รีวิว Redmi Note 8 Pro สมาร์ทโฟน 4 กล้อง 64MP พร้อมชิปเกมมิ่งตัวแรง, แบตชาร์จเร็วสุดอึด และจออย่างใหญ่ ในราคาแค่หลักพัน :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟน 4 กล้อง 64MP รุ่นแรก พร้อมชิปเกมมิ่งตัวแรง, แบตชาร์จเร็วสุดอึด และจออย่างใหญ่ ในราคาคุ้มค่าแค่หลักพัน ด้วยกล้อง Quad Camera 64 ล้านพิกเซล ผสานกล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล, จอ Dot Drop Display FHD+ ใหญ่ 6.53 นิ้ว, ชิปเซ็ต Helio G90T เพื่อคอเกมตัวจริง, RAM 6GB, ROM สูงสุด 128GB และแบตเตอรี่ชาร์จเร็ว 4500 mAh บนบอดี้ 3D กระจกโค้ง 4 ด้านที่ไม่กลัวน้ำ ในราคาเริ่มเพียง 7,999 บาท

1 พฤศจิกายน 2019 - ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าสมาร์ทโฟนระดับกลางเริ่มมีเพดานสเปกที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์กล้องถ่ายรูปที่มีวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดจนสามารถเทียบชั้นกับ สมาร์ทโฟนเรือธงได้อย่างสูสี ทำให้มีสมาร์ทโฟนราคาหลักพัน ถึงหมื่นต้นๆ เปิดตัวมากับกล้อง 3 ตัว หรือ 4 ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ บางรุ่นก็มากับกล้องที่มีความละเอียดสูงเกิน 48 ล้านพิกเซล และหนึ่งในนั้นคือ Redmi Note 8 Pro สมาร์ทโฟนราคาหลักพันตัวคุ้มรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังถูกพูดถึงกันมากในช่วงนี้ครับ

ด้วยคุณสมบัติที่กล่าวไปข้างต้น เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนสเปกดีราคาคุ้มค่าอีกรุ่นหนึ่งที่น่าจับตามองทีเดียว และในโอกาสนี้ Redmi Note 8 Pro ก็ได้มาอยู่ในมือของทีมงาน Thaimobilecenter เรียบร้อยแล้ว เราไปดูกันดีกว่าว่า สมาร์ทโฟนกล้อง 64 ล้านรุ่นนี้จะใช้งานได้ดีอย่างที่ทาง Xiaomi โปรโมตไว้หรือไม่ครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

Redmi Note 8 Pro มีหน้าจอแสดงผลประเภท IPS LCD กว้าง 6.53 นิ้ว แบบ Dot Drop Full Screen Display ซึ่งมีรอยบากทรงหยดน้ำที่ขอบด้านบน อัตราส่วนการแสดงผล 19.5:9 รองรับความละเอียดสูงสุด 2340 x 1080 พิกเซล (FHD+) นอกจากนี้ ตัวเครื่องทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ยังครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ด้วย

ตัวเครื่องด้านหลังเป็นกระจก Gorilla Glass 5 แข็งแกร่งเงางาม พร้อมดีไซน์โค้งมน 4 ด้านแบบ 4-Sided 3D Curved ไล่เฉดสีจากเข้มไปอ่อน บริเวณกึ่งกลางมีกล้องหลัง 4 ตัวจัดวางในแนวตั้ง โดยกล้องตัวที่ 4 จะอยู่แยกออกมาอยู่คู่กับไฟแฟลช LED ด้านข้าง พร้อมด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ฐานกล้องนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องพอสมควร สำหรับเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็น สี เขียว Forest Green

กล้องดิจิทัลด้านหน้ามีความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/2.0 ไม่มีไฟแฟลช

กล้องดิจิทัลด้านหลังทั้ง 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบด้วย :

กล้องหลักเลนส์ Wide เซ็นเซอร์รับภาพ CMOS 4-in-1 Super Pixel ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล มุมมองกว้าง 79 องศา รูรับแสง f/1.89

กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมมองกว้าง 120 องศา รูรับแสง f/2.2

กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra-Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ระยะโฟกัสใกล้สุด 2 เซนติเมตร

กล้องตัวที่ 4 Depth Sensor ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล

ขอบทั้ง 4 ด้านของ Redmi Note 9 Pro มีความโค้งเว้ารับกับอุ้งมือด้วยดีไซน์แบบ 3D Curve ขอบด้านซ้ายมีถาดใส่ซิมการ์ด ส่วนขอบด้านขวามีปุ่ม Power (ปุ่มสั้น) และปุ่มปรับระดับเสียง (ปุ่มยาว)

ขอบด้านบนมีช่อง IR Blaster สำหรับยิงแสงอินฟาเรดเพื่อใช้เป็นรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ส่วนขอบด้านล่างมีช่องลำโพง, ไมโครโฟนหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์

Redmi Note 8 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย MIUI 10 ซึ่งเป็น Custom UI เฉพาะของสมาร์ทโฟนตระกูล Mi และ Redmi

เมื่อเข้ามาในหน้าเริ่มต้น จะพบกับแอปพลิเคชันหลักๆ ที่ใช้บ่อย และแถบค้นหาของ Google และหากปัดนิ้วบนหน้าจอหลักไปทางซ้าย จะเจอกับรายการแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ในเครื่อง หากจำนวนแอปแสดงจนเต็มหน้า ก็จะเพิ่มหน้าใหม่โดยอัตโนมัติไปเรื่อยๆ

เมื่อปัดนิ้วจากขอบด้านบนของหน้าจอ ลงมาจะเป็นการเปิด แถบแจ้งเตือน ซึ่งเราสามารถกดที่การแจ้งเตือนเพื่อเข้าสู่แอปพลิเคชันนั้นๆ ได้ทันที และเมื่อปัดลงอีกครั้งจะเป็นการขยาย เมนูปุ่มลัด สำหรับ การตั้งค่าที่ใช้บ่อยๆ เช่น เปิด-ปิด WiFi, เปิด-ปิด Bluetooth, หมุนหน้าจออัตโนมัติ, ปรับความสว่างของหน้าจอ เป็นต้น

เมื่อกดปุ่ม แอปล่าสุด ตรงแถบนำทางด้านล่าง จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดค้างไว้ เราสามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้ด้วยการปัดหน้าต่างแอปนั้นไปด้านข้างทีละ ตัว หรือจะกดเครื่องหมาย X เพื่อปิดทุกแอปทันที (ยกเว้นแอปที่กำลังใช้งานอยู่) ก็ได้

เมื่อกดที่ แบ่งหน้าจอเป็นสองส่วน มุมซ้ายบน จะเข้าสู่โหมดการใช้งาน 2 แอปพร้อมกัน โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน อย่างไรก็ดี แอปพลิเคชันบางอย่างยังไม่สามารถเปิดแบบแบ่งหน้าจอได้

เมื่อกดค้างที่บนพื้นที่ว่างในหน้าจอเริ่มต้นสักครู่ จะเข้าสู่การปรับแต่งหน้าจอ ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลัง, เพิ่ม-ลบวิดเจ็ตบนหน้าจอ และตั้งค่าปลีกย่อยอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถจัดกลุ่ม หรือถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันพร้อมกันหลายๆ แอปพลิเคชันได้ด้วย

นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าการแสดงผลอื่นๆ ได้อีก เช่น การเปิดใช้ โหมด อ่าน ที่จะทำให้หน้าจอมีโทนสีอุ่นขึ้นเพื่อช่วยถนอมสายตาเมื่ออ่านหนังสือบนจอ ซึ่งสามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติ และปรับความเข้มได้ หรือ โหมด มืด ที่จะเปลี่ยน UI เป็นสีดำ เพื่อช่วยลดอาการปวดตาเมื่อใช้งานในที่มืด เป็นต้น

หากใครไม่ชอบรอยบากบนหน้าจอ สามารถเลือกซ่อนรอยบากได้ โดยจะมีแถบสีดำปรากฏขึ้นมาบนขอบจอด้านบน ทำให้ดูเหมือนขอบจอหนาขึ้น และไม่มีรอยบาก หรือจะเลือกซ่อนรอยบากอัตโนมัติเมื่อใช้งานแอปพลิเคชันบางตัวก็ได้

สำหรับการจัดการไฟล์ต่างๆ ในตัวเครื่อง สามารถทำได้ด้วยแอปพลิเคชัน ตัว จัดการไฟล์ ซึ่งติดตั้งมาให้จากโรงงาน โดยจะมีการแยกหมวดหมู่ตามประเภทของไฟล์ และแสดงพื้นที่หน่วยความจำที่เหลืออยู่ พร้อมตัวเลือกทำความสะอาดไฟล์ขยะ

สำหรับแอปพลิเคชัน ความปลอดภัย เป็นแอปพลิเคชันสำหรับบำรุงรักษาระบบให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ โดยมีตัวเลือกให้ทำความสะอาดไฟล์ขยะ, สแกนไวรัส, จัดการแบตเตอรี่, ล้างหน่วยความจำ, จัดการแอป และฟีเจอร์รักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว เราสามารถกดที่ เพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อปรับแต่งระบบให้ดีที่สุดโดยอัตโนมัติ แต่การเปลี่ยนค่าบางอย่างแอปจะให้เราตัดสินใจเองว่าจะเปลี่ยนค่าหรือไม่

ในตัวเลือก ทำความสะอาด แอปจะสแกนหาไฟล์ขยะ และไฟล์ชั่วคราวในเครื่อง ซึ่งเราสามารถลบทิ้งได้ทั้งหมดโดยไม่กระทบการทำงานของตัวเครื่อง และยังมีตัวเลือก ทำความสะอาดเชิงลึก ที่อนุญาตให้เราลบไฟล์ชั่วคราวของแอปพลิเคชันอย่าง Facebook หรือ WhatsApp และถอนการติดตั้งไฟล์ที่เราไม่ค่อยได้ใช้งานอีกด้วย

ในตัวเลือก เพิ่มความเร็ว จะเป็นการเคลียร์หน่วยความจำ RAM ด้วยการปิดแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลังทั้งหมด เพื่อให้ระบบกลับมาทำงานรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพ

ในตัวเลือก แบตเตอรี่ จะเป็นการจัดการเกี่ยวกับแบตเตอรี่ ซึ่งมีการแสดงปริมาณแบตเตอรี่ และเวลาการใช้งานที่เหลืออยู่ หากกดที่ เพิ่มประสิทธิภาพ แอปจะปรับแต่งระบบให้ใช้ประหยัดพลังงานที่สุดโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเสนอการตั้งค่าบางอย่างให้เราเลือกปรับแต่งด้วยตัวเอง เช่น ปิดแอปบางตัวที่ใช้พลังงานมาก หรือปิด GPS ในกรณีที่ไม่ได้ใช้งาน เป็นต้น

สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่องได้ เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ยิ่งขึ้นในช่วงที่ไม่ได้ใช้งาน

ตัวประหยัดแบตเตอรี่ เป็นโหมดประหยัดพลังงานที่จะจำกัดการทำงานของระบบบางอย่าง เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ ซึ่งเราสามารถเลือกตั้งเวลาเปิด-ปิดการใช้งานโดยอัตโนมัติ และเลือกให้ปิดการใช้งานเมื่อเสียบชาร์จได้

และเรายังตรวจสอบการใช้แบตเตอรี่ของแอปพลิเคชันแต่ละตัว หรือฮาร์ดแวร์แต่ละส่วนได้ด้วย

ในตัวเลือก จัดการแอป จะอนุญาตให้เราถอนการติดตั้ง และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงของแอปต่างๆ ได้

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน แอปโคลน ที่ช่วยให้เราสามารถใช้แอปหลายบัญชีได้ในเครื่องเดียว และยังโคลนได้ทุกแอป ไม่ว่าจะเป็น Facebook, LINE หรือแม้แต่เกมอย่าง PUGB Mobile โดยแอปที่เราโคลนจะถูกก็อปปี้แยกออกมา และมีสัญลักษณ์สีเหลืองอยู่ที่มุมล่างซ้ายของไอคอนแอป ดังที่เห็นในภาพตัวอย่าง

นอกจากการจัดการระบบทั่วไปแล้ว ยังมีฟีเจอร์ปรับแต่งเชิงลึกอีกหลายอย่างด้วยกัน

ใน การใช้งานข้อมูล เราสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตในแต่ละเดือนได้ พร้อมทั้งตั้งเพดานการใช้ข้อมูลได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้อินเทอร์เน็ตเกินแพ็คเกจ

สามารถจัดการได้ว่าจะให้แต่ละแอปใช้ 4G จากซิม 1 หรือ ซิม 2 หรือทั้งสองซิม และยังดูได้อีกว่าแต่ละแอปใช้ 4G ของแต่ละซิมไปเท่าไหร่

ส่วน การล็อกแอป จะเป็นการล็อกแอปที่เราเลือกด้วยรหัสผ่าน ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้อีกระดับ

หากรู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร สามารถตรวจสอบความเร็วของเครือข่ายได้ด้วย การทดสอบเครือข่าย ซึ่งจะทดสอบและแสดงความเร็วการดาวน์โหลด-อัปโหลดโดยรวม และแยกแต่ละแอปพลิเคชันให้เราเห็นอย่างละเอียด

ส่วน พื้นที่ทับซ้อน จะเป็นการจำลองพื้นที่ในเครื่องให้แยกออกมาจากระบบหลัก ทั้งไฟล์ และแอปต่างๆ ของระบบหลัก จะแยกกับพื้นที่ทับซ้อนอย่างเด็ดขาด เสมือนว่ามีสมาร์ทโฟน 2 เครื่องในเครื่องเดียว เป็นฟีเจอร์ที่พลิกแพลงการใช้งานได้หลายแบบ เช่น แบ่งการใช้งานระหว่างการใช้งานส่วนตัวกับการทำงานอย่างเด็ดขาด หรือแบ่งการใช้งานหลายคน เป็นต้น

สำหรับตัวเลือกด้านความปลอดภัย Redmi Note 8 Pro รองรับการสแกนลายนิ้วมือ โดยมีเซ็นเซอร์อยู่ด้านหลังตัวเครื่อง สามารถใช้ยืนยันตัวตนเพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง หรือใช้แทนรหัสผ่านในแอปพลิเคชันต่างๆ ได้

และยังรองรับ ระบบสแกนใบหน้า ให้ใช้งานคู่ไปกับการส แกนนิ้วด้วย ซึ่งวิธีนี้จะปลดล็อกได้เร็วกว่า แต่อาจจะไม่รัดกุมเท่า เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว

แอปพลิเคชันแกลเลอรีที่ใช้ดูรูปภาพ มีฟังก์ชันในการปรับแต่งรูปค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่คร็อปตัด, หมุนปรับองศา, ใส่ฟิลเตอร์ และปรับแสงเงา เป็นต้น

และที่น่าสนใจคือ สามารถเปลี่ยนท้องฟ้าในรูปได้ โดยการปรับแต่งนี้จะอยู่ในส่วน ฟิลเตอร์ > ท้องฟ้า และมีท้องฟ้าให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าปลอดโปร่ง, ท้องฟ้ายามพลบค่ำ หรือท้องฟ้าสีทองยามพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมทั้งเปลี่ยนโทนสีของภาพให้เข้ากับเมฆด้วย ช่วยให้เราเปลี่ยนท้องฟ้าสีหม่นให้เป็นท้องฟ้าสดใส และพลิกอารมณ์ภาพได้ง่ายๆ ด้วยปลายนิ้ว

ในส่วนของการท่องอินเทอร์เน็ต Redmi Note 8 Pro มีเบราว์เซอร์ของตัวเองติดตั้งมาจากโรงงาน ซึ่งมีการออกแบบหน้าอินเทอร์เฟซที่ใช้งานไม่ยาก และมีการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ถูกต้อง และทำงานได้รวดเร็วไม่แพ้เบราว์เซอร์ยอดนิยมอื่นๆ

แอปพลิเคชันฟังเพลงของ Redmi Note 8 Pro มีหน้าตาเรียบง่าย ไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรมากนัก แต่รองรับการใช้งานพื้นฐานได้ครบถ้วน เช่นการสร้างเพลย์ลิสต์ และตั้งเพลงเป็นเสียงเรียกเข้า เป็นต้น

แอปพลิเคชันเล่นวิดีโอก็มีหน้าตาที่เรียบง่ายเช่นกัน แต่มีลูกเล่นเยอะพอสมควร ทั้งการจับภาพสกรีนช็อต, การล็อกหน้าจอ, การแคสต์ภาพขึ้นบนอุปกรณ์อื่น และการตั้งค่าปลีกย่อยต่างๆ

สามารถเลือกเปิดซับไตเติ้ลได้หากเรามีไฟล์ซับไตเติ้ลอยู่ในเครื่อง พร้อมทั้งเลือกขนาดตัวอักษรได้ 3 ขนาด และเลือกสีได้

มีตัวเลือกให้ปรับระดับความเร็วการเล่นได้ 5 ระดับ รวมถึงปรับระดับเสียง, ความสว่าง และเปิดการแสดงผลแบบเต็มจอ

ตัวอย่างการแสดงผลแบบปกติ

ตัวอย่างการแสดงผลเต็มจอแบบ มีรอยบาก ซึ่งภาพจะถูกยืดออกจนเต็มจอ โดยมีรอยบากยื่นเข้ามาบังภาพบางส่วน

ตัวอย่างการแสดงผลเต็มจอแบบ ไม่มีรอยบาก ซึ่งมีการยืดภาพออกจนเต็มจอ แต่จะมีแถบสีดำคาดทับรอยบากเอาไว้ เพื่อไม่ให้ยื่นเข้ามาบังภาพ

ในส่วนของการเล่นเกมนั้น Redmi Note 8 Pro มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Game Boost 2.0 ซึ่งช่วยเร่งความเร็วของตัวเครื่องระหว่างเล่นเกม และปิดกั้นการแจ้งเตือน โดยเราสามารถเพิ่มแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่ไม่ใช่เกมเข้าไปใน Game Boost 2.0 ได้ด้วย

เกมหรือแอปพลิเคชันที่ถูกเพิ่มเข้าไปใน Game Boost 2.0 จะสามารถเปิดแถบเมนูพิเศษขึ้นมาได้ด้วยการปัดนิ้วจากมุมซ้ายบนของหน้าจอ

เมื่อกดที่ไอคอนลูกโลก จะเปิดหน้าต่างเว็บเบราว์เซอร์แบบลอย ซึ่งสามารถปรับขนาด และย้ายหน้าต่างได้ ช่วยให้เราดูข้อมูลบางอย่างระหว่างเล่นเกมได้โดยไม่ต้องสลับหน้าจอออกจากเกม

และยังเปิด Facebook ขึ้นมาได้ด้วย แต่ในการใช้งานจริงจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่

อีกทั้งยังมีฟังก์ชันในการปิดหน้าจอโดยที่เกมยังคงรันอยู่ตามปกติ เหมาะสำหรับเกมที่มีระบบบอท ซึ่งจะช่วยลดการใช้แบตเตอรี่ และปล่อยบอทได้นานยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยยังมีเมนูย่อยให้ใช้งานอีก โดยเป็นทางลัดในการเปิด-ปิด WiFi, เปิด-ปิด 4G และอื่นๆ โดยที่เราไม่ต้องสลับหน้าจอออกไปที่การตั้งค่า

ในการรีวิวครั้งนี้ ทางทีมงานได้เลือกเกมมาทดสอบ 3 เกมด้วยกัน ได้แก่ Call of Duty Mobile, RoV และ PUBG Mobile ซึ่งสามารถ เปิด กราฟิกระดับสูงได้ทุกเกม และมีเฟรมเรตคงที่ตลอดการเล่น โดยเฉพาะเกม RoV นั้นสามารถเปิดกราฟิกสูงสุดได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโหมดเหรมเรตสูง, ภาพ HD, เอฟเฟ็กต์หมอก หรือการสั่นไหวของหญ้าในฉาก โดยยังรักษาเฟรมเรตไว้ที่ 58-60 fps ตลอดการเล่น นับว่าค่อนข้างเกินความคาดหมายสำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลางราคาไม่ถึง 10,000 บาท แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของชิปเซ็ตเล่นเกมตัวใหม่ล่าสุดอย่าง MediaTek Helio G90T ได้เป็นอย่างดี ทำให้ Redmi Note 8 Pro เป็นสมาร์ทโหนเล่นเกมราคาประหยัดอีกรุ่นหนึ่งที่จับตามอง อย่างไรก็ดี ยัง คงรู้สึกได้ถึงความร้อนเมื่อเล่นติดต่อกันในระยะหนึ่ง แม้จะมีระบบระบายความร้อนแบบ LiquidCool ก็ตามครับ

Redmi Note 8 Pro วัดค่า benchmark จากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ได้ 228629 คะแนน และจากแอปพลิเคชัน Geekbench 5 ได้ 505 คะแนนสำหรับการประมวลผลแกนเดี่ยว (Single-Core) และ 1639 คะแนนสำหรับการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ส่วนการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 2380 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 2457 คะแนน และจากแอปพลิเคชัน PCMark ได้ 10421 คะแนน

Redmi Note 8 Pro ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek G90T (MT6785V/CC) แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.0 GHz มีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G76 MC4 , หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128 GB

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Redmi Note 8 Pro นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

ระบบ GPS สามารถจับสัญญาณดาวเทียมในที่กลางแจ้งได้ดี โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 46 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 2 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสภาพอากาศด้วย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา

การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

กล้องถ่ายภาพด้านหลังของ Redmi Note 8 Pro เป็น กล้องหลังแบบ 4 ตัว (Quad Camera) ซึ่งประกอบด้วย :

กล้องหลักเลนส์ Wide Angle เซ็นเซอร์รับภาพ CMOS 4-in-1 Super Pixel ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล มุมมองกว้าง 79 องศา รูรับแสง f/1.89

กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมมองกว้าง 120 องศา รูรับแสง f/2.2

กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra-Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ระยะโฟกัสใกล้สุด 2 เซนติเมตร

กล้องตัวที่ 4 Depth Sensor ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล

ทั้งนี้ ถึงแม้เซ็นเซอร์รับภาพตัวหลักจะมีความละเอียด 64 ล้านพิกเซล แต่ รูปที่ถ่ายออกมาจะมีความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล เนื่องจาดเทคโนโลยี Super Pixel จะรวม 4 พิกเซลเข้าเป็น 1 พิกเซล เพื่อให้รับแสงได้มากขึ้น ส่งผลให้ภาพคมชัดกว่าปกติ แต่ความละเอียดจะลดลง อย่างไรก็ตาม เราสามารถเลือกถ่ายรูปแบบเต็มความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (9248 x 6936 พิกเซล) ได้ แต่รายละเอียดของรูปจะไม่ค่อยคม และมี Noise มากกว่าปกติ หากต้องการถ่ายแบบ 64 ล้านพิกเซล ควรถ่ายในสภาวะที่มีแสงเพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด Noise บนภาพครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 64+8+2+2 ล้านพิกเซล

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติแบบมุมกว้าง เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติแบบมุมกว้าง เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR พร้อมแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ท้องฟ้าแบบ "มีเมฆมาก"

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR พร้อมแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ท้องฟ้าแบบ "เรืองแสง"

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR พร้อมแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์ท้องฟ้าแบบ "พระอาทิตย์ตก"

ถ่ายด้วยโหมดมาโคร เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดมาโคร เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมดกลางคืน

ถ่ายด้วยโหมดกลางคืน

ถ่ายด้วยโหมดกลางคืน

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมด 64 ล้านพิกเซล

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR

ถ่ายด้วยโหมด 64 ล้านพิกเซล

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR ไม่เปิดบิวตี้

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR พร้อมเปิดบิวตี้ระดับกลาง

ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection และเปิด Auto HDR พร้อมเปิดบิวตี้ระดับสูงสด

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง และไม่มีบิวตี้

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง และเปิดบิวตี้ระดับกลาง

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง และเปิดบิวตี้ระดับสูงสุด

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง และไม่มีบิวตี้

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง และเปิดบิวตี้ระดับกลาง

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง และเปิดบิวตี้ระดับสูงสุด

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง เปิดบิวตี้ระดับกลาง และเปิด เอฟเฟกต์ 3D Lighting แบบ "ธรรมชาติ"

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง เปิดบิวตี้ระดับกลาง และเปิด เอฟเฟกต์ 3D Lighting แบบ "ไฟเวที"

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง เปิดบิวตี้ระดับกลาง และเปิด เอฟเฟกต์ 3D Lighting แบบ "ภาพยนตร์"

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง เปิดบิวตี้ระดับกลาง และเปิด เอฟเฟกต์ 3D Lighting แบบ "รุ้ง"

ถ่ายด้วยโหมดภาพบุคคล เปิดใช้ระบบ AI Scene Detection ปรับความเบลอระดับกลาง เปิดบิวตี้ระดับกลาง และเปิด เอฟเฟกต์ 3D Lighting แบบ "ผ้าม่าน"

สรุปผลการทดสอบของ Redmi Note 8 Pro

Redmi Note 8 Pro ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีความสามารถคุ้มค่าตัวเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป, การเล่นเกม หรือการถ่ายรูป และเป็นมือถืออีกรุ่นหนึ่งที่น่าจับตามองในช่วงปลายปีนี้ โดยความสามารถด้านการถ่ายรูปที่เป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้ เรียกได้ว่าไม่ทำให้ผิดหวัง สามารถเก็บรายละเอียดได้ดี และแสดงสีสันได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่ทั้งนี้ ภาพที่ถ่ายจะมีความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล เนื่องจากเซ็นเซอร์รับภาพ ISOCELL GW1 ของ Samsung ที่มีความละเอียด 64 ล้านพิกเซล นั้น ใช้เทคโนโลยี 4-in-1 Super Pixel ที่รวมพิกเซล 4 จุดเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ภาพมีความละเอียดลดลง 4 เท่า แต่มีรายละเอียดที่คมชัดยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี หากต้องการถ่ายภาพที่ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ก็สามารถทำได้ ซึ่งจะได้ภาพขนาด 9248x6936 พิกเซล แต่ภาพจะมีโอกาสเกิด Noise ได้ง่ายขึ้น จึงเหมาะกับการถ่ายในเวลากลางวันที่มีแสงเพียงพอ มากกว่าที่จะถ่ายในที่ร่ม หรือในเวลากลางคืน

นอกจากกล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซลแล้ว Redmi Note 8 Pro ยังมีกล้องรองอีกถึง 3 ตัว ได้แก่กล้องเลนส์ Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล , กล้องเลนส์ Ultra-Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และกล้อง Depth Sensor ความ ละเอียด 2 ล้านพิกเซล ทำให้ถ่ายภาพทั้งแบบมุมกว้าง และแบบมาโครได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริมใดๆ อีกทั้งโหมดมาโครยังสามารถถ่ายได้ ใกล้สุดถึง 2 เซนติเมตร ซึ่ง ใกล้กว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะทำได้ใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตรเท่านั้น จึงเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้ Redmi Note 8 Pro โดดเด่นขึ้นมา

ในส่วนของโหมด Portrait นั้น นับว่าค่อนข้างน่าประทับใจ โดยสามารถแยกตัวแบบออกจากฉากหลังได้อย่างแนบเนียน พร้อมทั้งเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ และใส่ฟิลเตอร์ได้ทันที แต่ เอฟเฟกต์ 3D Lighting ค่อนข้างใช้ยาก และยังมีการประมวลผลไม่แม่นยำเท่าที่ควร จึงเหมาะจะเป็นลูกเล่นสนุกๆ มากกว่าจะนำไปใช้ตกแต่งภาพอย่างจริงจัง

สำหรับภาพถ่ายโหมดกลางคืน Redmi Note 8 Pro ทำได้ดีพอสมควร สามารถเกลี่ยความสว่างในภาพ และดึงรายละเอียดออกมาได้ค่อนข้างดี แต่คุณภาพจะขึ้นอยู่กับสภาวะแสงด้วย หากมืดเกินไป หรือสว่างเกินไป ภาพที่ได้อาจมีรายละเอียดไม่ดีมากนัก เป็นข้อจำกัดหนึ่งที่ผู้ใช้ต้องทำความคุ้นเคยเพื่อดึงประสิทธิภาพของโหมดนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่

นอกเหนือจากการถ่ายรูป จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Redmi Note 8 Pro คือการเป็นเกมมิ่งสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยา ซึ่งก็ทำได้ดีตามที่คาดหวังไว้ ด้วยชิปเซ็ต MediaTek Helio G90T ที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ พร้อมด้วย RAM 6 GB ทำให้รองรับเกมที่มีกราฟิกสูงๆ ได้แบบสบายๆ เกินสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นอื่นๆ แต่ทั้งนี้ ตัวเครื่องยังมีการสะสมความร้อนอยู่พอสมควร แม้จะมีระบบระบายความร้อนแบบ LiquidCool ที่ทาง Xiaomi เคลมว่าช่วยลดอุณหภูมิได้ 4-6 องศาเซลเซียสก็ตาม

สำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น Redmi Note 8 Pro สอบผ่านแบบสบายๆ ด้วยหน้าจอแบบ Dot Drop Full Screen Display ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล) ทำให้รองรับคอนเทนต์ความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์, เกม หรือโซเชียลมีเดีย, หน่วยความจำ ROM ขนาดสูงสุด 64/128 GB ที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน และเก็บไฟล์ได้มากพอสมควร, รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Hybrid Slot), แบตเตอรี่ขนาด 4,500 mAh พร้อมระบบชาร์จเร็ว 18W ที่ช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน รวมไปถึงฟีเจอร์อื่นๆ เช่นการโคลนแอปเพื่อเล่น 2 บัญชีในเครื่องเดียว หรือการสร้างพื้นที่ทับซ้อนสำหรับใช้งานระบบที่แยกกันอย่างเด็ดขาด และอื่นๆ ทำให้ Redmi Note 8 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนคู่ใจของเราได้ไม่ยาก

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สามารถกล่าวได้ว่า Redmi Note 8 Pro เป็นสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึง 10,000 บาท ที่ให้สเปกมาคุ้มค่าตัวมากๆ โดยมีความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพ ซึ่งมีลูกเล่น และโหมดการใช้งานครบครัน และยังเล่นเกมได้ดีอีกด้วย โดยรวมเหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ถ่ายรูปได้ดีพอตัว และเล่นเกมได้แบบลื่นๆ ในงบไม่เกิน 10,000 บาทครับ

Redmi Note 8 Pro วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว โดยมีให้เลือก 2 รุ่นความจุ ได้แก่ รุ่น 64 GB ราคา 7,999 บาท และ รุ่น 128 GB ราคา 8,999 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สี เขียว Forest Green , สีดำ Mineral Gray และ สี ขาว Pearl White สามารถเลือกซื้อกันได้ผ่านช่องทาง Offline และ Online ที่ Xiaomi Official Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย TG Fone, Banana IT, Kingkong, BKK, JD Central, Lazada และ Shopee

และยังมีจำหน่ายที่ AIS ในราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 4,699 บาท โดยเป็นการซื้อเครื่อง พร้อมสมัครแพ็กเกจเริ่มต้น 649 บาทขึ้นไป (จ่ายล่วงหน้า 2,000 บาท)

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ Xiaomi ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Redmi Note 8 Pro มาให้ทางทีมงานได้รีวิวกันในโอกาสนี้ด้วยครับ

จุดเด่นของ Redmi Note 8 Pro

- ดีไซน์ด้านหลังตัวเครื่องโค้งมน 4 ด้านแบบ 4-Sided 3D Curved พร้อมกระจก Gorilla Glass 5 ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง - ตัวเครื่องมีเทคโนโลยี Splash-Proof Coating พร้อมการซีลยางที่พอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ เพื่อป้องกันละอองน้ำ และป้องกันฝุ่น - เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ LiquidCool - หน้าจอแสดงผล IPS LCD แบบ Dot Drop Full Screen Display ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340 x 1080 พิกเซล) ในอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 19.5:9 โดยมีสัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 91.4% - ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G90T แบบ Octa-Core Processor ที่มีความเร็ว 2.05 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ ARM Mali G76 MC4 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB (LPDDR4X) - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64 หรือ 128 GB (UFS2.1) - รองรับการเพิ่มหน่วยความจำ ด้วยการ์ดแบบ microSD ได้สูงสุดขนาด 256GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie พร้อมครอบทับด้วย MIUI 10

- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบด้วย

กล้องหลักเลนส์ Wide Angle เซ็นเซอร์รับภาพ CMOS 4-in-1 Super Pixel ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล มุมมองกว้าง 79 องศา รูรับแสง f/1.89

กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8ล้านพิกเซล มุมมองกว้าง 120 องศา รูรับแสง f/2.2

กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra-Macro ความละเอียด 2ล้านพิกเซล ระยะโฟกัสใกล้สุด 2 เซนติเมตร

กล้องตัวที่ 4 Depth Sensor ความละเอียด 2ล้านพิกเซล

ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF/CDAF พร้อมไฟแฟลช LED ถ่ายรูปได้เต็มความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (9248 x6936 พิกเซล) มีระบบวิเคราะห์ภาพ AI Scene Detection 5.0, โหมด Portraitพร้อมเอฟเฟ็กต์ 3D Lighting และ ระบบตกแต่งหน้าสวย AI Beautify Pro,มีโหมดการถ่ายภาพกลางคืน (Ultra Nightscape Mode) พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K (30fps)

- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 รองรับโหมด, AI Beautify, AI Portrait, และ AI Studio Lighting และมีระบบวิเคราะห์ภาพ AI Scene Detection 5.0 พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด FHD 1080p (30fps)

- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังตัวเครื่อง - ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า - ฟีเจอร์ Mi Turbo จัดการทรัพยากรของตัวเครื่อง และปรับปรุงระบบให้ทำงานรวดเร็วอยู่เสมอ - แบตเตอรี่ความจุ 4,500 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง กำลังไฟ 18W - ฟีเจอร์ Game Turbo 2.0 ที่สามารถเร่งการประมวลผลตัวเกม ให้เร็วขึ้น พร้อมกับบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกม - รองรับการนำทาง และระบุตำแหน่งด้วยระบบดาวเทียม GPS, A-GPS, Galileo, GLONASS, Beidou - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G/4G+, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac , Bluetooth 5.0 - รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nano-SIM) (Hybrid Slot) - รองรับการสแตนด์บายแบบ Dual 4G LTE - ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร -  ราคา 7,999 บาท (รุ่น ROM 64GB) หรือ 8,999 บาท (รุ่น ROM 128GB) ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Redmi Note 8 Pro

- ชั้นนอกตัวเครื่องเป็นกระจกซึ่งมีความมันวาว จึงอาจเกิดคราบเปื้อน, คราบมัน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย - หน้าจออัตราส่วน 19.5:9 ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันทั้งหมดได้ - ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid-Slot ไม่สามารถใส่หน่วยความจำเสริม microSD พร้อมกับใช้งาน 2 ซิมการ์ดได้ - ตัวเครื่องยังมีการสะสมความร้อนเมื่อเล่นเกมติดต่อกันในช่วงเวลาหนึ่ง

Leave a Comment