รีวิว Samsung Galaxy S20+ เรือธงจอ 120Hz โฉมใหม่ พร้อม 4 กล้องไฮเอนด์ กับชิปตัวท็อปล่าสุด และฟีเจอร์จัดเต็ม :: Thaimobilecenter.com รีวิว Samsung Galaxy S20+

เรือธงจอ 120Hz โฉมใหม่ พร้อม 4 กล้องไฮเอนด์ กับชิปตัวท็อปล่าสุด และฟีเจอร์จัดเต็มไม่แพ้รุ่นใหญ่ ด้วยจอ Dynamic AMOLED 2X ใหญ่ 6.7 นิ้ว ลื่นไหลระดับ 120Hz ผสานสแกนนิ้ว Ultrasonic, กล้อง Quad Camera 64MP ครบทุกระยะ ผสานกล้องหน้า Dual Pixel 10MP, ชิปเซ็ต Exynos 990 ตัวท็อปของค่าย, RAM 8GB+ROM 128GB, แบตเตอรี่ 4500 mAh ชาร์วเร็วได้แบบไร้สาย และลำโพงคู่ AKG เสียงกระหึ่ม บนบอดี้พรีเมียมโค้งมนใหม่หมดจด ในราคา 31,900 บาท

16 มีนาคม 2020 - ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่กำลังสั่นคลอน แต่วงการสมาร์ทโฟนก็ยังคงมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่กันอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นก็คือสมาร์ทโฟนเรือธงในตระกูล Samsung Galaxy S20 Series ซึ่งครั้งนี้ข้ามมาใช้เลข 20 แทนที่จะเป็นเลข 11 เพื่อให้ทันกับปี 2020 นั่นเอง โดยเปิดตัวออกมา 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Samsung Galaxy S20, Samsung Galaxy S20+ และ Samsung Galaxy S20 Ultra 5G โดยชูจุดเด่นด้านหน้าจอแสดงผลที่ดึงอัตรารีเฟรชได้สูงถึง 120 Hz ทำให้ภาพดูลื่นไหลกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป และกล้องหลัง 4 ตัวที่รองรับการถ่ายภาพได้ทุกระยะพร้อมทั้งซูมได้ไกลสุดถึง 30x และ 100x (สำหรับรุ่น Ultra ซึ่งเป็นรุ่นท็อปในซีรีส์) และสำหรับในวันนี้ พวกเราทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้นำเรือธงรุ่นรองท็อปอย่าง Samsung Galaxy S20+ มารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันก่อนครับ

Samsung Galaxy S20+ เป็นหนึ่งในซีรีส์เรือธงรุ่นล่าสุดของ Samsung ซึ่งมีคุณสมบัติอยู่ตรงกลางระหว่าง Galaxy S20 และ Galaxy S20 Ultra 5G ตัวเครื่องมีดีไซน์เรียบหรูด้วยบอดี้โลหะเคลือบกระจกเงางาม ขอบโค้งมนรอบด้านรับกับฝ่ามือ และหน้าจอแสดงผลขอบบางเฉียบ ซึ่งเป็นจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ที่ Samsung พัฒนาขึ้นล่าสุด ให้สีสันที่สดใสสมจริงยิ่งกว่าจอ AMOLED ทั่วไป โดยรองรับความละเอียดสูงสุดระดับ Quad HD+ (3200x1440 พิกเซล) อีกทั้งยังรองรับมาตรฐานการแสดงผลแบบ HDR10+ และที่สำคัญยังสามารถ ปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอได้สูงถึง 120 Hz ทำ ให้ทุกการเคลื่อนไหวบนหน้าจอมีความต่อเนื่องลื่นไหลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบนสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S

สำหรับคุณสมบัติทั่วไป แน่นอนว่า Samsung Galaxy S20+ มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ระดับสูงที่เปี่ยมประสิทธิภาพสมฐานะเรือธง โดยขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตรุ่นท็อป Exynos 990 (Octa-Core) ความเร็ว 2.73 GHz พร้อมหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 8 GB และหน่วยความจำภายในขนาด 128 GB ที่สามารถรองรับการใช้งานทุกด้านได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมีแบตเตอรี่ความจุ 4,500 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วทั้งแบบมีสาย และไร้สาย อีกทั้งยังใช้ชาร์จอุปกรณ์อื่นผ่านฟีเจอร์ PowerShare ได้อีกด้วย

นอกจากฟีเจอร์ระดับหัวแถวในวงการแล้ว กล้องถ่ายภาพก็อยู่ในระดับหัวแถวเช่นกัน ด้วยชุด กล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ที่รองรับการถ่ายภาพได้ทุกสไตล์ไม่ว่าจะเป็น Ultra-Wide, Portrait, Bokeh หรือโหมดกลางคืน พร้อมฟีเจอร์สนับสนุนครบครันไม่ว่าจะเป็นระบบกันสั่น Super Steady, ระบบวิเคราะห์ภาพถ่ายด้วย AI, ลูกเล่น AR และที่สำคัญ คือ พลังการซูมแบบไม่เสียรายละเอียดที่ระยะ 3x (3x Hybrid Optical Zoom) และซูมแบบ Digital ได้ไกลสุดถึง 30x ที่ช่วยให้การถ่ายภาพยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ซึ่งมีสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่ทำได้ถึงขนาดนี้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงคุณสมบัติส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร เราไปติดตามกันใน รีวิว Samsung Galaxy S20 + โดยทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

Samsung Galaxy S20+ เป็นสมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยนวัตกรรมที่โดดเด่น โดยมากับหน้าจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ขอบบางเฉียบขนาด 6.7 นิ้ว ด้านบนมีการเจาะรูเล็กๆ เพื่อฝังกล้องหน้า ซึ่งเป็นดีไซน์ที่เรียกว่า Infinity-O Display รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Quad HD+ (3200x1440 พิกเซล) อีกทั้งยังรองรับการแสดงผลมาตรฐาน HDR10+ และสามารถปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอได้สูงสุดถึง 120 Hz

กล้องหน้ามีความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เทคโนโลยีการโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel โดยมีขอบเขตภาพ 80 องศา และมีขนาดรูรับแสงที่ f/2.2 ส่วนลำโพงเสียงตัวที่สองนั้นฝังอยู่ในขอบด้านบนของหน้าจออย่างแนบเนียน

นอกจากนี้ Samsung Galaxy S20+ ยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic ที่ฝังไว้ใต้หน้าจอ อยู่ในตำแหน่งที่สแกนได้สะดวกด้วยนิ้วโป้ง

ตัวเครื่องด้านหลังเป็นสีพื้น ไม่มีการไล่เฉดสี ครอบทับด้วยกระจกเงาวาว มีโมดูลกล้องหลังทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ค่อนข้างใหญ่ และนูนออกมาเล็กน้อย บนโมดูลประกอบด้วยชุดกล้องดิจิทัล 4 ตัว ดังนี้ :

กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ Super Speed DualPixel AF, ระบบกันสั่นแบบ OIS โดยมีรูรับแสงขนาด f/1.8 และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 8K

กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมมุมมองกว้าง 120 องศาและรูรับแสงขนาด f/2.2

กล้อง Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.0, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF

กล้องวัดความลึก DepthVision (ToF)

บอดี้ของ Samsung Galaxy S20+ ล้อมด้วยเฟรมโลหะสีเดียวกลมกลืนไปกับตัวเครื่อง มีการตัดปุ่มเรียกใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby ทิ้งไป โดยเหลือเพียงปุ่มปรับระดับเสียง (ปุ่มยาว) และปุ่มล็อคหน้าจอ (ปุ่มสั้น) อยู่ที่ด้านขวาเท่านั้น ส่วนด้านซ้ายไม่มีปุ่มใดๆ ทั้งนี้ หากกดที่ปุ่มล็อคหน้าจอค้างไว้ จะเป็นการเรียกผู้ช่วย Bixby หาก ต้องการปิดเครื่องหรือรีบูต ให้กดปุ่มล็อคหน้าจอและปุ่มลดเสียงค้างไว้ ครับ

ด้านบนของตัวเครื่องเป็นตำแหน่งของไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และถาดใส่ซิมการ์ด ส่วนด้านล่างมีช่องลำโพงเสียงภายนอก, พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C, และไมโครโฟนหลัก ไม่มีช่องเสียบหูฟัง

ถาดใส่ซิมการ์ดของ Samsung Galaxy S20+ เป็นแบบ Hybrid Slot ที่รองรับซิมการ์ดแบบ nanoSIM ได้พร้อมกัน 2 ใบ หรือใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM คู่กับหน่วยความจำ microSD อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยรับได้สูงสุดถึง 1TB เลยทีเดียว

เปรียบเทียบตัวเครื่องระหว่าง Galaxy S20 Ultra (เครื่องบนสุด), Galaxy S20+ (เครื่องกลาง) และ Galaxy S20 (เครื่องล่างสุด) ซึ่งมีดีไซน์โดยรวมมาในแนวทางเดียวกัน และมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 เช่นเดียวกัน

เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์

Samsung Galaxy S20+ ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย One UI 2.0 ซึ่งเป็นอินเตอร์เฟซเวอร์ชันล่าสุดที่พัฒนาต่อจาก Samsung Experience เดิม เน้นการออกแบบที่สบายตาด้วยรูปทรงโค้งมน และการจัดวางคอนเทนต์ที่ใช้งานถนัดมือยิ่งขึ้น

เมื่อปัดนิ้วจากขอบด้านบนของหน้าจอ ลงมาจะเป็นการเปิด แผงด่วน พร้อม แถบแจ้งเตือน และเมื่อปัดลงอีกครั้งจะเป็นการขยาย เมนูทางลัด สำหรับการตั้งค่าที่ใช่บ่อยๆ เช่น เปิด-ปิด WiFi, เปิด-ปิด Bluetooth, หมุนหน้าจออัตโนมัติ, เปิดโหมดประหยัดพลังงาน เป็นต้น

เมื่อปัดนิ้วตรงกลางหน้าจอหลักหนึ่งครั้ง จะเป็นการเปิด ลิ้นชัก แอปพลิเคชันทุกตัวที่ติดตั้งไว้ในเครื่องจะแสดงอยู่ในนี้ทั้งหมด

Samsung Galaxy S20+ มาพร้อมกับแอปพลิเคชันตระกูล Google Services ครบครันเช่นเคย ส่วนแอปพลิเคชันพื้นฐานของ Samsung มีเพียงผู้ช่วย Bixby และ AR Zone ซึ่งเป็นฟีเจอร์ AR ที่ใช้คู่กับกล้องเท่านั้น

เมื่อกดปุ่ม แอปล่าสุด ที่อยู่ด้านซ้ายของแถบนำทางด้านล่าง จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดค้างไว้ เราสามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้ด้วยการปัดหน้าต่างแอปนั้นขึ้นด้านบนทีละ ตัว หรือจะกด ปิดทั้งหมด เพื่อปิดทุกแอปทันทีก็ได้

สำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนในที่มืดเป็นประจำ หรือรู้สึกว่าสีของหน้าจอสว่างแสบตาเกินไป สามารถเปิดใช้ โหมดมืด ได้ ซึ่งจะเปลี่ยน UI ระบบทั้งหมดเป็นสีเทา-ดำ และเปลี่ยนตัวอักษรเป็นสีขาว ช่วยให้ดูหน้าจอได้สบายตายิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดใช้คู่กับ ฟิลเตอร์ แสงสีฟ้า เพื่อลดอาการล้าของดวงตาได้อีกทางด้วย

ไฮไลท์สำคัญอย่างหนึ่งของ Samsung Galaxy S20+ คือการปรับอัตรารีเฟรชของหน้าจอให้สูงถึง 120 Hz ซึ่งจะช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอดูต่อเนื่องและลื่นไหลกว่าจอสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป แต่ทั้งนี้ อัตรารีเฟรช 120 Hz จะเปิดใช้ได้บนจอความละเอียด HD+ (1600x720) หรือ FHD+ (2400x1080) เท่านั้น ไม่สามารถเปิดใช้บนจอความละเอียด Quad HD+ (3200x1440) ได้ครับ

ผู้ใช้ยังสามารถปรับสีสันและอุณหภูมิสีของการแสดงผลได้ตามใจชอบ หรือจะเลือกจากแบบ สดใส/ธรรมชาติ ที่ระบบเซ็ตไว้ให้แล้วก็ได้

นอกจากความสว่างและสีสันแล้ว ขนาดของตัวอักษรก็ปรับได้เช่นกัน ไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านไม่เห็นอีกต่อไป

และยังเปลี่ยนฟอนต์ของตัวอักษรได้ด้วย หากฟอนต์ที่มีให้ในเครื่องยังไม่ถูกใจ ก็สามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมจาก Galaxy Store ได้อีกครับ

นอกจากตัวอักษรแล้ว ขนาดของ UI ก็ปรับขนาดได้ด้วย

ในส่วนของการตั้งค่าหน้าจอหลัก ผู้ใช้สามารถเลือกตารางการจัดวางแอปบนหน้าจอ และปรับเปลี่ยนค่ายิบย่อยอื่นๆ ได้ ที่น่าสนใจมีตัวเลือกให้เปิดใช้ โหมดแนวนอน ซึ่งจะทำให้ One UI 2.0 แสดงผลแบบแนวนอนได้ดังภาพตัวอย่าง

เปลี่ยนภาพพื้นหลังได้ทั้งหน้าจอหลักและหน้าจอล็อค โดยเลือกใช้รูปภาพจากแกลเลอรี่ในเครื่อง หรือดาวน์โหลดจากร้านค้าบน Galaxy Store ได้

หรือสามารถเข้าเมนูการปรับแต่งหน้าจออย่าง เร่งด่วนได้ ด้วยการกดค้างลงบนพื้นที่ว่างบนหน้าจอหลัก

สมาร์ทโฟนของ Samsung ทุกรุ่นจะสามารถเข้าถึงร้านค้า Galaxy Themes ได้ ซึ่งมีภาพพื้นหลัง, ธีม, ไอคอน และรูปแบบ Always-On Display ให้เลือกดาวน์โหลดไปใช้งานมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งมีทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงิน โดยมีราคาระบุเอาไว้ในแต่ละรายการอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีการลดราคา หรือเปิดให้ดาวน์โหลดกันฟรีๆ ในบางช่วงเวลาอีกด้วย

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจบนสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S คือ แผง Edge ซึ่งเป็นแถบเครื่องมือลัดที่เราสามารถเรียกใช้ได้ด้วยการดึงแถบ Edge ที่อยู่ชิดขอบจอด้านขวาออกมา ช่วยให้เราเรียกใช้แอปพลิเคชัน และฟังก์ชันบางอย่างได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยเราสามารถปรับเปลี่ยนเมนูบนแผง Edge ได้หลากหลายรูปแบบตามการใช้งานของเราครั บ

ในส่วนของ Always-On Display ก็ปรับแต่งได้เช่นกันทั้งรูปแบบ, สีสัน ไปจนถึงข้อมูลที่จะแสดง หากยังไม่ถูกใจ บน Galaxy Store ก็มีรูปแบบสวยๆ ให้ดาวน์โหลดไปใช้กันครับ

สำหรับฟังก์ชันสำคัญอย่างการโทร มีการออกแบบที่เรียบง่าย และสบายตา ทั้งตัวเลข และรายชื่อมีการเว้นช่องไฟในระยะกำลังดี ไม่ดูอึดอัดหรือโล่งเกินไป ช่วยให้มองเห็นและกดได้ง่าย

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจของสมาร์ทโฟนตระกูล Samsung Galaxy คือระบบ Dual Messenger ที่ทำให้เราเปิดใช้งานบัญชีโซเชียลมีเดียได้ 2 บัญชีในเครื่องเดียว โดยบัญชีที่สองจะแยกออกจากบัญชีแรกอย่างเด็ดขาด เสมือนติดตั้งไว้บนสมาร์ทโฟนอีกเครื่องหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกบัญชี LINE หรือ Facebook ที่เอาไว้ใช้ในการทำงานออกจากบัญชีส่วนตัวโดยไม่ต้องซื้อสมาร์ทโฟน 2 เครื่องครับ

ในส่วนของการรักษาความปลอดภัย Samsung Galaxy S20+ รองรับทั้งการสแกนใบหน้า และการสแกนลายนิ้วมือ สามารถสแกนใบหน้าโดยที่ใส่แว่นตาอยู่ได้ และสามารถลงทะเบียนลายนิ้วมือได้หลายนิ้ว

ในเมนูการตั้งค่า เราจะพบกับ Digital Wellbeing ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำหรับติดตามเวลาการใช้งานสมาร์ทโฟน เพื่อให้เราได้ทราบว่าเราใช้เวลากับสมาร์ทโฟนมากน้อยแค่ไหน และยังมีฟังก์ชันช่วยควบคุมการใช้งานให้พอเหมาะพอดีด้วยการตั้งเวลาที่จะใช้แอปใดๆ ได้ใน 1 วัน หรือจำกัดจำนวนครั้งในการปลดล็คหน้าจอต่อวันได้ด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมการใช้งานสมาร์ทโฟนของตัวเอง หรือคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการสร้างระเบียบวินัยให้กับบุตรหลานครับ

ฟังก์ชัน การดูแลอุปกรณ์ ในเวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนโฉมให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยผู้ใช้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของตัวสมาร์ทโฟนได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม ปรับตอนนี้ เพียงครั้งเดียว และยังมีการตั้งค่าแยกย่อยอื่นๆ ที่แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ แบตเตอรี่ , ที่เก็บ , หน่วยความจำ และ ความปลอดภัย

ในเมนู แบตเตอรี่ จะรวมการตั้งค่าเกี่ยวกับแบตเตอรี่เอาไว้ทั้งหมด โดย Samsung Galaxy S20+ มีระบบ AI ที่จะเรียนรู้ลักษณะการใช้งานของเรา และปรับปรุงการจัดสรรพลังงานให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะต้องใช้เวลาเรียนรู้ประมาณ 2-3 วัน พร้อมกันนี้ยังมีบันทึกการใช้แบตเตอรี่ในแต่ละวันให้ดูอย่างละเอียดด้วย

ในกรณีที่ต้องการประหยัดแบตเตอรี่ เราสามารถเข้ามาเปิดโหมดประหยัดพลังงานได้ในเมนูนี้ หรือจะเปิดใช้โหมดประหยัดพลังงานจากเมนูลัดบนแผงด่วนก็ได้

ฟังก์ชัน Wireless PowerShare ก็สามารถตั้งค่าได้เช่นกัน

เมนู ที่เก็บ จะแสดงพื้นที่ในเครื่องที่ยังเหลือ และขนาดรวมของไฟล์ประเภทต่างๆ ซึ่งเราสามารถล้างไฟล์ขยะในเครื่องได้ในเมนูนี้

เมนู หน่วยความจำ จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการใช้ หน่วยความจำ RAM ซึ่งสามารถกด ล้างตอนนี้ เพื่อเคลียร์ RAM ให้เครื่องลื่นขึ้นได้ทันที

เมนู ความปลอดภัย จะเป็นการสแกนหาไวรัสและมัลแวร์ที่แฝงตัวอยู่ในแอปพลิเคชัน โดยใช้เวลาสแกนไม่นานครับ

มาดูด้านความบันเทิงกันบ้างครับ ในส่วนของการเล่นวิดีโอ Samsung Galaxy S20+ จะใช้แอปพลิเคชันเล่นวิดีโอของ Samsung เอง ซึ่งในแอปมีฟีเจอร์เสริมหลายอย่างทั้งการจับภาพสกรีนช็อต, บันทึกเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบ GIF, แสดงวิดีโอแบบหน้าต่าง pop-up, ล็อกหน้าจอ และขยายเต็มจอ เป็นต้น

เนื่องจากหน้าจอของ Samsung Galaxy A90 มีอัตราส่วนการแสดงผลอยู่ที่ 20:9 เมื่อเปิดวิดีโอที่เป็นอัตราส่วน 4:3 หรือ 16:9 จะเหลือขอบสีดำที่ด้านซ้ายและขวาเอาไว้ ซึ่งเราสามารถขยายให้เต็มจอได้ 2 แบบ คือยืดภาพให้เต็มพื้นที่ หรือขยายให้เต็มโดยคงอัตราส่วนเดิมไว้

หากเลือกยืดภาพ ภาพจะยืดออกจนปิดขอบดำไว้ทั้งหมด แต่สัดส่วนของภาพจะเพี้ยนไป

หากเลือกขยายภาพ ภาพจะขยายจนปิดส่วนขอบดำทั้งหมด สัดส่วนของภาพจะไม่เพี้ยน แต่ขอบภาพบางส่วนจะล้นออกไปจากจอ

สำหรับการแสดงผลแบบ pop-up จะเป็นหน้าต่างลอยดังภาพ ซึ่งจะแสดงอยู่เหนือแอปพลิเคชันทุกตัว และเคลื่อนย้ายไปบนจอได้

ในการบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบ GIF จะบันทึกได้ยาวสุด 6 วินาที โดยปรับความเร็วในการเคลื่อนไหวได้ที่ 0.5x, 1.0x (ความเร็วปกติ) และ 2.0x และเลือกให้เล่นย้อนกลับ หรือกลับไปกลับมาก็ได้

ตัวอย่างภาพ GIF ที่สร้างจากแอปเล่นวิดีโอของ Samsung

และยังมีฟีเจอร์ Video Enhancer ที่ช่วยให้คุณภาพของวิดีโอมีความสว่างและคมชัดยิ่งขึ้น โดยจะทำงานบนแอปเล่นวิดีโอ, YouTube และ Netflix หรือจะเลือกปิดฟีเจอร์นี้ไปก็ได้

สำหรับการฟังเพลง จะใช้แอปพลิเคชันพื้นฐานเป็น Samsung Music ซึ่งมีฟังก์ชันการทำงานพื้นฐานครบถ้วน และมีตัวเลือกปรับความเร็วในการเล่น หรือเพิ่ม/ลดเสียงระหว่างเพลงโดยอัตโนมัติได้ โดยเพลงที่กำลังเล่นจะแสดงบน Always-On Display และแถบแจ้งเตือนด้วย

เมื่อเข้าเกมมาแล้ว สามารถเปิดเมนูลัดของ Game Launcher ขึ้นมาได้ ซึ่งจะแสดงอุณหภูมิของตัวเครื่อง, การใช้หน่วยความจำ RAM และแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ ในส่วนของ บล็อกขณะเล่นเกม จะมีตัวเลือกดังนี้ :

บล็อกการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ ไม่ให้ขึ้นมารบกวนขณะเล่น

บล็อกท่า gesture ที่เราอาจเผลอไปใช้งานจากการขยับนิ้วมือบนจอ

ล็อกความสว่างของหน้าจอ ไม่ให้เพิ่มหรือลดเองขณะเล่นเกม

ปิดใช้ฟังก์ชัน Edge ป้องกันไม่ให้มือเผลอไปโดน

ล็อกการกดบนหน้าจอ ช่วยให้หยิบเครื่องหรือหยิบใส่กระเป๋าได้โดยไม่ต้องกลัวว่าหน้าจอจะกดเอง

ในกรณีที่ต้องการประหยัดแบตเตอรี่ ก็มีตัวเลือกให้ปิดหน้าจอได้ โดยเกมจะยังเล่นไปตามปกติ เหมาะสำหรับการปล่อยบอทครับ

สำหรับการเล่นเกมบน Samsung Galaxy S20+ นั้นเรียกได้ว่าหายห่วง เพราะตัวเครื่องมีสเปกที่สูงระดับไฮเอนด์อยู่แล้วด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ต Exynos 990 และ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 8 GB สามารถรันเกมที่มีกราฟิกระดับ AAA อย่าง Black Desert Mobile ได้อย่างไหลลื่น ส่วนเกมฮิตอื่นๆ เช่น Call of Duty Mobile หรือ PUBG Mobile ก็สามารถเปิดใช้กราฟิกระดับสูงได้สบาย และตอบสนองต่อการควบคุมได้ฉับไว เมื่อรวมกับ หน้าจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว และ อัตรารีเฟรช 120 Hz ด้วย แล้ว ยิ่งช่วยเสริมประสบการณ์ในการเล่นให้น่าประทับใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ตัวเครื่องยังมีการสะสมความร้อนอยู่บ้างเมื่อเล่นไปนานๆ แะลแบตเตอรี่จะหมดค่อนข้างเร็วหากเปิดใช้อัตรารีเฟรชหน้าจอ 120 Hz โดย รวมแล้วถือว่า Samsung Galaxy S20+ เป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับเกมบน Play Store ได้ทุกเกม และถ่ายทอดความสวยงามของกราฟิกได้โดดเด่นกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปด้วยหน้าจอแสดงผลคุณภาพ สูง และอัตรารีเฟรช 120 Hz ครับ

Samsung Galaxy S20+ วัดค่า benchmark จากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ได้ 459389 คะแนน และจากแอปพลิเคชัน Geekbench 5 ได้ 568 คะแนนสำหรับการประมวลผลแกนเดี่ยว (Single-Core) และ 2486 คะแนนสำหรับการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core)

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 6842 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 6317 คะแนน

Samsung Galaxy S20+ ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Samsung Exynos 990 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.73 GHz มีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G77 , หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 8 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128 GB

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Samsung Galaxy S20+ นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันได้ 10 จุดอย่างไม่มีปัญหา

ระบบ GPS สามารถจับสัญญาณดาวเทียมในที่กลางแจ้งได้ดี โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 43 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 4 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสภาพอากาศด้วย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

การถ่ายภาพเป็นคุณสมบัติเด่นของสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S มาอย่างยาวนาน และในรุ่นนี้ก็จัดเต็มเช่นเคย โดยกล้องหลังของ Samsung Galaxy S20+ เป็น ชุดกล้อง 4 ตัว (Quad Camera) ที่รองรับการถ่ายภาพทุกระยะ ประกอบด้วย:

- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งมีเทคโนโลยี Super Speed Dual Pixel AF และระบบกันสั่นแบบ OIS โดยมีรูรับแสงขนาด f/1.8 - กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มุมมองกว้าง 120 องศา มีรูรับแสงขนาด f/2.2 - กล้อง Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงขนาด f/2.0 - กล้องวัดความลึก DepthVision (ToF)

สำหรับกล้องหน้ามีความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เทคโนโลยีการโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel โดยมีขอบเขตภาพ 80 องศา และมีขนาดรูรับแสงที่ f/2.2

นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว ซอฟต์แวร์ของกล้องก็น่าสนใจเช่นกัน โดยมาพร้อมกับระบบวิเคราะห์และปรับแต่งภาพอัตโนมัติด้วย AI, โหมดการถ่ายภาพหลากหลาย, เอฟเฟกต์การแต่งภาพ, ระบบกันสั่น Super Steady ไปจนถึงลูกเล่น AR ต่างๆ นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครอบคลุมด้านการถ่ายภาพได้ครบถ้วนอีกรุ่นหนึ่งในวงการครับ

กล้องของ Samsung Galaxy S20+ สามารถ เปิดเอฟเฟกต์บิวตี้ในโหมด อัตโนมัติได้เลย ด้วยการกดที่ไอคอนรูปไม้กายสิทธิ์บนเมนูด้าน บน  โดยปรับได้ทั้งความเนียนของผิว, สีผิว, แนวกราม และดวงตา หรือจะให้ปรับแบบอัตโนมัติก็ได้ โดยปรับได้สูงสุด 3 ระดับ

Samsung Galaxy S20+ ซูมได้ไกล สูงสุด 30x โดย ซูม แบบไม่เสียความละเอียดได้ไกลสุด 3x สามารถสลับระยะการซูมระหว่าง 0.5x (ultrawide), 1x (ระยะปกติ) และ 3x ได้อย่างรวดเร็วด้วยการกดที่ไอคอนรูปต้นไม้ด้านล่าง

ซิงเกิ้ลเทค เป็นโหมดการถ่ายภาพใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน Samsung Galaxy S20 Series ในโหมดนี้สมาร์ทโฟนจะถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอพร้อมกันในคราวเดียว แล้วปรับแต่งผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปถ่ายและวิดีโอหลากหลายแบบ มีประโยชน์ในจังหวะที่ต้องการถ่ายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเราไม่มีเวลา เลือกโหมดกล้อง เพราะ ซิงเกิ้ลเทค จะเก็บภาพจากหลายๆ โหมดให้เรามาเลือกช็อตสวยๆ ได้ทีหลังนั่นเองครับ

แอปพลิเคชันกล้องของ Samsung Galaxy S20+ สามารถแนะนำการวางตำแหน่งภาพในแต่ละช็อตได้ ช่วยให้เราได้ภาพมุมสวยๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะการถ่ายรูปขั้นสูงเลย เปิดใช้ฟังก์ชันนี้ได้โดยเข้าไปที่ การตั้งค่ากล้อง > คำแนะนำการถ่ายช็อต ครับ

ความน่าสนใจของการถ่ายวิดีโอด้วย Samsung Galaxy S20+ คือ Super Steady ซึ่งเป็นระบบกันสั่นที่ผสมผสานการทำงานทั้งในระดับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ (OIS+EIS) ทำให้ได้ภาพนิ่งแม้ว่าตัวเราและวัตถุจะเคลื่อนที่อยู่ สามารถเปิดใช้ Super Steady ได้ด้วยการกดที่ไอคอนบนแถบเมนูด้านบนครับ

นอกจากนี้ เรายัง ถ่ายภาพนิ่งระหว่างถ่ายวิดีโอได้ทันที โดยกดที่ปุ่มรูปกล้องด้านซ้ายมือ

Samsung Galaxy S20+ รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด ระดับ 8K ในอัตราส่วน 16:9 ได้ โดยจะบันทึกที่อัตรา 24 เฟรมต่อวินาที และในโหมดนี้ ระบบโฟกัสแบบติดตาม วัตถุ, ระบบกันสั่น Super Steady และเอฟเฟกต์วิดีโอต่างๆ จะไม่สามารถใช้ได้ จึงไม่ค่อยแนะนำให้ถ่ายด้วยโหมดนี้เท่าไหร่ แต่หากต้องการใช้โหมดนี้จริงๆ ก็ควรใช้คู่กับขาตั้งหรือ Gimbal ครับ

ใน โหมดโปร เราสามารถตั้งค่ากล้องได้ด้วยตนเอง ได้แก่ค่า ISO (สูงสุด 3200), White Balance (2300K-10000K), Shutter Speed (1/120000-30), ปรับสี แสง เงา และชดเชยแสงได้สูงสุด ±2.0 เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะการถ่ายรูปอยู่แล้ว

ในโหมด ไลฟ์โฟกัส จะเป็นการถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัด หลังเบลอ ซึ่งเราสามารถปรับผิวเรียบเนียนให้กับตัวแบบได้ 8 ระดับ และปรับความเบลอของฉากหลังได้ 7 ระดับ พร้อมกันนี้ยังสามารถเลือกเอฟเฟกต์การเบลอได้ 5 แบบ หากถ่ายออกมาแล้วไม่พอใจ สามารถเปลี่ยนเอฟเฟกต์เบลอทีหลังได้

นอกจากนี้เรายังเปิดใช้เอฟเฟกต์การเบลอระหว่างถ่ายวิดีโอได้ด้วยในโหมด วิดีโอไลฟ์โฟกัส ครับ

โหมด การถ่ายภาพกลางคืน คือโหมดที่จะช่วยให้ภาพที่ถ่ายในที่มืดสว่างขึ้นด้วยการลดความไวแสงและ shutter speed ของกล้อง ทำให้ได้ภาพที่สว่างขึ้น เห็นรายละเอียดและสีสันชัดเจนขึ้น โดยที่มี noise น้อยลง เหมาะสำหรับถ่ายภาพแสงสียามค่ำคืน สามารถเปิดใช้โหมดนี้ได้ทั้งการถ่ายปกติ และ ultra-wide และยังใช้กับกล้องหน้าเพื่อเซลฟี่ในที่มืดได้ด้วย

นอกจากการถ่ายภาพและวิดีโอ Samsung Galaxy S20+ ยังมี AR Zone ที่รวมลูกเล่น Augmented Reality เอาไว้ด้วย ซึ่งมีให้เล่นหลายอย่างด้วยกัน แต่หลักๆ จะเป็นการสร้างตัวละครด้วย AR Emoji และการวาดบนอากาศด้วย AR Doodle ครับ

AR Doodle เป็นลูกเล่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาครั้งแรกใน Samsung Galaxy Note10 และ Galaxy Note10+ ที่ให้เราใช้ปากกา S Pen วาดภาพแบบ 3 มิติด้วยเทคโนโลยี AR ผ่านแอปกล้องได้ สำหรับ Samsung Galaxy S20+ รุ่นนี้สามารถวาดด้วยปลายนิ้วได้เลยโดยไม่ต้องใช้ S Pen ครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียด 12+8+64 ล้านพิกเซล +DepthVision

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ มุมมองปกติ เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติแบบมุมมองกว้าง (Ultra-Wide) เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ ซูม 3x ซึ่งเป็นระยะไกลสุดสำหรับการซูมโดยไม่เสียรายละเอียด และเปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ มุมมองปกติ เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ มุมมองปกติ เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ มุมมองปกติ เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดไลฟ์โฟกัส ความเบลอระดับ 5 เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ มุมมองปกติ เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ สภาพแสงสลัว มุมมองปกติ เปิด AI

ถ่ายระยะประชิด (Macro) ด้วยโหมดอัตโนมัติ มุมมองปกติ เปิด AI

ถ่ายด้วยโหมดกลางคืน ระยะเวลาเปิดรูรับแสงอัตโนมัติ

ถ่ายด้วยโหมดกลางคืน ระยะเวลาเปิดรูรับแสงอัตโนมัติ

ถ่ายด้วยโหมดกลางคืน ระยะเวลาเปิดรูรับแสงอัตโนมัติ

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดอัตโนมัติ มุมมองปกติ เปิด AI บิวตี้ระดับ 0

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดไฟล์โฟกัส ระดับความเบลอฉากหลัง 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 4 (ปานกลาง)

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดไฟล์โฟกัส ระดับความเบลอฉากหลัง 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 8 (สูงสุด)

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดไฟล์โฟกัส ระดับความเบลอฉากหลัง 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 8 (สูงสุด) เอฟเฟกต์เบลอฉากหลังแบบวงกลมขนาดใหญ่

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดไฟล์โฟกัส ระดับความเบลอฉากหลัง 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 8 (สูงสุด) เอฟเฟกต์เบลอฉากหลังแบบศิลปิน (รูปดาว)

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดไฟล์โฟกัส ระดับความเบลอฉากหลัง 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 8 (สูงสุด) เอฟเฟกต์เบลอฉากหลังแบบสปิน

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดไฟล์โฟกัส ระดับความเบลอฉากหลัง 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 8 (สูงสุด) เอฟเฟกต์เบลอฉากหลังแบบซูม

ถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยโหมดไฟล์โฟกัส ระดับความเบลอฉากหลัง 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 8 (สูงสุด) เอฟเฟกต์เบลอฉากหลังแบบคัลเลอร์พอยต์

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ จากกล้องหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล

ถ่ายเซลฟี่ด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิด AI บิวตี้ระดับ 0

ถ่ายเซลฟี่ด้วยโหมดไลฟ์โฟกัส เปิด AI บิวตี้ระดับ 0

ถ่ายเซลฟี่ด้วยโหมดไลฟ์โฟกัส ความเบลอระดับ 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 4 (ปานกลาง)

ถ่ายเซลฟี่ด้วยโหมดไลฟ์โฟกัส ความเบลอระดับ 7 (สูงสุด) บิวตี้ระดับ 8 (สูงสุด)

สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy S20+

Samsung Galaxy S20+ เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นรองท็อปที่สืบทอดคุณสมบัติเด่นของเรือธงตระกูล S รุ่นก่อนๆ ได้อย่างน่าประทับใจ พร้อมต่อยอดคุณสมบัติบางอย่างให้ดียิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรมล่าสุด โดยเป็นสมาร์ทโฟนที่เก่งรอบด้านไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป, ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นโซเชียลมีเดีย, การเล่นเกม หรือการใช้งานทั่วๆ ไป

Samsung Galaxy S20+ มีดีไซน์ที่เรียบหรูดูดี ให้ความรู้สึกสุขุม และดูเป็นผู้ใหญ่ เข้ากันได้กับทุกเพศทุกวัย ส่วนงานประกอบก็มีความประณีตสมฐานะสมาร์ทโฟนไฮเอนด์

ในส่วนของการใช้งาน แน่นอนว่า Samsung Galaxy S20+ สามารถรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ส่วนความสามารถด้านความบันเทิงอย่างการดูหนังหรือเล่นเกมก็เรียกได้ว่าหายห่วง เพราะถึงแม้จะไม่ใช่เรือธงตัวท็อปสุด แต่ก็ ใช้ชิปเซ็ต Exynos 990 ตัวเดียวกันกับ Galaxy S20 Ultra 5G จึงมีพลังการประมวลผลไม่เป็นรอง อีกทั้งหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 ในตัวก็เป็นเจเนอเรชันใหม่ล่าสุดที่มีความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูลสูงกว่าแบบ LPDDR4x ที่ใช้กันอยู่ในสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ ยิ่งช่วยให้การเล่นเกมราบรื่นยิ่งขึ้น ส่วนการแสดงผลก็โดดเด่นด้วยหน้าจอไร้ขอบแบบ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ที่แสดงคอนเทนต์ได้อย่างสดใสคมชัด และลื่นไหลกว่าด้วย อัตรารีเฟรช 120 Hz รวมทั้งมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic Fingerprint Scanner ฝังในบนอยู่ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือฟีเจอร์ Game Launcher ที่คอยบล็อกการแจ้งเตือนระหว่างเล่น ดังนั้นหากจะกล่าวว่า Samsung Galaxy S20+ คือหนึ่งในสมาร์ทโฟนเล่นเกมชั้นยอดก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็ยังยังคงมีจุดสังเกตเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องความร้อน, รูกล้องบนหน้าจอที่บางคนอาจจะไม่ชอบ และแบตเตอรี่ที่หมดไวไปสักนิดเมื่อเล่นเกมบนอัตรารีเฟรช 120 Hz ครับ

สำหรับการถ่ายภาพที่เป็นไฮไลท์สำคัญของรุ่นนี้ แม้จะเป็นตัวรองท็อปจาก Galaxy S20 Ultra 5G แต่ก็ยังอยู่ในระดับหัวแถวของวงการเช่นกัน โดยมากับ ชุดกล้อง หลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียด 12+8+64 ล้านพิกเซล กับกล้อง DepthCamera (ToF) อีก 1 ตัว และซอฟต์แวร์ที่เพียบพร้อม ทำให้ Samsung Galaxy S20+ ตอบสนองการถ่ายภาพได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดกลางคืน, มุมมองกว้างแบบ Ultra-wide, ภาพหน้าชัดหลังละลาย, โหมดโปร, ถ่ายวิดีโอแบบละลายหลัง, ระบบกันสั่น Super Steady, การถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K และอื่นๆ ซึ่งแต่ละโหมดก็ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ กระนั้นการถ่ายวิดีโอระดับ 8K ยังจำกัดเฟรมเรตที่ 24 fps และไม่สามารถใช้ระบบกันสั่น Super Steady รวมถึงเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้ ทำให้ภาพสั่น และไม่เนียนตาเท่าที่ควร หรือการซูมระยะ 30x ที่ทำให้ภาพเสียรายละเอียดไปมากจนไม่เหมาะจะนำไปใช้งานแบบจริงจังได้เป็นต้น

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น สามารถกล่าวได้ว่า Samsung Galaxy S20+ เป็นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูงรอบด้านสมฐานะเรือธง โดยเฉพาะด้านความบันเทิง และการถ่ายรูป ที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ ณ ตอนนี้ แต่ก็ยังมีจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย เช่นเรื่องความร้อนระหว่างเปิดใช้กล้อง และแบตเตอรี่ที่หมดค่อนข้างเร็วเมื่อเล่นเกมบนอัตรารีเฟรช 120 Hz ครับ

สำหรับ Samsung Galaxy S20+ วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ที่ร้าน Samsung Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ในราคา 31,900 บาท โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Cosmic Black , Cosmic Gray และ Cloud Blue

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ Samsung (ประเทศไทย) ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Samsung Galaxy S20+ มาให้ทางทีมงานได้รีวิวกันในโอกาสนี้ด้วยครับ

จุดเด่นของ Samsung Galaxy S20+

- ดีไซน์จอไร้ขอบ งานประกอบประณีต ตัวเครื่องเป็นวัสดุโลหะครอบทับด้วยกระจก ล้อมด้วยเฟรมอลูมิเนียม จึงมีน้ำหนักเบา และทนทาน ขอบเครื่องรอบด้านโค้งมนแบบ 3D Curved รับกับฝ่ามือได้เป็นอย่างดี - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 - ตัวเครื่องขนาด 161.9x73.7x7.8 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 186 กรัม - หน้าจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ดีไซน์ Infinity-O Display ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดสูงสุดระดับ Quad HD+ (3200x1440 พิกเซล) ในอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 20:9, รองรับการแสดงผลมาตรฐาน HDR10+ และอัตรารีเฟรช 120 Hz - ชิปเซ็ตประมวลผล Samsung Exynos 990 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ความเร็ว 2.73 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G77 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 8 GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128 GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย One UI 2.0

- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบด้วย :

กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ Super Speed Dual Pixel AF, ระบบกันสั่นแบบ OIS โดยมีรูรับแสงขนาด f/1.8 และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 8K

กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมมุมมองกว้าง 120 องศา และรูรับแสงขนาด f/2.2

กล้อง Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.0, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF

กล้องวัดความลึก DepthVision (ToF)

- กล้องดิจิทัลหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เทคโนโลยีการโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel โดยมีขอบเขตภาพ 80 องศา และมีขนาดรูรับแสงที่ f/2.2

- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic (Ultrasonic Fingerprint Scanner) - ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า - แบตเตอรี่ความจุ 4,500 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง 25W (มีอแดปเตอร์ชาร์จในกล่อง) และการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบไร้สาย Fast Wireless Charging 2.0 - รองรับฟังก์ชัน Wireless PowerShare - ฟีเจอร์ Game Launcher ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ฟังก์ชัน Dual Messenger, Game Launcher, Samsung Pass - ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby - ลำโพงเสียงแบบคู่ ที่ถูกปรับแต่งโดย AKG พร้อมรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos - พอร์ตการเชื่อมต่อ USB Type-C - รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax 2.4G+5GHz, HE80, MIMO, 1024-QAM - รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0, ANT+, NFC, MST - รองรับการระบุตำแหน่งด้วยระบบดาวเทียม GPS, Galileo, Glonass, BeiDou - รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nano-SIM) - มี 3 สีมาตรฐานให้เลือก (Cosmic Black, Cosmic Gray และ Cloud Blue) - ราคา 31,900 บาท ถือว่าเป็นราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่ารุ่นท็อปอย่าง Galaxy S20 Ultra

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy S20+

- ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนเมื่อเปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานาน - แบตเตอรี่หมดค่อนข้างเร็วเมื่อเล่นเกมบนหน้าจออัตรารีเฟรช 120 Hz - ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นพื้นผิวกระจกมันวาว จึงเกิดรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ง่าย - ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid Slot ซึ่งช่องใส่ซิมการ์ดที่สอง ต้องเลือกใส่อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ด หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD - หน่วยความจำภายใน (ROM) มีมาให้เพียง 128GB ซึ่งถือว่าไม่มากนักสำหรับสมาร์ทโฟนระดับเรือธง

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเครื่องทดสอบจากศูนย์บริการ คุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองเพื่อความมั่นใจครับ *

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

Leave a Comment