รีวิว OnePlus 6 สมาร์ทโฟน Snapdragon 845 ในราคาไม่ถึง 2 หมื่น! แรงขั้นสุด พร้อมกล้องคู่ OIS บนบอดี้พรีเมียมที่ไม่กลัวน้ำ:: Thaimobilecenter.com

เรือธงแรงระดับท็อป ในราคาไม่ถึง 2 หมื่น! ด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 845 พร้อม RAM สูงสุด 8GB, ROM สูงสุด 256GB, จอ Optic AMOLED ไร้ขอบ 6.28 นิ้ว, กล้องคู่ OIS 20 ล้านพิกเซล (f/1.7), กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล (f/2.0), แบตเตอรี่ Dash Charge 3300 mAh, เทคโนโลยี Gigabit LTE และระบบเสียง Dirac บนบอดี้พรีเมียมที่ไม่กลัวน้ำ

วิดีโอรีวิว (Video Review) OnePlus 6 วิดีโอรีวิวฉบับเต็ม OnePlus 6 สมาร์ทโฟน Snapdragon 845 ในราคาไม่ถึง 2 หมื่น! แรงขั้นสุด พร้อมกล้องคู่ บนบอดี้พรีเมียมไม่กลัวน้ำ

2 สิงหาคม 2018 : สวัสดีครับ ตอนนี้ผมก็กำลังอยู่กับ OnePlus 6 สมาร์ทโฟนฉายา นักฆ่าเรือธง รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งนับเป็น OnePlus เครื่องศูนย์รุ่นแรก ที่นำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยบริษัท วันพลัส โมบาย นั่นเอง ซึ่ง OnePlus ทั้ง 7 รุ่นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ OnePlus One มาจนถึง OnePlus 5T หากใครต้องการซื้อมาใช้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อเครื่องหิ้ว หรือเครื่องนอก ซึ่งมักจะเป็นเครื่องเวอร์ชันจีน แต่สำหรับ OnePlus 6 ที่นำเข้ามานี้ เป็นเวอร์ชันGlobal หรือเครื่องUS ที่ทาง วันพลัส โมบาย เคลมว่า เสถียรกว่า และทำงานได้ดีกว่า ด้วยครับ

หากใครที่ยังไม่รู้จัก OnePlus ก็ต้องบอกว่าแบรนด์นี้มีฉายาว่า Flagship Killer หรือ นักฆ่าเรือธง ด้วยสเปกที่ เร็วแรงเทียบเท่าสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปของแบรนด์ใหญ่ๆ แต่ขายในราคาที่ย่อมเยากว่ามาก เพราะเป้าหมายหลักของ OnePlus ที่มีมาตั้งแต่แรกก็คือ ไม่เน้นผลกำไร ไม่เน้นการโฆษณา แต่ต้องการให้ผู้ซื้อได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายนั่นเอง

อย่าง OnePlus 6 รุ่นเริ่มต้น ที่ผมกำลังถืออยู่นี้ มีราคาเพียง 17,999 บาท แต่มาพร้อมกับชิปเซ็ตที่เร็วแรงที่สุดของ Qualcomm ในขณะนี้อย่าง Snapdragon 845 และฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์อีกมากมาย ดังนั้นเดี่ยวผมจะพาทุกท่านไปดูกันต่อเลยครับว่า OnePlus 6 รุ่นนี้จะดีกว่ารุ่นเดิมแค่ไหน และมีดีพอที่จะสู้กับสมาร์ทโฟนเรือธงจากค่ายอื่นได้หรือไม่ครับ

แกะกล่องส่องอุปกรณ์ด้านในของ OnePlus 6

ก่อนอื่นเรามาเปิดกล่องดูกันครับว่าด้านในมีอุปกรณ์อะไรมาให้บ้าง

โดยด้านในกล่องสีแดงชั้นแรกจะมีเคสซิลิโคนแบบใสสีเทาอ่อนๆ แถมมาให้ด้วย

นอกจากนั้นก็จะมีเข็ม SIM Door Key, คู่มือการใช้งาน และสติกเกอร์ OnePlus

ส่วนที่ด้านล่างสุดของกล่องจะมีสาย USB Type-C ซึ่งรองรับเทคโนโลยี Dash Charge

และอะแดปเตอร์ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Dash Charge

อย่างไรก็ดีก็น่าเสียดายที่ไม่ได้แถมหูฟังมาให้ด้วย แต่อย่างน้อยก็มีช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร มาให้ ซึ่งเราสามารถหาซื้อหูฟังแบบนี้เองได้ง่ายครับ

รูปลักษณ์ภายนอก และการออกแบบดีไซน์ของ OnePlus 6

ดีไซน์โดยรวมของ OnePlus 6 ก็เป็นไปตามยุคสมัยนะครับ คือใช้หน้าจอแบบไร้ขอบ โดยเป็นจอแบบ Optic AMOLED ขนาด 6.28 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า OnePlus 5T บนอัตราส่วนใหม่แบบ 19:9 กับความละเอียดระดับ Full HD+ หรือ 2280x1080 พิกเซล

พร้อมขอบหน้าจอที่บางเฉียบ, สามารถจับถือได้ง่าย และทรวดทรงจะดูผอมเพรียวกว่า OnePlus 5T รุ่นพี่ที่ใช้อัตราส่วนหน้าจอแบบ 18:9

ส่วนกระจกหน้าจอที่ใช้เป็นกระจกขอบนูนแบบ 2.5D Gorilla Glass 5 ซึ่งแข็งแกร่งทนทานหายห่วง

โดยหน้าจอ Optic AMOLED ก็คือหน้าจอที่นำเอาเทคโนโลยี Super AMOLED มาปรับแต่งต่อยอด เพื่อให้การแสดงผลดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงทำให้สีสันสดใสแต่ยังใกล้เคียงกับภาพจริงมากที่สุด, มีสีดำที่ดำสนิท, มีแสงสีขาวที่สว่างมากขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง

ภายใต้รอยบาก หรือ Notch ที่ด้านบนของหน้าจอประกอบไปด้วยไฟ LED สำหรับแสดงสถานะการทำงาน, Proximity Sensor, Ambient Light Sensor, ลำโพงสำหรับการสนทนา และกล้องดิจิทัลความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX 371 ส่วนที่ด้านซ้าย และด้านขวา ก็จะเป็นพื้นที่สำหรับไอคอนแสดงสถานะการทำงานพื้นฐานนั่นเอง

และไฟแจ้งเตือนที่ด้านบนเราสามารถเลือกเปิด-ปิดได้ รวมทั้งสามารถเลือกสีได้ทั้งหมด 8 สีครับ

และสามารถเลือกเปิด-ปิดไฟแจ้งเตือนแยกแต่ละแอปพลิเคชันได้

ส่วนรอยบากที่ด้านบน หากไม่ต้องการให้เห็น ก็สามารถกดซ่อนได้ด้วยครับ

แอปพลิเคชันไหนที่เราต้องการให้แสดงผลแบบเต็มหน้าจอ หรือแบบ Full Screen ก็สามารถเลือกได้ โดยแสดงผลได้ทั้งแบบโชว์รอยบาก และไม่โชว์รอยบาก

และนี่ก็คือตัวอย่างของการใช้งานแอปพลิเคชัน YouTube และ Google Chrome แบบเต็มจอ

ที่ด้านล่างของหน้าจอจะมี Navigation Bar ซ่อนอยู่ ซึ่งเราสามารถเลือกให้โชว์ตลอดเวลาได้ และหากไม่อยากใช้ Navigation Bar เราก็สามารถควบคุมการทำงานด้วย Gestures Control แทนได้ครับ

เช่นการกลับสู่หน้า Home ด้วยการสไลด์นิ้วจากขอบจอด้านล่างขึ้นมา, การเข้าสู่หน้า Recent Apps ด้วยการสไลด์นิ้วจากขอบจอด้านล่างขึ้นมาแล้วค้างเอาไว้ และการย้อนกลับด้วยการสไลด์นิ้วจากมุมจอด้านล่าง ทั้งมุมล่างซ้าย และมุมล่างขวา

รองรับการคว่ำหน้าจอลงเพื่อปิดเสียง

รองรับการลาก 3 นิ้วลงมาเพื่อจับภาพหน้าจอ

สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อกดปุ่ม Home ค้างไว้ หรือกดปุ่ม Home ติดๆ กัน 2 ครั้ง แล้วจะเป็นการเรียกใช้ฟังก์ชันใด รวมทั้งปุ่ม Recent Apps และปุ่มย้อนกลับ

รองรับการสั่งงานด้วยท่าทางในขณะที่หน้าจอปิดอยู่ เช่นการแตะ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ Lock Screen ขึ้นมา

เราสามารถปรับโหมดสีของหน้าจอได้ถึง 5 แบบด้วยกันครับ ได้แก่ค่าสีเริ่มต้น, ช่วงสีแบบ sRGB, ช่วงสีแบบ DCI-P3 ที่เป็นมาตรฐานเดียวกับภาพยนตร์, ค่าสีอัตโนมัติแบบ Adaptive และการปรับค่าสีด้วยตนเอง

มีโหมดการแสดงผลแบบ Night Mode สำหรับช่วยถนอมสายตาในเวลากลางคืน ซึ่งเราสามารถปรับระดับของเอฟเฟกต์ได้เองตามความเหมาะสม

มีโหมดการแสดงผลแบบ Reading Mode สำหรับการอ่านคอนเทนต์ประเภท e-Book หรือตัวหนังสือ ซึ่งหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีขาว-ดำดังที่เห็นนี้

มีฟังก์ชัน Ambient Display ซึ่งเหมือนเป็นการผสมกันระหว่าง Raise to Wake ของ iPhone กับ Always On Display ของ Samsung และมีสไตล์ของนาฬิกาให้เลือกใช้ 4 รูปแบบด้วยกัน

OnePlus 6 เครื่องที่ทดสอบอยู่นี้เป็นสี Mirror Black ที่ด้านหลังเป็นกระจก Gorilla Glass 5 แบบโค้ง ที่ดูสวยเงางาม พร้อมผสานเข้ากับเฟรมโลหะจนเป็นดีไซน์แบบ Metal Glass Unibody ซึ่งยิ่งได้สะท้อนกับแสงไฟแล้วก็ยิ่งดูพรีเมียม แต่ก็จะเกิดรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ง่ายเช่นกัน และก็มีอีก 2 สีให้เลือกด้วยครับ คือ Silk White หรือสีขาว-ทอง กับ Midnight Black หรือสีดำด้าน

ที่ด้านหลังของตัวเครื่องประกอบไปด้วยกล้องดิจิทัลแบบคู่ความละเอียด 16 กับ 20 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX 519 กับ IMX 376K ตามลำดับ พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.7 และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS กับ EIS ถัดลงมาก็จะเป็นไฟแฟลช LED แบบคู่, เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และโลโก้ OnePlus

ที่กล้องคู่ด้านหลังของ OnePlus 6 นี้จะมีลักษณะที่นูนขึ้นมาพอสมควร ไม่แบนราบเสมอไปกับตัวเครื่อง แต่หากใส่เคสก็พอช่วยได้ครับ

สามารถสั่งถ่ายภาพด้วยการใช้นิ้วแตะค้างไว้ที่เซ็นเซอร์สแกนนิ้วได้

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีแถบเสารับสัญญาณ 3 แถบ, ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ 2 ซิม และปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง

โดยถาดซิมการ์ดนั้นรองรับซิมการ์ดแบบ nanoSIM ทั้งสองช่อง แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำด้วยการ์ด microSD หรือแบบอื่นๆ

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องประกอบไปด้วยแถบเสารับสัญญาณ 2 แถบ, ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และปุ่ม Alert Slider

โดยความน่าสนใจของปุ่ม Alert Slider ก็คือเราสามารถสไลด์เพื่อเลือกโหมดเปิดเสียง, สั่น และปิดเสียง ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าเพิ่มเติมได้

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับการตัดเสียงรบกวน

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วยลำโพงเสียง, พอร์ต USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง และช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

แม้ลำโพงเสียงบน OnePlus 6 จะมีเพียงแค่ตัวเดียว แต่ด้วยระบบเสียงแบบ Dirac Power Sound จึงให้เสียงที่ดังฟังชัดไม่แตกพร่า, มีรายละเอียดที่ดี และฟังไพเราะเป็นธรรมชาติ

และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือตัวเครื่องของ OnePlus 6 สามารถป้องกันน้ำ ป้องกันฝุ่น ได้ในระดับ IP54 นั่นก็คือโดนน้ำหกใส่, โดนฝน หรือโดนน้ำกระเซ็นใส่ได้ แต่ไม่แนะนำให้เอาลงไปแช่ในน้ำนะครับ

ทดสอบใช้งาน OnePlus 6 พร้อมแนะนำฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจ

จุดขายสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ OnePlus 6 ก็คือชิปเซ็ต Snapdragon 845 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปที่เร็วแรงที่สุดในปัจจุบัน และมีหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 630 กับ AI Engine ฝังอยู่ภายใน

ส่วนหน่วยความจำ RAM ของ OnePlus 6 รุ่นเริ่มต้นนี้ (ราคา 17,999 บาท) จะมีขนาด 6 GB ซึ่งเป็นแบบ LPDDR4X

และมีหน่วยความจำ ROM อยู่ที่ขนาด 64 GB (รุ่นเริ่มต้น ราคา 17,999 บาท) ซึ่งเป็นแบบ UFS 2.1

เซ็นเซอร์ต่างๆ ก็มีติดตั้งมาให้ใช้งานอย่างครบถ้วน รวมถึงเซ็นเซอร์ Gyroscope

ไหนๆ แล้วก็มาทดสอบความแรงกันก่อนเลยดีกว่าครับ โดยเมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้คะแนนสูงถึง 287,894 ซึ่งถือว่าเป็นระดับคะแนนที่สูงที่สุดในเวลานี้เลยทีเดียวครับ

เมื่อเทียบคะแนนกับ Samsung Galaxy S9+ ก็พบว่า OnePlus 6 มีคะแนนมากกว่าอยู่ประมาณ 2 หมื่นคะแนน และเมื่อเทียบคะแนนกับ Xiaomi Black Shark ก็พบว่า OnePlus 6 มีคะแนนมากกว่าอยู่ประมาณ 2 หมื่นคะแนนเช่นกัน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench ก็พบว่าได้คะแนนในส่วนของ Single-Core ที่ 2453 คะแนน และได้คะแนนในส่วนของ Multi-Core ที่ 9016 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยความจำด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ก็พบว่าได้คะแนนในส่วนของ Sequential Read ที่ 735.11 MB/s และได้คะแนนในส่วนของ Sequential Write ที่ 200.07 MB/s ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลกับการที่ใช้หน่วยความจำแบบ UFS 2.1

Benchmark จบไปแล้ว ก็มาลองเล่นเกมกราฟิกหนักๆ กันบ้างครับ เริ่มที่เกม Asphalt 9: Legends เกมแข่งรถภาคใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งด้วยสเปกระดับท็อปอย่างชิปเซ็ต Snapdragon 845, จีพียู Adreno 630 และ RAM 6GB แม้จะปรับกราฟิกแบบสูงสุด ก็ยังสามารถเล่นได้อย่างไหลลื่นไร้การสะดุดแม้แต่น้อย พร้อมการควบคุมที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ

ด้านเกมแนว Shooting ที่มีกราฟิกสวยๆ อย่าง Cover Fire ก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไร้การสะดุด และควบคุมได้รวดเร็วแม่นยำเช่นเดียวกัน

และด้วย Gaming Mode ก็สามารถช่วยป้องกันการรบกวนต่างๆ ขณะที่เราเล่นเกมได้ ทั้งสายเรียกเข้า และการแจ้งเตือนต่างๆ

OnePlus 6 เครื่องนี้มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ OxygenOS 5.1.8 ที่มีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo

ซึ่ง User Interface ถูกปรับแต่งมาเป็นอย่างดี ดูเรียบง่าย เน้นเฉพาะฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ หรือถูกนำไปใช้งานจริง เรียกว่าใช้งานได้ลื่นไหลใกล้เคียงกับ Pure Android เลยทีเดียวครับ

การลบรายการในหน้า Recent Apps มีทั้งแบบ Normal Clear ซึ่งเคลียร์เฉพาะรายการ กับแคช และแบบ Deep Clear ซึ่งจะเคลียร์ไปถึง Background Processes

โดยระบบความปลอดภัยของ OnePlus 6 ก็มีให้ใช้งานทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และระบบสแกนใบหน้า ซึ่งสามารถใช้แสงจากหน้าจอช่วยให้ความสว่างในที่มืดได้

ซึ่งระบบสแกนใบหน้าสามารถทำงานได้รวดเร็วมากครับ สามารถปลดล็อกหน้าจอได้ภายในเวลาแค่เสี้ยววินาที

เมื่อสไลด์ขอบด้านซ้ายของหน้า Home ออกมา ก็จะพบกับหน้า Shelf ซึ่งรวมเครื่องมือ กับวิดเจ็ตที่เราใช้งานอยู่เป็นประจำเอาไว้ในที่เดียวกัน

โดยเราสามารถเลือกเพิ่มเครื่องมือ หรือวิดเจ็ตบนหน้า Shelf ได้เองตามต้องการ

ในหน้า App Drawer เมื่อสไลด์จากขอบจอด้านซ้ายออกมา ก็จะพบส่วนของ Hidden Space ที่เราสามารถซ่อนแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นไว้ในนี้ได้

รองรับการใช้งานธีมแบบมืด หรือแบบ Dark ซึ่งการแสดงผลพื้นหลังจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ทั้งหน้า Settings, หน้า App Drawer และอื่นๆ

User Interface ของกล้องถ่ายภาพบน OnePlus 6 นั้นดูเรียบง่ายมากๆ ครับ โดยที่หน้าหลักก็จะมีฟังก์ชัน HDR, การจับเวลาล่วงหน้า, สัดส่วนภาพ, ไฟแฟลช, การซูม 2 เท่า ที่ใช้กล้องตัวที่สองเข้ามาช่วย, ระบบโฟกัสแบบ DCAF กับ PDAF ที่รวดเร็วแม่นยำ

สามารถสไลด์ลงมาเพื่อเลือกโหมด Portrait พร้อมฟังก์ชันหน้าชัดหลังเบลอ กับฟังก์ชัน Beauty ได้ทันที

หรือสไลด์ขึ้นไปเพื่อเลือกโหมดถ่ายวิดีโอ

โดยสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ OIS กับ EIS

เมื่อเลือกจุดโฟกัสได้แล้ว เราก็สามารถสไลด์ขึ้น หรือลง ที่แถบด้านข้าง เพื่อปรับค่าชดเชยแสงได้ทันที

ในโหมด Portrait หากเราถือกล้องห่างจากบุคคล หรือวัตถุ ในระยะที่พอเหมาะ ซอฟต์แวร์ก็จะสร้างเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอให้เองโดยอัตโนมัติ

และมีลูกเล่นเพิ่มเติมก็คือ เราสามารถเลือกรูปทรงของโบเก้ได้ 3 แบบ คือ รูปดาว, รูปหัวใจ และทรงกลม

เมื่อสไลด์จากแถบด้านล่างขึ้นมาก็จะพบกับโหมดอื่นๆ อีก 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Slow Motion, Pro, Time-Lapse และ Panorama

โดยโหมด Pro เราสามารถตั้งค่ากล้องได้เองอย่างอิสระ ทั้งค่าความไวแสง, ค่าสมดุลสีขาว, ความเร็วชัตเตอร์, ระยะโฟกัส และค่าชดเชยแสง อย่างค่าสมดุลสีขาว เราสามารถปรับละเอียดเป็นองศาเคลวินได้เลยครับ

รองรับการถ่ายภาพเป็นไฟล์ RAW และจะเห็นว่ามีกรอบแสดง Histogram อยู่ที่ด้านบน ซึ่งช่วยให้เราเช็กก่อนถ่ายภาพได้เลยว่าความสว่างพอดีแล้วหรือยัง

การถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion สามารถเลือกได้ 2 แบบคือ 240 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียดระดับ Full HD 1080p กับ 480 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียดระดับ HD 720p

มาดูที่กล้องหน้ากันบ้างครับ อย่างแรกคือฟังก์ชัน HDR, ถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p, เลือกสัดส่วนของภาพถ่ายได้ 3 รูปแบบ, เปิดฟังก์ชัน Screen Flash เพื่อใช้แสงจากหน้าจอได้

มีฟังก์ชัน Beauty ให้เราปรับระดับความเนียนใสของใบหน้าได้ตามใจชอบ

เมื่อสไลด์มาทางซ้ายก็จะเป็นโหมด Portrait ซึ่งก็คือการถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอนั่นเอง เมื่อสไลด์จากแถบด้านล่างขึ้นมาก็จะพบกับโหมดถ่ายภาพเพิ่มเติมอีก 4 โหมด คือ Slow Motion, Pro, Time-Lapse และ Panorama โดยหากเราเลือกไปที่โหมด Slow Motion ซอฟต์แวร์ก็จะสลับกลับไปใช้กล้องหลังแทน รวมถึงโหมด Pro เช่นเดียวกัน

แบตเตอรี่ของ OnePlus 6 มีความจุอยู่ในระดับกลางๆ คือ 3300 mAh และมาพร้อมกับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Dash Charge ซึ่งชาร์จจาก 0-60% ได้ภายในเวลาเพียง 35 นาที รวมถึงไม่ทำให้เครื่องร้อนขณะชาร์จ หรือขณะใช้งานระหว่างชาร์จ

อย่างขณะที่ใช้งานอยู่นี้ แบตเตอรี่มีอุณหภูมิอยู่ที่ 31.3 องศา ซึ่งถือว่าโอเคครับ

OnePlus 6 เป็น OnePlus รุ่นแรกที่รองรับเทคโนโลยี Gigabit LTE ซึ่งดาวน์โหลดได้เร็วสูงสุด 1 Gbps และรองรับการใช้งานร่วมกับสถานีฐานแบบ 4x4 MIMO

อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี Dual 4G LTE หรือการสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด

รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi 2x2 MIMO และ Wi-Fi Dual Band ที่ความถี่ 2.4GHz กับ 5GHz

รองรับระบบดาวเทียมนำร่องทั้ง GPS, GLONASS, BeiDou (เป๋ยโต่ว) และ Galileo พร้อมการจับสัญญาณที่รวดเร็วแม่นยำ เรียกว่าเดินทางได้มั่นใจทั่วโลกครับ

ใช้ Bluetooth เวอร์ชัน 5.0 พร้อมรองรับเทคโนโลยี aptX HD

รองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายระยะใกล้แบบ NFC

OnePlus 6 นั้นมาพร้อมกับระบบเสียงแบบ Dirac Power Sound ที่ช่วยให้ลำโพงมีรายละเอียดเสียงที่ดีขึ้น, เป็นธรรมชาติมากขึ้น และมีพลังมากขึ้น กับระบบเสียงแบบ Dirac HD Sound สำหรับหูฟัง โดยสามารถปรับแต่งรูปแบบเสียง หรือการใช้งานของหูฟังเพิ่มเติมได้

หากต้องการย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า มายัง OnePlus 6 ก็สามารถทำผ่านแอปพลิเคชัน OnePlus Switch ได้แบบง่ายๆ เลยครับ

และรองรับการใช้งานฟังก์ชัน OTG Storage

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ (Dual Camera) ความละเอียดระดับ 16+20 ล้านพิกเซล ของ OnePlus 6

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางวัน

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางวัน

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางวัน

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ จากโหมด Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ จากโหมด Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ จากโหมด Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายในเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า ความละเอียดระดับ 16 ล้านพิกเซล ของ OnePlus 6

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ พร้อมปรับค่า Face Beauty ที่ระดับ 0

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ พร้อมปรับค่า Face Beauty ที่ระดับกลาง

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ พร้อมปรับค่า Face Beauty ที่ระดับสูงสุด

ตัวอย่างภาพถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ ด้วยโหมด Portrait ของกล้องด้านหน้า

สรุปผลการทดสอบ พร้อมราคา และข้อมูลการวางจำหน่ายของ OnePlus 6

สรุปแล้วสำหรับ OnePlus 6 ก็คือสมาร์ทโฟนที่เกิดมาเพื่อผู้ที่ เน้นเรื่องความเร็วแรงของการประมวลระดับสูงสุด พร้อมฟีเจอร์ใช้งานระดับไฮเอนด์ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ง่ายกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปแบรนด์อื่นๆ สมกับฉายานักฆ่าเรือธง หรือ Flagship Killer โดย OnePlus 6 ที่วางจำหน่ายในบ้านเราก็มีให้เลือก 3 ราคา 3 ความจุ เริ่มที่ราคา 17,999 บาท สำหรับรุ่น ROM 64GB+RAM 6GB , ราคา 19,999 บาท สำหรับรุ่น ROM 128GB+RAM 8GB และราคา 21,999บาท สำหรับรุ่น ROM 256GB+RAM 8GB ท่านใดสนใจก็สามารถหาซื้อได้แล้วที่JD Central, AIS และ Powerbuy สำหรับวันนี้ผมก็ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

สรุปคุณสมบัติเด่นของ OnePlus 6

- เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Metal-Glass Unibody พร้อมกระจก 2.5D Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลัง (Curved Glass) (สี Mirror Black) - เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Metal Unibody พร้อมกระจก 2.5D Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า กับโลหะอะลูมิเนียมดีไซน์โค้งมนที่ด้านหลัง (สี Silk White กับ Mignight Black) - ปุ่ม Alert Slider ที่ด้านข้างของตัวเครื่อง (Silent, Vibrate และ Ring) - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP54, มีการป้องกันพิเศษที่ช่องต่อหูฟัง กับเซ็นเซอร์สแกนนิ้ว พร้อมซีลด้วย Silicon Loops โดยสามารถเผลอทำตกในอ่างล่างหน้า, โดนฝน, โดนน้ำในแก้วหกใส่ หรือโดนน้ำกระเซ็นใส่ได้ แต่ห้ามเอาไปว่ายน้ำ หรือดำน้ำ - จอแสดงผลแบบ Optic AMOLED 6.28 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2280x1080 พิกเซล บนอัตราส่วนแบบ 19:9 พร้อมขอบจอที่บางเฉียบ, ปิดรอยบาก (Notch) ได้, มีระบบ Full Gesture Control และรองรับ 5 โหมดการแสดงผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือช่วงสีแบบ sRGB กับ DCI-P3 - ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 845 ความเร็วในการประมวลผล 2.8 GHz บนสถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 10nm ซึ่งเร็วขึ้น 30% และประหยัดพลังงานขึ้น 10% พร้อม AIE (AI Engine) (อาจนำมาใช้กับภาพ Portrait ในอนาคต) - หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 630 - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ OxygenOS 5.1 (Android 8.1 Oreo) ซึ่งมีความรวดเร็วลื่นไหล และมีหน้าตาที่ใกล้เคียง Pure Android พร้อมการอัปเดตที่เร็วขึ้น, ถูกปรับแต่งมาเป็นอย่างดี, มีเฉพาะฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ หรือถูกนำไปใช้งานจริง และมี Gaming Mode (บล็อกการแจ้งเตือน หรือปุ่มกดต่างๆ) - หน่วยความจำ ROM (UFS 2.1 2-LANE) ขนาด 64GB, 128GB หรือ 256GB - หน่วยความจำ RAM (LPDDR4X) ขนาด 6GB หรือ 8GB - เซ็นเซอร์สแกนนิ้ว พร้อมระบบสแกนใบหน้า (Face Unlock : ใช้กล้องช่วยในการสแกน) - แบตเตอรี่ขนาด 3300 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Dash Charge (5V 4A) ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-60% ได้ภายในเวลา 35 นาที, ไม่ทำให้เครื่องร้อนขณะชาร์จ หรือใช้งานระหว่างชาร์จ, เป็นสิทธิบัตรจาก OPPO และใช้การเพิ่มกระแสไฟฟ้า (Amperage) แทนที่จะเพิ่มแรงดันไฟฟ้า (Voltage) ซึ่งต่างจาก Quick Charge ของ Qualcomm - เทคโนโลยี Gigabit LTE ซึ่งรุ่นแรกของ OnePlus ที่รองรับ Gigabit LTE (DL CAT16 1Gbps/UL CAT13 150Mpps), DL 4CA/256QAM, UL CA/64QAM, ด้วยด้านหลังที่เป็นกระจกจึงติดตั้งเสารับสัญญาณได้ง่าย, รับสัญญาณได้ดี พร้อมรองรับ 4x4 MIMO และ Dual 4G LTE - เทคโนโลยี Wi-Fi 2x2 MIMO (2.4GHz/5GHz) - รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Bluetooth 5.0 พร้อมรองรับมาตรฐาน aptX และ aptX HD - รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ NFC - ระบบดาวเทียมนำร่อง GPS+A-GPS พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม GLONASS, BeiDou และ Galileo - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C พร้อมรองรับการใช้งาน OTG Storage - รองรับการใช้งานพร้อมกันสองซิมการ์ด (Dual SIM : nanoSIM) พร้อมรองรับคลื่นความถี่ทั่วโลกรวม 37 คลื่นความถี่ - ระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) - ระบบเสียง Dirac HD Sound และ Dirac Power Sound - ฟังก์ชัน Shelf และ Hidden Space - แอปพลิเคชัน OnePlus Switch - ราคาเริ่มต้นเพียง 17,999 บาท ซึ่งหากเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปจากแบรนด์อื่นๆ ก็ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่า

สรุปคุณสมบัติเด่นของกล้องดิจิทัลบน OnePlus 6

กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียดระดับ 16+20 ล้านพิกเซล

- กล้องตัวที่หนึ่ง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX 519 ขนาด 1/2.6 นิ้ว, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS+EIS (Gyro), เม็ดพิกเซลขนาด 1.22 ไมครอน, ทางยาวโฟกัส 27 มิลลิเมตร, ระบบโฟกัสภาพแบบ DCAF Autofocus (Detect Contrast) และรูรับแสงขนาด f/1.7 - กล้องตัวที่สอง ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล สำหรับช่วยถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX 376K ขนาด 1/2.8 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF และรูรับแสงขนาด f/1.7 - ไฟแฟลชแบบ Dual LED - โหมดถ่ายภาพแบบ Portrait ซึ่งเปลี่ยนรูปทรงโบเก้ได้, HDR, RAW, Pro, Panorama, HQ - ฟังก์ชัน Dynamic Denoise (เฉพาะโหมด HD/HQ Mode) - ฟังก์ชัน Clear Image - รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงสุด 480 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียดระดับ HD 720p หรือ 240 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียดระดับ Full HD 1080p - รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60fps) - โหมดถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse

กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล

- เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX 371 ขนาด 1/3 นิ้ว - เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน - ทางยาวโฟกัส 25mm - รูรับแสงขนาด f/2.0 - โหมดถ่ายภาพแบบ Portrait, HDR - ฟังก์ชัน Screen Flash, Face Beauty, Smile Capture - ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS (Gyro) - ถ่ายภาพวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p (30fps) - โหมดถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OnePlus 6

- มีลำโพงเพียงแค่ตัวเดียว - ใส่ microSD Card เพิ่มไม่ได้ - ถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงสุดเพียง 480 เฟรมต่อวินาที - ไม่รองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging) - ไม่มีหูฟังแถมมาให้ (ถ้าอยากซื้อเพิ่มแนะนำเป็น Bullets Wireless ราคา $69) - แบตเตอรี่มีความจุที่ 3300 mAh ซึ่งถือว่าไม่มากนักหากเทียบกับขนาดหน้าจอ และสเปกโดยรวม - จอแสดงผลมีความละเอียดเพียงแค่ระดับ FHD+ (2280x1080 พิกเซล) และไม่รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR

เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจของ OnePlus 6

- เปิดราคา OnePlus 6 ในไทยอย่างเป็นทางการ เริ่มต้นที่ 17999 บาท - สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคาล่าสุดของ OnePlus 6 64GB - สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคาล่าสุดของ OnePlus 6 128GB - สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคาล่าสุดของ OnePlus 6 256GB

Leave a Comment