รีวิว OnePlus 7T เรือธง Super Flagship จอ 90Hz สุดลื่น กับชิป Snapdragon 855+ ที่เร็วแรงที่สุด ในราคาคุ้มค่าเกินใคร :: Thaimobilecenter.com

เรือธง Super Flagship จอ 90Hz สุดลื่น กับชิปเซ็ตที่เร็วแรงที่สุด ในราคาคุ้มค่าเกินใคร ด้วยจอ Fluid AMOLED 90Hz ใหญ่ 6.55 นิ้ว ผสาน In-Display Fingerprint, ชิปเซ็ต Snapdragon 855+ ตัวท็อปใหม่ล่าสุด, กล้อง Ultra Wide Triple Camera 48 ล้านพิกเซล, ROM UFS 3.0 128GB+RAM8GB, ลำโพงคู่ Dolby Atmos, แบตเตอรี่ Warp Charge 30T 3800mAh และระบบ Android 10 สดใหม่ บนตัวเครื่อง Matted Frosted Glass สุดพรีเมียม ในราคาสุดคุ้มเพียง 17,990 บาท

30 ตุลาคม 2019 - นับตั้งแต่ที่ OnePlus ได้ผันตัวเองเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนระดับ Super Flagship ก็ทำให้เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสมาร์ทโฟนระดับสุดยอดเรือธงของ OnePlus อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจะสังเกตได้จากรุ่น OnePlus 7 Pro ที่พลิกโฉมการดีไซน์ครั้งใหญ่ด้วยหน้าจอแสดงผลขอบโค้งไร้รอยบาก พร้อมรองรับการแสดงผลบนค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz บนดีไซน์ตัวเครื่องกระจกขอบโค้งสุดแกร่งที่เคลือบผิวสัมผัสแบบด้าน และสเปกแบบไฮเอนด์จัดเต็มพร้อมแข่งขันกับเรือธงระดับพรีเมียมบนท้องตลาด จากความสำเร็จของรุ่น OnePlus 7 Pro ส่งผลให้ OnePlus เกิดการพัฒนาสมาร์ทโฟนเรือธงระดับ Super Flagship รุ่นใหม่เพื่อตอบโจทย์ตลาดช่วงปลายปี โดยเฉพาะด้วยการเปิดตัวรุ่น OnePlus 7T Series อย่างเป็นทางการ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ทาง OnePlus ก็เพิ่งจะเปิดตัวพร้อมประกาศโปรโมชั่น และกำหนดการวางจำหน่ายของสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวในบ้านเราให้ทราบกันด้วย

โดยหากมองไปถึงรุ่นต่างๆ ของ OnePlus 7T Series จะเห็นได้ว่า หนึ่งในรุ่นที่ถือว่าเป็นไฮไลท์เด่นน่าจับตามองนั่นก็คือรุ่นเริ่มต้นที่สเปกไม่ธรรมดาอย่าง OnePlus 7T ซึ่งมาพร้อมกับสเปกแบบไฮเอนด์ตามคอนเซ็ปต์ Smooth Like Never Before ในราคาวางจำหน่ายที่คุ้มค่าเป็นพิเศษ เพียง 17,990 บาท เท่านั้น โดย OnePlus 7T ชูจุดเด่นด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED Fluid Display ขนาด 6.55 นิ้ว ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz พร้อมอัปเกรดขุมพลังเป็นตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย Qualcomm อย่าง Snapdragon 855+ ประกบคู่กับหน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.0 2-Lane ที่ขึ้นชื่อด้านความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล ผสานระบบ Warp Charge 30T ที่ชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้าสู่ตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็วแม้ในขณะที่ใช้งานอยู่ และความสดใหม่ด้วยระบบปฏิบัติการ Android 10 ตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งถือว่าเป็นมือถือรุ่นแรกของประเทศไทยที่ได้ใช้ Android 10 โดยที่ไม่จำเป็นต้องอัปเดตเพิ่มเติม

นอกเหนือจากความแรงแล้ว OnePlus 7T ยังมาพร้อมกับจุดเด่นด้านการถ่ายภาพด้วยชุดกล้องหลังอัปเกรดใหม่แบบ 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล ที่ให้เลนส์ถ่ายภาพครอบคลุมทุกระยะ ตั้งแต่เลนส์มุมกว้าง 117 องศา ไปจนถึงเลนส์ซูม 2 เท่า (Optical Zoom 2x) เพื่อช่วยเก็บรายละเอียดระยะไกล พร้อมทั้งยังมีโหมด Nightscape ที่ช่วยเก็บภาพกลางคืนได้อย่างคมชัดสดใสโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องให้ยุ่งยาก

หากพิจารณาจากสเปกระดับเรือธงกลุ่มพรีเมียม และราคาวางจำหน่ายที่ไม่ถึงสองหมื่นบาท ก็ส่งผลให้ OnePlus 7T เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มาแรง และน่าจับตามองที่สุดรุ่นหนึ่งในขณะนี้เลยทีเดียว โดยสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปติดตามรีวิวแบบเจาะลึกจากทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

เรียกได้ว่า OnePlus 7T โดดเด่นมาตั้งแต่กล่องบรรจุภัณฑ์เลยทีเดียว เพราะตัวกล่องเลือกใช้สีแดงสดซึ่งเป็นสีเอกลักษณ์ของ OnePlus พร้อมทั้งมีการพิมพ์ข้อความด้วยตัวอักษรสีดำที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ไปยังผู้ใช้งานเอาไว้อย่างเรียบง่ายว่า This is the OnePlus 7T. It’s the culmination of all our design and engineering efforts, and crafted for those, who like us, always strive for the very best (นี่คือ OnePlus 7T สมาร์ทโฟนที่เกิดมาจากการผสมผสานดีไซน์ และวิศวกรรมขั้นสุด มันถูกสร้างมาเพื่อคนที่มีความมุ่งมั่นเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดตลอดเวลาเหมือนดังเช่น OnePlus)

ภายในกล่องประกอบไปด้วย Invitation Letter ซึ่งเป็นจดหมายขอบคุณแฟนๆ จาก Pete Lau ซีอีโอของ OnePlus, สติกเกอร์ OnePlus, คู่มือการใช้งาน, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, เคสใส, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สีแดง สำหรับโอนถ่ายข้อมูล หรือชาร์ตแบตเตอรี่ และอแดปเตอร์จ่ายไฟ

สำหรับอแดปเตอร์จ่ายไฟของ OnePlus 7T รองรับกำลังการจ่ายไฟสูงสุดที่ 6V/5A (30W) ซึ่งเป็นกำลังการจ่ายไฟที่เทียบเท่ากับรุ่น OnePlus 7 Pro แต่ทาง ซึ่งทาง OnePlus ระบุว่า สามารถชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 3800mAh ของ OnePlus 7T จาก 0-70% ได้ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น

ข้ามมาดูในส่วนของตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ OnePlus 7T มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบใหม่ทีมี่ชื่อเรียกว่า Fluid Display โดยเป็นหน้าจอ AMOLED ขอบบางเฉียบทั้ง 4 ด้านบนขนาด 6.55 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล) พร้อมอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 20:9 ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass พร้อมค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ช่วยให้การแสดงผลดูลื่นไหลติดนิ้วมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับหน้าจอแสดงผลทั่วไปที่มี ค่า Refresh Rate ระดับ 60Hz

นอกจากนี้ หน้าจอของ OnePlus 7T ยังมีค่าความสว่างสูงสุดที่ระดับ 1,000nits ส่งผลให้ยังคงมองเห็นหน้าจอได้อย่างคมชัดแม้จะเป็นการใช้งานในที่กลางแจ้งที่มีแสง สว่างบดบังความสวยงามของหน้าจอแสดงผล รวมทั้งยังรองรับการแสดงผลบนมาตรฐานแบบ HDR10+ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นรายละเอียดที่หลบซ่อนในที่มืด หรือที่สว่างได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในปัจจุบันก็เริ่มมีผู้ให้บริการคอนเทนต์ประเภท HDR10+ บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Youtube รวมไปถึง Amazon Prime Video อีกทั้ง หน้าจอแสดงผลของ OnePlus 7T ยังผ่านมาตรการรับรองด้านการตัดแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตรายจาก TÜV Rheinland พร้อมรองรับการทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Reading Mode ที่จะปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้ดูสบายตามากยิ่งขึ้น

ที่ด้านบนของหน้าจอมีการเว้นพื้นที่การแสดงผล เอาไว้บางส่วนเอาไว้เป็นทรงหยดน้ำ (Waterdrop Screen) เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX471 รูรับแสงกว้าง f/2.0 พร้อมเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม รวมไปถึง Proximity Sensor สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน แม้ว่าดีไซน์รอยบากทรงหยดน้ำของ OnePlus 7T จะดูมีความคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนอย่าง OnePlus 7 แต่จริงๆ แล้วขนาดของรอยบากมีความเล็กลงกว่าเดิมถึง 31.46% ช่วยให้ตัวเครื่องมีพื้นที่ในการแสดงผลมากกว่าที่เคย นอกจากนี้ บริเวณขอบด้านบนของตัวเครื่องก็มีการซ่อนลำโพงสนทนาเอาไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งลำโพงตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นลำโพงตัวที่สองของ OnePlus 7T ด้วย หมายความว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มีระบบเสียงแบบ Stereo Speakers นั่นเอง

ที่ด้านล่างของหน้าจอมาพร้อมกับขอบจอแบบบาง เฉียบ ส่งผลให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวไปใช้การควบคุมแบบ Gesture ซึ่งเป็นการลากนิ้วจากบริเวณขอบด้านล่าง และขอบด้านข้างเพื่อสั่งการภายในตัวเครื่อง ซึ่งหากใครที่ไม่ถนัดก็สามารถปรับไปใช้งานวิธีควบคุมแบบปุ่มสัมผัสบนหน้าจอได้ด้วยตน เอง

ถัดจากขอบหน้าจอขึ้นมาเล็กน้อยจะเป็นพื้นที่ สำหรับติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ซึ่งจากที่ทดสอบดูก็พบว่า สแกนลายนิ้วมือของ OnePlus 7T มีความไวในการสแกนลายนิ้วมือที่ดีกว่า OnePlus 7 Pro พอสมควร

ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งไมโครโฟนตัวที่ สองสำหรับตัดเสียงรบกวน

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มปรับ ระดับเสียง

ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ปุ่ม Alert Slider สำหรับปรับรูปแบบเสียงได้อย่างรวดเร็ว โดยหากดันขึ้นไปที่ด้านบนสุดจะเป็นการเปิดโหมด Silent ซึ่งจะปิดทั้งระบบเสียง และระบบสั่น, หากดันมาอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง จะเป็นการเปิดโหมด Vibrate ซึ่งปิดเสียงการแจ้งเตือน และเปิดระบบสั่นเอาไว้ ส่วนหากดันมาที่ตำแหน่งด้านล่างสุด จะเป็นการเปิดโหมด Ring ซึ่งเปิดใช้งานเสียงแจ้งเตือนตามปกติ ส่วนโมดูลที่อยู่ถัดลงมาจากปุ่ม Alert Slider คือปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล

ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C  และลำโพงเสียงตัวหลัก

สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ OnePlus 7T รองรับการใช้งานร่วมกับซิมการ์ดแบบ nanoSIM เท่านั้น และไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้

ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง เลือกใช้งานกระจกขอบโค้งเคลือบผิวสัมผัสด้านแบบ Frosted Glass พร้อมการจัดวางโมดูลกล้อง และโลโก เอาไว้อย่างเป็นระเบียบสื่อถึงปรัชญาการออกแบบที่เรียบง่าย นอกจากนี้ ภายในตัวเครื่องยังติดตั้งระบบ Haptic Vibration เพื่อช่วยให้ระบบสั่นขณะใช้งาน รวมไปถึงการเล่นเกมทำได้ดีกว่าเดิม โดยสีที่ทางทีมงานได้รับมาวันนี้คือสีเงิน Frosted Silver ส่วนอีกหนึ่งสีที่วางขายในบ้านเราเช่นกันนั่นก็คือ สีน้ำเงิน Glacier Blue

ที่ด้านบนติดตั้งชุดกล้องหลัง 3 ตัวที่มีเลนส์ครอบคลุมระยะระหว่าง 17มม., 26มม. และ 51มม. โดยกล้องแต่ละตัวแบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX586 รูรับแสงกว้าง f/1.6 เม็ดพิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 รองรับการซูมภาพแบบ Optical Zoom 2X และกล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 องศาในการรับภาพกว้าง 117 องศา พร้อมระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Phase Detection Autofocus (PDAF) และ Continuous Autofocus (CAF)

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

OnePlus 7T ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 10 เวอร์ชันใหม่เป็นรุ่นแรกในประเทศไทย ครอบทับด้วย OxygenOS เวอร์ชัน 10 ที่มีการใส่ Tweak สำหรับปรับแต่งประสิทธิภาพการทำงานมากกว่า 370 ตัว ซึ่งเมื่อเปิดเครื่องมาครั้งแรกก็พบว่าระบบแจ้งเตือนให้อัปเดตเป็น OxygenOS เวอร์ชัน 10.0.4 ดังนั้นในบทความรีวิวครั้งนี้ทางทีมงานจึงขอทำการรีวิวฟีเจอร์ต่างๆ โดยอ้างอิงจาก OxygenOS เวอร์ชันดังกล่าวเป็นหลักครับ

แม้ว่า OxygenOS 10 จะเป็น UI ที่ทาง OnePlus พัฒนาขึ้นมาเพื่อครอบทับระบบ Android แบบเดิมๆ อีกหนึ่งชั้น แต่จริงๆ แล้วทาง OnePlus ระบุว่า เป็น UI ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบ Stock Android แบบเดิมๆ เสียมากกว่า ด้วยการปรับแต่งการทำงาน รวมไปถึงพลิกโฉมการดีไซน์ใหม่ แต่ยังคงจุดเด่นในเรื่องของความลื่นไหล และฟีเจอร์สารพัดประโยชน์ที่ใช้งานได้จริงอยู่เช่นเดิม

ในหน้าโฮมสกรีนของ OxygenOS 10 จะยังคงซ่อนแอปพลิเคชันต่างๆ เอาไว้ภายในหน้า App Drawer อยู่เช่นเดิม สามารถเรียกใช้งานได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ปัดนิ้วจากด้านล่างขึ้น

เมื่อปัดนิ้วจากบริเวณมุมขอบด้านซ้าย-ขวา ล่าง บนหน้าโฮมสกรีน จะเป็นการเปิดใช้งานฟังก์ชันผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ซึ่งในปัจจุบันรองรับคำสั่งเสียงเป็นภาษาไทยแล้ว

สามารถเข้าถึงฟังก์ชันลัดของแอปพลิเคชันนั้นๆ ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่แตะค้างที่ไอคอนแอปพลิเคชัน

จากหน้า App Drawer เมื่อปัดนิ้วไปทางขวาจะพบกับฟังก์ชันลับอย่าง Hidden Space ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถซ่อนแอปพลิเคชันไม่ให้แสดงในหน้า App Drawer

ปัดนิ้วจากบนลงล่างจะพบกับ Toggle Switch ศูนย์รวมคีย์ลัดสำหรับเข้าถึงการตั้งค่าแบบเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด Wi-Fi, เปิด-ปิด ไฟฉาย หรือเปิด-ปิด Hotspot ถัดลงมาคือ Notification Center ที่ผู้ใช้สามารถปัดไปทางด้านซ้าย-ขวา เพื่อลบการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว หรือแตะที่ปุ่มเมนูด้านล่างสุดเพื่อเคลียร์การแจ้งเตือนทั้งหมด

มาดูที่ลูกเล่นการใช้งานกันบ้าง สำหรับ OnePlus 7T รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE  ทั้งสองซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งาน VoLTE (Voice Over LTE) ร่วมกับเครือข่าย AIS ส่วนเครือข่ายอื่นๆ พบว่ายังไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งอาจต้องรออัปเดตเพิ่มเติมจาก OnePlus อีกครั้งครับ

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลสามารถปรับรูปแบบการแสดง สีสันได้ทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ Vivid (สีสันสดใส), Natural (สีสันแบบธรรมชาติ) และ Advanced ที่ผู้ใช้สามารถปรับขอบเขตการแสดงผลของสีสันได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ AMOLED Wide Gamut, sRGB และ Display P3 รวมทั้งยังสามารถปรับอุณหภูมิสีได้ด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นโทนเย็น หรือโทนอุ่น

สามารถปรับค่า Refresh Rate ได้ทั้งหมด 2 ระดับ ได้แก่ 90Hz และ 60Hz โดยค่าพื้นฐานระบบจะเปิดใช้งานโหมด 90Hz เพื่อช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานไหลลื่นมากยิ่งขึ้น และจะทำการปรับค่า Refresh Rate ให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานของแอปพลิเคชันแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Reading Mode เวอร์ชันใหม่ ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลให้สบายตาได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Mono ซึ่งเป็นการปรับสีสันของหน้าจอให้อยู่ในโทนขาว-ดำ ตอบโจทย์การรับชมคอนเทนต์ประเภทตัวอักษา และ Chromatic ที่เป็นการลดความเข้มข้นของสีสันของคอนเทนต์ทั้งหมด โดยผู้ใช้สามารถเลือกตั้งค่าการเปิดใช้งาน Reading Mode เมื่อเปิดแอปพลิเคชันที่กำหนด รวมไปถึงการตั้งค่าปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ขณะใช้งาน Reading Mode

ฟังก์ชัน Video Enhancer สำหรับปรับสีสันของคอนเทนต์ประเภทวิดีโอให้ดูสดใสมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน Ambient Display ที่จะคอยแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ เมื่อผู้ใช้ยกหน้าจอมาอยู่ในระดับพร้อมกันใช้งาน หรือแตะที่หน้าจอสองครั้งขณะที่ล็อกหน้าจออยู่

สามารถปรับขนาดของฟอนต์ได้ทั้งหมด 4 ระดับ

มาพร้อมกับระบบเสียง Doby Atmos ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเอฟเฟ็กต์เสียงได้ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Dynamic สำหรับปรับเสียงให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่กำลังเล่นอยู่แบบอัตโนมัติ, Movie ปรับรูปแบบเสียงให้เหมาะแก่การรับชมภาพยนตร์ ผ่านการปรับเสียงพูดให้ชัดเจนขึ้น และเล่นเสียงแบบรอบทิศทางเสมือนจริง, Music สำหรับปรับเสียงให้ทรงพลังเหมาะแก่การฟังเพลงทุกรูปแบบ

ฟังก์ชัน Customization ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งความสวยงามของหน้า UI ไม่ว่าจะเป็น Wallpaper, รูปแบบนาฬิกาในหน้า Always On Display, เอฟเฟ็กต์ของระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ หรือรูปแบบไอคอน แต่ที่น่าสนใจก็คือภายในหน้า Customization จะมีฟังก์ชัน Nuanced Dark หรือ Dark Mode ที่จะปรับการแสดงผลของแอปพลิเคชันให้อยู่ในรูปแบบสีดำ ซึ่งเมื่อใช้งานควบคู่กับหน้าจอ AMOLED ของ OnePlus 7T ที่จะไม่มีการเปล่งแสงเมื่อแสดงผลสีดำ ก็จะช่วยให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนวิธีควบคุมได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ การใช้งานปุ่มสัมผัสบนหน้าจอ และ Navigation Gesture ซึ่งเป็นการสั่งการผ่านการลากนิ้วจากบริเวณขอบด้านล่าง และขอบด้านข้างของหน้าจอ

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Quick Gesture ซึ่งเป็นการสั่งการแบบเร่งด่วน ยกอย่างเช่น Flip to mute สำหรับคว่ำหน้าจอเพื่อปิดเสียงเรียกเข้า, หรือ Three-finger screenshot บันทึกหน้าจอผ่านการใช้ 3 นิ้วลาก เป็นต้น รวมทั้งยังมีฟังก์ชัน Screen off gestures ที่ช่วยให้ผู้ใช้สั่งการขณะที่ล็อกหน้าจอได้

รองรับการบันทึกลายนิ้วมือได้ทั้งหมด 5 ลายนิ้วมือ พร้อมรองรับการบันทึกใบหน้าได้ 1 บุคคล โดยในส่วนของระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอนั้น ผู้ใช้สามารถเลือกปรับเอฟเฟ็กต์ขณะวางนิ้วเพื่อปลดล็อกได้ด้วยตนเอง

ฟังก์ชัน Digital Wellbeing สำหรับแสดงปริมาณการใช้สมาร์ทโฟนในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถบริการจัดการเวลาการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวก มากขึ้น

นอกจาก Digital Wellbeing แล้ว OnePlus 7T ยังได้ใส่ฟังก์ชัน Zen Mode เพื่อช่วยให้เราลดการใช้มือถือ และหันไปสนใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น โดย Zen Mode จะปิดการแจ้งเตือนต่างๆ แบบชั่วคราว (แต่ยังรับสายได้ตามปกติ) พร้อมปิดการใช้งานแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในตัวเครื่อง (ยกเว้นแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ) ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน Zen Mode แล้ว จะไม่สามารถกดยกเลิกได้ โดยในตอนนี้ Zen Mode มีระยะเวลาให้เราได้ปล่อยวางสมาร์ทโฟนทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ 20 นาที, 30 นาที, 40 นาที และ 1 ชั่วโมง

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Parallel Apps สำหรับโคลนแอปพลิเคชันที่รองรับเพื่อแยกการทำงานออกจากกัน ซึ่งจากที่ทดลองดูก็พบว่าแอปพลิเคชันส่วนมากที่สามารถทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Parallel Apps จะเป็นแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียครับ

รวมทั้งยังมีแอปพลิเคชัน App Locker สำหรับล็อกแอปพลิเคชันเพื่อป้องกันผู้อื่นเข้าใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจะมีเพียงแค่เจ้าของเครื่อง หรือผู้ที่ลงทะเบียนลายนิ้วมือ-ใบหน้า เอาไว้เท่านั้นที่จะสามารถใช้แอปพลิเคชันนั้นๆ ได้

อีกหนึ่งฟังก์ชันที่น่าสนใจอย่าง OnePlus Switch ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่เพิ่งเปลีย่นมาใช้ OnePlus หรือเคยใช้ OnePlus มาก่อน ให้สามารถโอนถ่ายข้อมูลมายัง OnePlus 7T ได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน RAM Boost ช่วยปรับการทำงานของหน่วยความจำ RAM ให้มีความเหมาะสมตามพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละคน โดยระบบจะทำการคาดเดาได้ว่าผู้ใช้เปิดใช้งานแอปพลิเคชันใดบ้าง และจะทำการโหลดข้อมูลที่จำเป็นเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ทำให้การเปิดใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ จะสามารถทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

มาดูที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ OnePlus 7T ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Qualcomm Snapdragon 855+ Octa-Core Processor ประกบคุ่กับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.0 2-Lane ความจุ 128GB พร้อมระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย OxygenOS 10 ตั้งแต่แกะกล่อง

เมื่อลองนำไปทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมของตัว เครื่องด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า สามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด 450350 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench พบว่า ทำคะแนนแบบ Single-Core ได้ทั้งหมด 765 คะแนน และ Multi-Core ได้ทั้งหมด 2598 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU ด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark ซีน Sling Shot Extreme พบว่า ทำคะแนนในส่วนของ OpenGL ES 3.1 ได้ทั้งหมด 6253 คะแนน และทำคะแนนในส่วนของ Vulkan ได้ทั้งหมด 5518 คะแนน

ซึ่งแน่นอนว่าด้วยประสิทธิภาพในระดับไฮเอนด์ ขั้นสุดจึงช่วยให้สามารถเล่นเกมกราฟิก 3 มิติหนักๆ ได้อย่างไม่มีสะดุด นอกจากนี้ OnePlus 7T ยังตอบโจทย์เกมเมอร์ไปอีกขั้นด้วยฟังก์ชัน Fnatic Mode ที่ทาง OnePlus ได้จับมือพัฒนาร่วมกับทีม E-Sport ชื่อดังอย่าง Fnatic เพื่อชข่วยรีดประสิทธิภาพของ CPU และ GPU ให้อยู่ในระดับสูงสุด พร้อมจัดสรรทรัพยากร RAM ให้เหมาะสมต่อการเล่นเกม รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยลดอาการ Lag ที่อาจเกิดขึ้นขณะเล่นเกมออนไลน์

ส่วนการเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงก็ทำได้ ลื่นไหลไม่แพ้กัน ซึ่งเมื่อใช้งานร่วมกับหน้าจอ AMOLED ที่มีจุดเด่นด้านการแสดงผลที่คมชัดสดใสอยู่แล้ว รวมถึงการรองรับร่วมกับเทคโนโลยี HDR10+ ทำให้การรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

ด้านเซ็นเซอร์ต่างๆ ก็ถือว่าจัดวางมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Light Sensor หรือ Magnetic Sensor

ส่วนระบบ GPS ก็ถือว่าจับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว และมีค่าความคลาดเคลื่อน +- ไม่เกิน 5 เมตร

การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

OnePlus 7T มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX586 รูรับแสงกว้าง f/1.6 เม็ดพิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 รองรับการซูมภาพแบบ Optical Zoom 2X และกล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 องศาในการรับภาพกว้าง 117 องศา พร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF และ CAF โดยในส่วนของหน้า UI กล้องยังคงออกแบบมาแบบเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยลูกเล่นการใช้งานต่างๆ ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ได้ด้วยตนเองผ่านการแตะแถบด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การตั้งเวลาถ่ายภาพได้สูงสุด 10 วินาที, ตั้งอัตราส่วนของภาพถ่าย และการเปิด-ปิด การใช้งานแฟลช

สามารถสลับการถ่ายภาพจากกล้องทั้ง 3 ตัวได้อย่างง่ายดาย ผ่านการแตะที่ไอคอนรูปต้นไม้บริเวณด้านล่าง

โหมด Nightscape สำหรับถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง ซึ่งสามารถถ่ายได้จากทั้งกล้องเลนส์ตัวหลัก และกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle

โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งสามารถถ่ายได้ทั้งมุมแคบเพื่อเน้นตัวแบบ และมุมกว้างเพื่อเก็บบรรยากาศที่อยู่ด้านหลังตัวแบบ

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Super Macro สำหรับถ่ายภาพในระยะใกล้สุดที่ 2.5 เซนติเมตร โดยรองรับการถ่ายภาพจากกล้องทั้ง 3 เลนส์เช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีโหมดถ่ายภาพในรูปแบบต่างๆ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ที่แถบด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็น โหมด Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องได้เอง หรือโหมด Panorama สำหรับถ่ายภาพมุมกว้าง

ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับการการบันทึกภาพจากกล้องทั้งหมด 3 เลนส์ เมื่อถ่ายด้วยความละเอียด Full HD

เมื่อปรับเป็นการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด Full HD 60FPS หรือ 4K 60FPS จะรองรับการบันทึกภาพจากกล้องตัวหลักเท่านั้น

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ที่ระดับ 480FPS บนความละเอียดระดับ HD

ในส่วนของกล้องหน้าเซลฟี่ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 ก็มาพร้อมกับ UI ที่เรียบง่ายเหมือนกับกล้องหลัง โดยสามารถตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องได้เองที่แถบด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การตั้งเวลาถ่ายภาพ, ตั้งสัดส่วนของภาพ หรือการเปิด-ปิด แฟลชหน้าจอ

สามารถเปิดเอฟเฟ็กต์หน้าสวยได้ทั้งหมด 3 ระดับ

ส่วนที่แถบด้านล่างจะเป็นการเปลี่ยนโหมดการถ่าย ภาพที่มีให้เลือกใช้งานโหมดเดียวคือ Portrait สำหรับเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยผู้ใช้สามารถเปิดเอฟเฟ็กต์หน้าสวยขณะใช้งานโหมดดังกล่าวได้อีกด้วย

รองรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าที่ความ ละเอียดสูงสุดระดับ Full HD

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียดระดับ 48+12+16 ล้านพิกเซล ของ OnePlus 7T

ภาพถ่ายจากกล้องตัวหลัก

ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle

ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์ Telephoto

ภาพถ่ายด้วยฟังก์ชัน Super Macro

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Nightscape

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ OnePlus 7T

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน Beauty ที่ระดับ 3

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดฟังก์ชัน Beauty ที่ระดับ 3

สรุปผลการทดสอบของ OnePlus 7T

หากพิจารณาจากคุณสมบัติทั้งหมดของ OnePlus 7T ที่ครั้งนี้ถือว่าเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่มาจากรุ่น OnePlus 7 รวมทั้งยังมีการยกฟีเจอร์เด่นมาจากรุ่นท็อปอย่าง OnePlus 7 Pro ก็เรียกได้ว่า OnePlus 7T เป็นสมาร์ทโฟน เรือธงสเปกแรงราคาคุ้มค่าที่น่าจับตามองที่สุดรุ่นหนึ่งในท้องตลาด ณ ชั่วโมงนี้ เลยทีเดียว ด้วยการมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED Fluid Display ขนาด 6.55 นิ้ว ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ส่งผลให้การทัชสกรีน รวมถึงการเล่นเกมต่างๆ ดูลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งตัวเครื่องยังมีดีไซน์ที่ดูสวยหรูพรีเมียมด้วยการออกแบบที่เน้นไปในเรื่องของความเรียบง่าย แต่มากด้วยลูกเล่นด้านการใช้งาน

ด้านประสิทธิภาพการทำงานก็ถือว่า เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมเป็นอย่างมาก ด้วยขุมพลังตัวท็อปสุดแห่งปีอย่าง Snapdragon 855+ ประกบคู่กับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4x สุดแรงขนาด 8GB , หน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.0 2-Lane ขนาดกำลังพอดีที่ 128GB ช่วยให้การอ่านเขียนข้อมูลภายในตัวเครื่อง รวมไปถึงการเปิดแอปพลิเคชันทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3800mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ Warp Charge 30T ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 70% ภายในเวลาที่รวดเร็วเพียง 30 นาที หรือหากจะนำสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ไปใช้งานด้านอื่นๆ เช่น การเล่นโซเชียลมีเดีย หรือการทำงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้สเปกที่แรงพอตัว ก็ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน

ด้านการถ่ายภาพถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยการให้กล้องหลังมา ครบทุกระยะ ตั้งแต่กล้องหลักที่มีความละเอียดมากถึง 48 ล้านพิกเซล , กล้องเลนส์มุมกว้างแบบ Ultra Wide ไปจนถึงกล้องเลนส์ซูม Telephoto พร้อมทั้งยังมีโหมดการถ่ายภาพที่เอื้อต่อการบันทึกภาพความประทับใจในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Nightscape สำหรับถ่ายภาพกลางคืนให้สวยแบบง่ายๆ ในเวลาไม่กี่วินาที หรือ Super Macro ที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้ใกล้กว่าที่เคย

นอกเหนือจากสเปกที่แรงแล้ว ฟีเจอร์ด้านอื่นก็ต้องตอบโจทย์การใช้งานผู้ใช้ทุกระดับ ซึ่งทาง OnePlus ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการติดตั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Android 10 ครอบทับด้วย OxygenOS 10 มาให้ตั้งแต่แกะกล่อง พร้อมฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Reading Mode ที่ช่วยปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอเพื่อป้องกันอาการล้าของสายตาขณะอ่านคอนเทนต์, ระบบเสียง Dolby Atmos ที่ช่วยขับเสียงของ ลำโพงคู่ ให้กระหึ่มมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงฟังก์ชันการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอที่ปลดล็อกได้รวดเร็วกว่าที่เคย

เมื่อเทียบคุณสมบัติกับราคาวางจำหน่ายของ OnePlus 7T ที่ 17,990 บาท แล้ว ก็อาจเรียกได้ว่า OnePlus 7T เป็นสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงราคาไม่ถึง 20,000 บาท ที่ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์, ผู้ที่ต้องการมือถือสเปกแรง รวมไปถึงผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพบนมือถือได้เป็นอย่างดี

สำหรับ OnePlus 7T จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยผ่านทาง AIS, JD Central และ Lazada ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ด้วยราคาวางจำหน่าย 17,990 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Glacier Blue และสี Frosted Silver มีให้เลือกเพียงรุ่นความจุเดียวคือ รุ่น RAM 8GB + ROM 128GB

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OnePlus ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OnePlus 7T มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ OnePlus 7T

- ดีไซน์ตัวเครื่องกระจก 3D Gorilla Glass ขอบโค้ง พร้อมกระบวนการขึ้นรูปแบบ Unibody และการเคลือบสีผิวแบบ Matted Frosted Glass - หน้าจอแสดงผล AMOLED Fluid Display ขนาด 6.55 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2400x1080 พิกเซล (Full HD+) และครอบทับด้วยกระจก 2.5D Gorilla Glass พร้อมค่า Refresh Rate ที่ระดับ 90Hz - ค่าความสว่างของหน้าจอสูงสุดที่ 1,000nits - รองรับการแสดงผลตามมาตรฐาน HDR10+ - รองรับการแสดงสีสันตามขอบเขตสีแบบ sRGB และ DCI-P3 - ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 855+ - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 640 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x ขนาดสูงสุด 8GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.0 2-Lane ขนาด 128GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย OxygenOS 10 - กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 48+12+16 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle และ Telephoto รูรับแสงกว้าง f/1.6+f/2.2+f/2.2 พร้อมฟีเจอร์ Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ, ฟีเจอร์ Nightscape  สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง และฟีเจอร์ Super Macro สำหรับถ่ายภาพในระยะใกล้สุด 2.5 เซนติเมตร - UltraShot Engine สำหรับปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น - ระบบโฟกัสภาพแบบ Multi Autofocus ประกอบไปด้วย PDAF และ CAF - กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 พร้อมฟีเจอร์ Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ - ลำโพงคู่ Stereo Speakers พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) - ระบบสแกนใบหน้า (Face Recognition) - ลำโพงคู่ Stereo Speakers พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos - ฟังก์ชัน Parallel Apps สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน Reading Mode สำหรับปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้เหมาะแก่การอ่านหนังสือ หรือการเล่นสมาร์ทโฟนในสภาวะแสงน้อย - ฟังก์ชัน Fnatic Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพเพื่อการเล่นเกม - ฟังก์ชัน Zen Mode เพื่อช่วยให้ผู้ใช้พักจากการใช้งานสมาร์ทโฟนตามเวลาที่กำหนด - ระบบ Haptic Vibration ที่ช่วยให้การสั่นทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม - ปุ่ม Alert Slider สำหรับปรับรูปแบบการแจ้งเตือนได้อย่างรวดเร็ว - แบตเตอรี่ความจุ 3800mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ Warp Charge 30T - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi Dual Band - รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย, Beidou ของประเทศจีน และ GALILEO ของสหภาพยุโรป - ราคาวางจำหน่ายเพียง 17,990 บาท

Leave a Comment