว่า ถูกออกแบบมาด้วยความเรียบง่ายเช่นเคย โดยแอปพลิเคชันต่างๆ จะถูกจัดเรียงเอาไว้ที่หน้าโฮมสกรีนทั้งหมด

เมื่อปัดไปทางซ้ายจะพบกับ HUAWEI Assistant หน้ารวมการแจ้งเตือนแบบคร่าวๆ และคีย์ลัดต่างๆ ของแอปพลิเคชันที่เรากำหนดไว้ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งคีย์ลัดต่างๆ ได้เองผ่านการแตะที่ไอคอน + More Services

เมื่อลากนิ้วจากบนลงล่างจะพบกับ Toggle Switch สำหรับเข้าถึงคีย์ลัดการตั้งค่าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถัดลงมาคือ Notification Center ซึ่งเป็นศูนย์รวมการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง

ในส่วนของแอปพลิเคชันนั้น อย่างที่หลายท่านทราบกันว่า HUAWEI Mate 30 Pro มาพร้อมกับบริการ HUAWEI Mobile Service (HMS) แทนที่ Google Mobile Services (GMS) ซึ่งส่งผลให้วิธีการซิงค์ข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงการดาวน์โหลด และใช้งานแอปพลิเคชัน จะต่างไปจากมือถือ Android รุ่นอื่นๆ พอสมควร เริ่มตั้งแต่ ระบบ User ที่ปรับไปใช้วิธีล็อกอินด้วย HUAWEI ID แทนที่ Google Account ส่งผลให้ผู้ใช้ที่ซิงค์ข้อมูลต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น รายชื่อผู้ติดต่อ หรือตารางนัดหมายในปฏิทิน จะต้องทำการย้ายข้อมูลเหล่านั้นมาไว้ใน HUAWEI ID หรือใช้แอปพลิเคชัน Third Party ในการช่วยย้ายข้อมูลครับ

ส่วนแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถดาวน์โหลดได้จากคลังแอปฯ ของ Huawei เองในชื่อ App Gallery ซึ่งจากที่ทดลองใช้งานพบว่า เริ่มมีแอปพลิเคชันจำเป็นสำหรับใช้งานพื้นฐานอยู่ในสโตร์แห่งนี้แล้ว อย่างเช่น OfficeSuite สำหรับเปิดไฟล์จากโปรแกรม Microsoft Office, K Plus สำหรับทำธุรกรรมของธนาคารกสิกรไทย, TrueMoney Wallet สำหรับสะสมแต้ม และทำธุรกรรมการเงินออนไลน์, Joox สำหรับฟังเพลงออนไลน์, Lazada สำหรับช็อปปิ้ง หรือ Agoda สำหรับจองโรงแรม เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ดี จากที่ทดสอบพบว่า สำหรับบางแอปพลิเคชันที่มีการเรียกหา API ของ Google Play Services จะไม่สามารถใช้งานได้เต็มฟังก์ชัน ยกตัวอย่างเช่น แอปฯ Wongnai หรือ Air Visual เป็นต้น

แม้ว่าจะมีวิธีที่ทำให้ HUAWEI Mate 30 Pro สามารถลง Google Mobile Services (GMS) เพื่อใช้บริการ Google ได้ตามปกติ แต่เนื่องจากเป็นวิธีการจากนักพัฒนาภายนอก และไม่ได้รับการยืนยันทางด้านความปลอดภัย ทางทีมงานจึงไม่แนะนำมา ณ ที่นี้ ส่วนทางด้านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Huawei ก็ได้แนะนำให้ดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์รวม APK แบบ Third Party อย่างเช่น AppTaken, ApkPure และ ApkMonk

ส่วนทางด้านแอปพลิเคชันติดเครื่องก็เป็นแอปพลิ เคชันสำหรับใช้งานพื้นฐาน อย่างเช่น Gallery สำหรับรวมภาพ และคลิปวิดีโอภายในตัวเครื่อง ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการรูปถ่ายได้อย่างง่ายดาย, Optimiser สำหรับจัดการประสิทธิภาพของสมาร์ทโฟนได้ด้วยตนเอง

แอปพลิเคชัน Health สำหรับเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้งาน เช่น จำนวนก้าว, อัตราการเต้นของหัวใจ, ประสิทธิภาพในการนอน หรือน้ำหนัก เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ประเภท Wearable Device ของ Huawei เพื่อบันทึกข้อมูลได้ด้วย

แอปพลิเคชัน Calendar สำหรับดูปฏิทิน และสร้างตารางนัดหมาย แต่ไม่สามารถซิงค์ข้อมูลจากแอปพลิเคชัน Calendar ของ Google ได้

แอปพลิเคชัน Email สำหรับจัดการอีเมลได้อย่างง่ายดาย ซึ่งผู้ใช้สามารถลอกอินอีเมลจากผู้ให้บริการชั้นนำได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Exchange, Hotmail, Yahoo รวมถึง Gmail

สามารถปรับเปลี่ยนธีม และวอลเปเปอร์ได้ด้วยตนเองผ่านแอพลิเคชัน Theme

สามารถปรับแต่งรูปแบบของหน้าโฮมสกรีนได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Standard ซึ่งเป็นการเรียงแอปพลิเคชันทั้งหมดบนหน้าโฮมสกรีน และ Drawer ซึ่งจะซ่อนแอปพลิเคชันที่ติดตั้งภายในตัวเครื่องเอาไว้ใน Drawer ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกดูได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ลากนิ้วจากล่างขึ้นบน

สามารถปรับแต่งสีสันของหน้าจอแบบ Natural Tone ซึ่งจะเป็นการปรับอุณหภูมิสีให้ดูสบายตาคล้ายกับอ่านตัวหนังสือจากกระดาษ โดยยึดจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ

หรือจะปรับแต่งสีผ่านโหมด Colour Mode & Temperature ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยผู้ใช้สามารถเลือกสีสันได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Normal ซึ่งเป็นสีสันปกติ และ Vivid ซึ่งเป็นการเร่งสีสันให้ดูมีความสว่างสดใส นอกจากนี้ ยังสามารถปรับอุณหภูมิสีตามวงล้อสีได้อีกด้วย

รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Eye Comfort สำหรับตัดแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตา ซึ่งจะช่วยลดอาการล้าของสายตา ตอบโจทย์การใช้งานในสภาวะแสงน้อย

สามารถปรับการแสดงผลของรอยบากได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Default ซึ่งเป็นการแสดงรอยบากตามปกติ และ Hide Notch สำหรับซ่อนรอยบากผ่านการถมพื้นที่ด้านบนด้วยสีดำ

และยังสามารถปรับการแสดงผลบริเวณขอบด้านข้างได้ 2 แบบเช่นกัน นั่นก็คือ Show Edges ซึ่งจะแสดงผลไปจนถึงขอบด้านข้าง และ Hide Edges ซึ่งจะไม่แสดงผลของแอปพลิเคชันนั้นๆ บริเวณขอบด้านล่าง โดยผู้ใช้สามารถเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการแสดงขอบ หรือไม่แสดงขอบได้ด้วยตนเอง

สามารถปรับความละเอียดหน้าจอได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Smart Resolution ซึ่งเป็นการปรับความละเอียดของหน้าจอแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ และ Manual ซึ่งเป็นการปรับความละเอียดของหน้าจอด้วยตนเอง ได้แก่ HD+ และ Full HD+

และสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Always On Display สำหรับแสดงการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่างๆ ขณะที่หน้าจอดับอยู่ ซึ่งตอบโจทย์สมาร์ทโฟนที่ใช้หน้าจอประเภท OLED อย่าง HUAWEI Mate 30 Pro เป็นอย่างดี

ทางด้านระบบยืนยันตัวตนมีให้ใช้งานทั้งหมดสอง รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ ระบบสแกนลายนิ้วมือที่ผู้ใช้สามารถบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ และระบบสแกนใบหน้าที่ผู้ใช้สามารถลงทะเบียนใบหน้าได้เพียง 1 ใบหน้าเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

นอกจากนี้ ทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือ และระบบสแกนใบหน้ายังสามารถนำไปใช้งานกับฟังก์ชันด้านความปลอดภัยอย่าง Safe หรือตู้เซฟเสมือนจริงที่ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ต่างๆ เข้าไปเก็บไว้ในนั้นได้ มีเพียงผู้ที่รู้รหัส หรือผู้ที่ลงทะเบียนตัวตนแบบ Biometric เท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ รวมไปถึงฟังก์ชัน App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชัน

ยังมีฟีเจอร์ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการใช้งาน เริ่มตั้งแต่ Wake Screen สำหรับปลุกหน้าจอแบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาในระดับหนึ่ง หรือแตะสองครั้งบนหน้าจอขณะที่หน้าจอดับอยู่

ฟีเจอร์ลดเสียงเรียกเข้าเพียงแค่ยกมือถือขึ้น และฟีเจอร์รับสายอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู

ที่สำคัญในรุ่น HUAWEI Mate 30 Pro ยังเป็นรุ่นแรกของค่ายที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Air Gestures ซึ่งเป็นการควบคุมสมาร์ทโฟนโดยไม่จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสหน้าจอโดยใช้ประโยชน์จาก เซ็นเซอร์อัจฉริยะที่อยู่บริเวณรอยบากของหน้าจอ โดยในตอนนี้เราสามารถสั่งการได้ทั้งหมด 2 อย่าง ได้แก่ Air Scroll ซึ่งเป็นการโบกมือขึ้น-ลง เพื่อเลื่อนหน้าจอ และ Grabshot ซึ่งเป็นการกำมือเพื่อบันทึกภาพหน้าจอ

ในส่วนของแบตเตอรี่ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการทำงานได้ทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ Performance Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องให้อยู่ในระดับสูงสุด, Power Saving Mode สำหรับประหยัดพลังงาน และ Ultra Power Saving Mode สำหรับประหยัดพลังงานในระดับสูงสุด ซึ่งจะเป็นการลดแสงหน้าจอให้เหลือน้อยที่สุด และให้ใช้งานแอปพลิเคชันพื้นฐานที่จำเป็นเท่านั้น

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Digital Balance ซึ่งเป้นการแสดงอัตราการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริหารจัดการเวลาใช้สมาร์ทโฟนได้ด้วยตนเอง เช่น จำกัดเวลาการใช้งานแอปพลิเคชัน หรือจำกัดเวลาเปิดหน้าจอ เป็นต้น

รองรับฟังก์ชัน One-Handed Mode สำหรับย่อหน้าต่างของ UI ให้เล็กลงเพื่อตอบโจทย์การใช้งานด้วยมือเดียว

และที่สำคัญยังรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา M-Pen เหมือนกับ HUAWEI Mate 20 X ด้วย

มาดุในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ HUAWEI Mate 30 Pro ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Kirin 990 Octa-Core Processor ประกบคู่กับหน่วยประมวลผลกราฟิก Magi-G76 แบบ 16-Core เป็นรุ่นแรกของโลก พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายในความจุ 256GB ที่ผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ NM SD Card ได้สูงสุด 256GB พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4500mAh ซึ่งจากที่ลองทดสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu (เปิด High Performance Mode) พบว่า สามารถทำคะแนนได้ราว 457187 คะแนน

ลองทดสอบความเร็วอ่านเขียนของหน่วยความจำภายใน ด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench พบว่า ทำความเร็วในการอ่านที่ราว 1456.37 MB/s ซึ่งเป็นความเร็วมาตรฐานของหน่วยความจำประเภท UFS 2.x นั่นเองครับ

ลองทดสอบความแรงของหน่วยประมวลผลกราฟิกด้วยแอ ปพลิเคชัน 3D Mark ด้วยด่าน Sling Shot Extreme พบว่า ทำคะแนนในส่วนของ OpenGL ES 3.1 ได้ทั้งหมด 6052 คะแนน และทำคะแนนในส่วนของ Vulkan ได้ทั้งหมด 5564 คะแนน

ส่วน GPS สามารถจับคลื่นสัญญาณได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว โดยมีค่าความคลาดเคลื่อน +- ไม่เกิน 4 เมตรเท่านั้น

ในส่วนของการเล่นเกม น่าเสียดายที่ App Gallery ยังไม่ค่อยมีเกมดังๆ มากนัก จึงทำให้ทีมงานไม่สามารถทดสอบเกมกราฟิก 3 มิติแบบหนักๆ ได้ แต่ด้วยสเปกที่จัดอยู่ในระดับไฮเอนด์แล้ว ก็มั่นใจได้ว่าสามารถเล่นเกมทั่วไปได้อย่างลื่นไหลแน่นอน และที่สำคัญ Huawei ได้มีการติดตั้งฟีเจอร์เอาใจคอเกมเมอร์มาให้ด้วยนั่นก็คือ GameCentre ที่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการฟังก์ชันต่างๆ เกี่ยวกับเกมได้อย่างสะดวก อย่างเช่น การเชื่อมต่อเข้ากับ Controller

ตั้งค่าปุ่มเสริม L/R (ปุ่มบริเวณขอบจอ)

รวมถึงฟีเจอร์ปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน ต่างๆ

การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

HUAWEI Mate 30 Pro มาพร้อมกับเซ็ตอัพกล้อง 4 ตัวที่พัฒนาร่วมกับ Leica (Leica Quad Camera) โดยกล้องแต่ละตัวประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักแบบ SuperSensing Wide ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง F/1.6 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, กล้อง Ultra-Wide Cine ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง F/1.8, กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง F/2.4 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และกล้อง 3D Depth Sensing

โดยในส่วนของหน้า UI มีการปรับโฉมใหม่เล็กน้อยให้ดูสะอาดตามากยิ่งขึ้น แต่ยังจัดเต็มในเรื่องของลูกเล่นการใช้งานเช่นเดิม ซึ่ง UI ของกล้องหลังจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ ส่วนที่เป็นคีย์ลัดตั้งค่าที่อยู่บริเวณแถบด้านบน ได้แก่ การเปิด-ปิด AI, การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด โทนสี

ส่วนแถบด้านล่างเป็นโหมดถ่ายภาพแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมด Pro ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพได้เอง ไม่ว่าจะเป็น ค่าสมดุลแสงสีขาว, ค่า ISO, ค่า Shutter Speed, ค่า EV รวมถึงรูปแบบการทำงานของระบบโฟสกัสภาพ โดยในโหมด Pro ผู้ใช้จะสามารถ

โหมด Aperture สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอผ่านการจำลองค่ารูรับแสงตั้งแต่ F/0.95 - F/16

Night Mode สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืนโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งค่า Shutter Speed และค่า ISO ได้ด้วยตนเอง

โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยผู้ใช้สามารถปรับเอฟเฟกต์หน้าสวยได้ทั้งหมด 7 ระดับ

รวมไปถึงเอฟเฟกต์การเบลอฉากหลังได้ทั้งหมด 9 แบบ ได้แก่ Super, Circles, Hearts, Swirl , Discs, Photo Booth, Folding Blinds, Pop, Stage Lighting

และหากเลื่อนไปทางขวาสุดที่ออพชัน More จะพบกับโหมดถ่ายภาพที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฟีเจอร์เด็ดอย่าง Light Painting หรือการถ่ายภาพแบบลากชัตเตอร์สปีดเป็นระยะเวลานาน โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมี ND Filter เพื่อช่วยลดแสง โดยสามารถนำไปประยุกต์ถ่ายแสงไฟท้ายรถ, น้ำตก, การเคลื่อนที่ของด้าว หรือการเคลื่อนไหวของแสงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทางทีมงานแนะนำว่าให้ใช้งานร่วมกับขาตั้งกล้องเพื่อภาพที่คมชัดครับ

โหมด Monochrome สำหรับถ่ายภาพแบบขาวดำ

โหมดถ่ายภาพ Panorama สำหรับถ่ายภาพในมุมกว้าง

โหมดถ่ายภาพแบบ Sticker ที่มีสติกเกอร์น่ารักๆ ให้เลือกใช้งานหลากหลาย

ในส่วนของการถ่ายวิดีโอ รองรับการถ่ายวิดีโอบนความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD ที่ 60FPS พร้อมรองรับการปรับเอฟเฟกต์หน้าสวยทั้งหมด 10 ระดับ

รวมถึงการถ่ายวิดีโอด้วยเลนส์มุมกว้าง

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Dual-View ซึ่งเป็นการถ่ายวิดีโอจากกล้องตัวหลัก และกล้อง Telephoto พร้อมกัน เพื่อสร้างมุมมองต่างระยะจากการบันทึกภาพเพียงครั้งเดียว ตอบโจทย์เหล่าครีเอเตอร์ที่ต้องการสร้างคอนเทนต์ในมุมมองใหม่ๆ

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse และการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Mo ที่ระดับ 7680fps

ในส่วนของกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง F/2.0 มาพร้อมกับหน้า UI ที่ใช้งานได้ง่ายไม่ต่างกับกล้องหลัง โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าเกี่ยวกับกล้องได้ที่ด้านตน เริ่มตั้งแต่ เปิด-ปิด ฟังก์ชัน AI HDR, เปิด-ปิด ไฟแฟลช

รวมถึงฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย

รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่ผ่านโหมด Portrait โดยในส่วนของเอฟเฟกต์ Beauty จะแตกต่างกับกล้องหลังเล็กน้อยตรงที่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับความเรียบเนียนของผิว, ความกระชับของใบหน้า และสกินโทนได้ด้วยตนเอง

ส่วนเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอก็สามรถปรับได้ เหมือนกล้องหลังเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ Super, Circles, Hearts, Swirl , Discs, Photo Booth, Folding Blinds, Pop, Stage Lighting

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (Leica Quad Camera) ความละเอียดระดับ 40+40+8 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง 3D Depth Sensing ของ HUAWEI Mate 30 Pro

ภาพถ่ายจากกล้องตัวหลัก

ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra-Wide Cine

ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์ Telephoto

ภาพถ่ายจากโหมด Night Mode

ภาพถ่ายจากโหมด Monochrome

ภาพถ่ายจากโหมด Light Painting

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ HUAWEI Mate 30 Pro

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty ระดับกลาง

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty ระดับสูงสุด

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty

สรุปผลการทดสอบของ HUAWEI Mate 30 Pro

หากพิจารณาจากความสามารถทั้งหมดของ HUAWEI Mate 30 Pro แล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็นมือถือไฮเอนด์ที่ครบเครื่องทุกการใช้งานอีกหนึ่งรุ่นบนท้องตลาด เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ลงตัวทั้งในเรื่องของกล้องถ่ายภาพระดับโปร และฟีเจอร์ระดับสูงที่ตอบโจทย์ได้ดีเยี่ยมทุกการใช้งาน โดยในส่วนของการถ่ายภาพนั้นยังคงไว้วางใจในชื่อชั้นของ กล้องหลัง 4 ตัวที่พัฒนาร่วมกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง Leica ซึ่งในครั้งนี้จัดวางกล้องมาให้ ครบทุกระยะ รวมไปถึงลูกเล่นการถ่ายภาพที่ช่วยให้ผู้ใช้บันทึกภาพได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น Night Mode ที่ช่วยให้สามารถถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง, โหมด Master AI ที่ปรับแต่งภาพถ่ายได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ, โหมด Portrait ที่ปรับเอฟเฟกต์การเบลอของฉากหลังได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ HUAWEI ยังเน้นไปในเรื่องของงานวิดีโอซึ่งเราจะเห็นได้จาก โหมด Ultra Slow Motion ที่ถ่ายวิดีโอได้เร็วเหลือเชื่อถึง 7680 เฟรมต่อวินาที (เร็ว 256 เท่า) ซึ่งช่วยเปิดมุมมองการถ่ายวิดีโอแบบใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี หรือโหมดการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ เป็นต้น

ส่วนทางด้านประสิทธิภาพการทำงาน ก็จัดเต็มสมฐานะสมาร์ทโฟนระดับเรือธงตัวท็อป ด้วยขุมพลังตัวแรงชิปเซ็ต Kirin 990 ที่พกพาจุดเด่นด้านความเป็นครั้งแรกของโลกเอาไว้อย่างมากมาย และยังถือว่าเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยมีมา รวมไปถึงหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันพร้อมๆ กันโดยไม่มีอาการสะดุด หรือหน่วง และแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ที่เพียงพอต่อการใช้งานข้ามวัน ซึ่งหากใครที่ใช้งานหนัก ทาง HUAWEI ก็มอบทางเลือกด้วยระบบชาร์จเร็ว HUAWEI SuperCharge 40W ที่เติมแบตเตอรี่กลับเข้าสู่ตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว

ทางด้านหน้าจอแสดงผลก็ถือว่าเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ทาง Huawei เลือกใช้งานดีไซน์จอโค้งขอบจรดขอบแบบ Horizon Display ที่โค้งถึง 88 องศา พร้อมเทคโนโลยี Side-Touch ที่เป็นวิธีควบคุมสมาร์ทโฟนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่มกดแบบ Physical ที่เราคุ้นเคย รวมถึงเทคโนโลยี Air Gestures ที่เปรียบเสมือนประตูเปิดทางสู่นวัตกรรมการควบคุมรูปแบบใหม่แห่งอนาคตที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสบนหน้าจอ นอกจากนี้ ดีไซน์ของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ก็ยังถูกออกแบบมาอย่างลงตัวด้วยบอดี้กระจกขอบโค้ง ผสานกล้องหลังแบบ Halo Ring อันเป็นเอกลักษณ์ ที่หยิบจับได้อย่างถนัดมือ พร้อมคุณสมบัติของการกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 รวมถึงเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Multi-Dimentional Cooling System

ส่วนประเด็นที่ HUAWEI Mate 30 Pro ไม่มี Google Mobile Service (GMS) ติดตั้งมาให้ในตัวนั้น ทาง Huawei ก็ได้มอบทางเลือกแทนที่ด้วย HUAWEI Mobile Services (HMS) ( อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ HUAWEI Mobile Services ได้ที่นี่ ) ที่ได้ลงทุนพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้มีผู้ใช้งานมากกว่า 570 ล้านคน ทั่วโลกแล้ว ซึ่ง HMS ไม่ใช่เพียงแค่บริการสำหรับมือถือเพียงอย่างเดียว เพราะจริงๆ แล้ว Huawei ตั้งเป้าให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับใช้งานบนระบบนิเทศ (Ecosystem) ของ Huawei หรือเรียกได้อีกอย่างว่า Huawei ได้ตั้งเป้าสำหรับอนาคตของบริษัทที่ไม่ได้เน้นเพียงแค่มือถือเพียงอย่างเดียว แต่จะผนึกทุก Device เข้าด้วยกัน และเชื่อมต่อหากันได้แบบ Seamless แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่า แอปพลิเคชันต่างๆ ที่หลายท่านคุ้นเคยอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะจนกว่าที่เหล่า Developers จะเข้ามาร่วมพัฒนาแอปพลิเคชันเหล่านั้นให้เราได้ใช้งานกัน แต่อย่างไรก็ดี หากมองจากการขยายตัวของ HMS แล้ว ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจได้เห็น HMS เป็นแพลตฟอร์มเบอร์ยักษ์ที่ทัดเทียมฝั่งของ Google หรือ Apple ก็เป็นได้

หากท่านใดสนใจ Huawei Mate 30 Pro ก็สามารถหาซื้อได้แล้วที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และผู้ให้บริการเครือข่ายทั่วประเทศ (AIS, TrueMoe H และ dtac) พร้อมส่วนลด กับโปรโมชั่นมากมาย จากราคาเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ 28,990 บาท

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Huawei ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง HUAWEI Mate 30 Pro มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ HUAWEI Mate 30 Pro

- ตัวเครื่องดีไซน์ใหม่แบบ Halo Ring พร้อมคุณสมบัติป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 กับการออกแบบพื้นผิวให้ไม่ลื่น และป้องกันรอยนิ้วมือ - หน้าจอแสดงผลแบบ OLED Horizon Display ขอบโค้ง 88 องศา ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1176 พิกเซล) พร้อมพื้นที่ในการแสดงผล 89%, อัตราส่วนการแสดงผลแบบ 18.4:9 - เทคโนโลยีการสั่งงานด้วยการสัมผัสขอบข้างหน้าจอ ทั้งด้านซ้าย และขวา (เช่นปรับระดับเสียง, เล่นเกม หรือถ่ายภาพ) - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ ปลดล็อกได้เร็วขึ้น 30% - เทคโนโลยีลำโพง Acoustic Display แบบฝังใต้หน้าจอ ส่งคลื่นเสียงผ่านระบบสั่น (ใช้สำหรับการสนทนาเท่านั้น) - ระบบสแกนใบหน้า (3D Face Unlock) - ฟังก์ชัน Smart Gesture Control รองรับการสั่งงานด้วยท่าทาง - รองรับการใช้งานร่วมกับปากกา M-Pen (ซื้อเพิ่มในภายหลัง) - ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Kirin 990 - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ 16-Core Mali-G76 - หน่วยประมวลผล NPU แบบ Big-Core + Tiny Core - หน่วยความจำแรม (RAM : LPDDR4X) ขนาด 8GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256GB - ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Dual nanoSIM รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมเพิ่มหน่วยความจำเสริมด้วยการ์ด NM Card ได้สูงสุด 256GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 Pie พร้อมครอบทับด้วย EMUI 10

- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Leica Quad Camera) ความละเอียด 40+40+8 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง 3D Depth Sensing ซึ่งประกอบไปด้วย

> กล้อง Ultra-Wide Cine ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล พร้อมพร้อมเซนเซอร์ RGGB ขนาด 1/1.54 นิ้ว (3:2), รูรับแสงขนาด f1.8 และทางยาวโฟกัส 18 มิลลิเมตร > กล้อง SuperSensing Wide ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพแบบ RYYB ขนาด 1/1.7 นิ้ว (4:3), รูรับแสงขนาด f1.6, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และทางยาวโฟกัส 27 มิลลิเมตร > กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูมภาพแบบ 3x Optical Zoom/5x Hybrid Zoom/30x Digital Zoom, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และทางยาวโฟกัส 80 มิลลิเมตร > กล้อง 3D Depth Sensing

รองรับฟีเจอร์ Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ, ฟีเจอร์ Night Mode สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง, ระบบป้องกันการสั่นแบบ HUAWEI AI Image Stabilization (Dual OIS+AIS), รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60fps), รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Mo ระดับ 7680fps, รองรับการดันค่า ISO ขณะถ่ายภาพนิ่งสูงสุด 409600, รองรับการดันค่า ISO ขณะถ่ายวิดีโอสูงสุด 51200, รองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K UHD ที่ 60FPS

- กล้องดิจิทัลด้านหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง 3D Depth Sensing, รูรับแสงขนาด f2.0 และฟีเจอร์ AI Beauty สำหรับปรับใบหน้าของผู้ใช้ให้สวยงามเป็นธรรมชาติ

- ระบบระบายความร้อนแบบ Advanced Multi-Dimensional Cooling System - ฟังก์ชัน Side Touch สำหรับสัมผัสตัวเครื่องด้านข้างแทนปุ่มกด สามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น ตั้งค่าเป็นปุ่มชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพ หรือตั้งค่าเป็นปุ่ม L/R สำหรับเล่นเกม - ฟังก์ชัน Game Centre สำหรับจัดการตั้งค่าเกี่ยวกับเกม - แบตเตอรี่ความจุ 4500mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยี 40W HUAWEI SuperCharge, 27W Wireless HUAWEI SuperCharge, HUAWEI SuperCharge Wireless Car และ Reverse Charge - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi Dual Band - รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 - ระบบ GPS (Dual Band : L1 + L5)+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย, Beidou ของจีน, GALILEO ของสหภาพยุโรป (E1 + E5a) และ QZSS ของญี่ปุ่น (L1 + L5) - ราคาวางจำหน่าย 28,990 บาท ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลกับคุณสมบัติภายในตัวเครื่อง

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ HUAWEI Mate 30 Pro

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

Leave a Comment