รีวิว OPPO Band สายรัดข้อมืออัจฉริยะดีไซน์เรียบหรู คู่ใจสายสุขภาพ ฟีเจอร์ครบ กันน้ำได้ ในงบแค่หนึ่งพัน :: Thaimobilecenter.com

สายรัดข้อมืออัจฉริยะดีไซน์เรียบหรู คู่ใจสายสุขภาพ ฟีเจอร์ครบ กันน้ำได้ ในงบแค่หนึ่งพัน ด้วยเซนเซอร์ SpO2 วัดออกซิเจนในเลือด ผสานเซนเซอร์วัดหัวใจแบบ Real-Time, จอ AMOLED full-color Display, 12 โหมดออกกำลังกาย และแบตเตอรี่อึด 12 วัน บนบอดี้สวยปราดเปรียวที่กันน้ำลึก 50 เมตร ในราคาเพียง 1,199 บาท

22 เมษายน 2021 - ในยุคที่มีการแข่งขันสูงนี้ แต่ละแบรนด์ชั้นนำต่างก็เร่งพัฒนา พร้อมเปิดตัวมือถือรุ่นเด่น รวมถึงอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ ที่เป็น Ecosystem ของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับทาง OPPO ก็เช่นเดียวกัน ที่ล่าสุดนอกจากจะมีการเปิดตัวกลุ่มสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากตระกูล A Series แล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง OPPO Band เปิดตัวออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งออกแบบ และพัฒนามาเพื่อคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ ภายใต้สโลแกน “Activate Your Health”

OPPO Band สายรัดข้อมืออัจฉริยะ ที่มาในดีไซน์เรียบหรูดูทันสมัย สวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย รองรับฟังก์ชันสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมวัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งตอนออกกำลังกาย และขณะนอนหลับ ด้วยเซนเซอร์แบบ Optical ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำ อีกทั้งยังมี Workouts Mode ที่รองรับกีฬามากถึง 12 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นกีฬาพื้นฐานอย่างการวิ่ง (Run), วิ่งแบบเผาผลาญไขมัน (Fat Burn Run), เดิน (Walk), ปั่นจักรยาน (Cycling), แบดมินตัน (Badminton), โยคะ (Yoga), ว่ายน้ำ (Swimming) และอื่น ๆ โดยสามารถสวมใส่ OPPO Band ลงทำกิจกรรมในน้ำได้สบายหายห่วง ด้วย คุณสมบัติป้องกันน้ำที่ระดับ 5ATM ซึ่งป้องกันแรงดันน้ำได้ที่ระดับความลึก 50 เมตร

OPPO Band มีหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบโค้งมน รองรับการสั่งงานด้วยระบบสัมผัส พร้อมจอแสดงผลแบบ AMOLED full-color Display ขนาด 1.1 นิ้ว ที่มีขนาดกำลังพอดีข้อมือ ไม่เล็ก หรือใหญ่จนเกินไป อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย เรียกว่ามีความคล่องตัวสูง และใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ความจุ 100 mAh ที่ สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 12 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล) โดยมากับแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก ที่สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ภายใน 1.5 ชั่วโมง และรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วย Bluetooth 5.0

สำหรับ OPPO Band เปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่เพียง 1,199 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ใครก็สามารถจับต้องได้ง่าย ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านติดตามการ รีวิว OPPO Band ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์ของ OPPO Band

OPPO Band มาในแพ็กเกจสีขาวสะอาดตา

โดยที่ด้านหลังมีการระบุถึงฟีเจอร์เด่นไว้อย่าง ชัดเจน

สำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่องประกอบไป ด้วยตัวนาฬิกา OPPO Band, คู่มือการใช้งาน และแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก

ตัวเรือนของ OPPO Band มาในดีไซน์เรียบหรู มีรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบโค้งมน โดยมีหน้าปัดขนาด 1.1 นิ้ว แบบ AMOLED full-color Display รองรับการแสดงผลสี ความละเอียดระดับ 126x294 พิกเซล ครอบทับด้วยกระจกกันรอย 2.5D พร้อมรองรับระบบสัมผัส โดยใช้วัสดุแบบอะลูมิเนียมอัลลอยด์

ที่ด้านหลังตัวเรือนมีเซนเซอร์ตรวจวัดความเร็วแบบ 3-Axis พร้อมเซนเซอร์แบบ Optical สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และค่าออกซิเจนในเลือด (SpO2)

ที่ด้านข้างตัวเรือนมีเพียงขอเกี่ยวสาย ซึ่งไม่มีปุ่มสั่งการใด ๆ

สำหรับ OPPO Band ที่ทางทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันในวันนี้ มีตัวเรือน และสายซิลิโคนสีดำที่มีความนุ่ม และยืดหยุ่นสูง สามารถใส่เป็นระยะเวลานานได้โดยที่ไม่เกิดอาการระคายเคืองต่อผิว และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ตอบโจทย์การนำไปใช้ออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ OPPO Band ยังรองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำที่ระดับ 5ATM โดยป้องกันแรงดันน้ำได้ที่ระดับความลึก 50 เมตร จึงสามารถใส่ลงไปว่ายน้ำได้แบบสบาย ๆ

OPPO Band มาพร้อมแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก ซึ่งสามารถยึดตัวเรือน OPPO Band ให้เข้าตำแหน่งที่ถูกต้องได้ เรียกได้ว่าสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0-100% ได้ในเวลา 1.5 ชั่วโมง

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของ OPPO Band

OPPO Band มาพร้อมหน้าปัดระบบสัมผัส ไร้ซึ่งปุ่มกดใด ๆ พร้อมการแสดงผลสีแบบ AMOLED full-color Display คมชัดระดับ 126x294 พิกเซล โดยสามารถสั่งการต่าง ๆ ได้เพียงลากนิ้วไปมา และกดย้อนกลับ (Back) ได้ด้วยการปัดจากด้านซ้ายไปขวา

เมื่อแตะที่หน้าจอจะเข้าสู่หน้าบันทึกจำนวนก้าว เดินในแต่ละวัน พร้อมแคลอรี่ที่เผาผลาญไป

เมื่อปัดนิ้วจากล่างขึ้นบน จะพบกับเมนู Daily Activity ในการบันทึกกิจวัตรประจำวัน

ถัดไปเป็น Workouts สำหรับบันทึกการออกกำลังกาย ทั้งหมด 12 รูปแบบ ได้แก่ โหมดวิ่งกลางแจ้ง (Outdoor Run), โหมดวิ่งในที่ร่ม (Indoor Run), โหมดวิ่งเผาผลาญไขมัน (Fat Burn Run), โหมดเดินกลางแจ้ง (Outdoor Walk), โหมดปั่นจักรยานกลางแจ้ง (Outdoor Cycling), โหมดปั่นจักรยานในที่ร่ม (Indoor Cycling), โหมดเครื่องเดินวงรี (Elliptical), โหมดพายเรือ (Rowing), โหมดคริกเกต (Cricket), โหมดแบดมินตัน (Badminton), โหมดว่ายน้ำ (Swimming) และโหมดโยคะ(Yoga)

เมื่อกดเลือกกิจกรรมแล้ว จะเริ่มการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ทันที ได้แก่ ความเร็ว, อัตราการเต้นของหัวใจ, ระยะเวลา, ระยะทาง, แคลอรี่ที่เผาผลาญ, จำนวนก้าว และค่าเฉลี่ยการก้าวเท้า (สำหรับการเดิน/วิ่ง)

ต่อมาเป็นการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ โดยสามารถตั้งค่าให้ OPPO Band ทำการวัดได้แบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเซนเซอร์แบบ Optical

และรองรับการวัดระดับออกซิเจนในเลือด SpO2 ได้ต่อเนื่องตลอดวัน

หากคุณสวมใส่ OPPO Band ขณะนอนหลับ ก็จะมีการบันทึกระยะเวลาทั้งหมดในการนอน รวมถึงเวลาเริ่มนอนหลับ จนถึงตื่นนอนให้ด้วยเช่นกัน

พร้อมโหมดฝึกการหายใจ และทำสมาธิ

ตรวจสอบสภาพอากาศ กับอุณหภูมิตามตำแหน่งที่อยู่ได้

ฟังก์ชัน Tools ในการควบคุมสมาร์ทโฟน เช่นการเล่นเพลง, นาฬิกาการจับเวลา, การตั้งปลุก, การกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ และ Find Phone

ฟังก์ชัน Find Phone บน OPPO Band

และเมนู Settings ในการตั้งค่าอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ Do Not Disturb, ความสว่างหน้าจอ, ระยะเวลาที่หน้าจอติด, ระดับการสั่นเตือน, การ Reset, Shutdown, Restart และข้อมูลของ OPPO Band

หากปัดหน้าจอลงจากด้านบนจะพบกับ Messages การแจ้งเตือนเมื่อมีข้อความเข้า

สามารถดูการแจ้งเตือนเก่าได้เพียงปัดหน้าจอลงด้านล่าง และสามารถกดลบการแจ้งเตือนทั้งหมดได้โดยง่าย เพียงกดที่รูปถังขยะด้านล่าง

สามารถเปิดการแจ้งเตือนเมื่อมีสายโทรเข้าบน OPPO Band

และการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันแจ้งเตือนให้เคลื่อนไหวร่างกาย หลังหยุดนิ่งเป็นเวลานานอีกด้วย

การใช้งาน OPPO Band ร่วมกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชัน HeyTap Health

ก่อนเริ่มใช้งาน OPPO Band ควรทำการติดตั้งแอปพลิเคชัน HeyTap Health เพื่อให้สมาร์ทโฟนรู้จักกับ OPPO Band และสามารถปรับแต่งการใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น

โดยผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน HeyTap Health ได้ฟรีจาก Google Play Store โดยสามารถใช้งานได้บนสมาร์ทโฟนทุกแบรนด์ ไม่ได้จำกัดเฉพาะแบรนด์ OPPO แต่อย่างใด เพียงเป็นสมาร์ทโฟนที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 ขึ้นไป ก็สามารถใช้งานได้แล้ว

นอกจากนี้อุปกรณ์จากระบบปฏิบัติการอื่นอย่าง iPhone ก็สามารถใช้งานร่วมกับ OPPO Band ได้เช่นกัน และดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน HeyTap Health ได้ฟรีบน App Store ซึ่ง iPhone รุ่นที่ใช้งานได้นั้นต้องทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 10 ขึ้นไป

เมื่อติดตั้งแอปพลิเคชัน HeyTap Health เรียบร้อยแล้ว ให้ทำการเปิด Bluetooth บนสมาร์ทโฟนเพื่อเริ่มการเชื่อมต่อกับ OPPO Band พร้อมกดเพิ่มอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ ซึ่งจะมีให้เลือกเพิ่มด้วยตนเอง หรือให้ค้นหาโดยอัตโนมัติ

อุปกรณ์ทั้งสองเครื่องใช้เวลาค้นหากันเพียงครู่เดียว และเมื่อผู้ใช้กดยืนยันการจับคู่กันก็เป็นอันเสร็จสิ้น

หน้าหลักของแอปพลิเคชัน HeyTap Health มีดีไซน์เรียบง่าย มีการแสดงจำนวนก้าวทั้งหมด พร้อมระยะทาง, แคลอรี่ที่เผาผลาญ และเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดของเป้าหมายในแต่ละวัน (8,000 ก้าว : ค่าเริ่มต้น) ถัดลงมาเป็นการบันทึกข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ, การนอนหลับ และระดับออกซิเจนในเลือด

โดยการบันทึกแต่ละด้านสามารถกดเข้าไปดูข้อมูลเชิงลึกได้อีกด้วย

สามารถบันทึกการวิ่ง หรือเดินได้ พร้อมระยะทาง

ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนการแสดงผลหน้าจอเป็นรูปแบบอื่นได้ที่เมนู Watch faces โดยมีให้เลือกกว่า 40 รูปแบบ

พร้อม Tips ข้อมูลช่วยเหลือการใช้งานด้านต่าง ๆ

และการตั้งค่าอื่น ๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟน หรือการตั้งปลุก

รวมถึงการแจ้งเตือนด้านสุขภาพด้วยฟังก์ชัน Get Up Reminder สำหรับแจ้งเตือนให้เคลื่อนไหวร่างกาย หลังหยุดนิ่งเป็นเวลานาน

และรองรับการตั้งค่าเกี่ยวกับการบันทึกการออกกำลังกาย ที่สามารถตั้งเป้าหมาย (Goal) จำนวนก้าวในแต่ละวันได้สูงสุดที่ 20,000 ก้าว (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 8,000 ก้าว) พร้อมฟังก์ชันการวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ 24 ชั่วโมง โดยตัวนาฬิกาจะวัดเองโดยอัตโนมัติตามระยะเวลาที่ตั้งค่าไว้ (ทุก 6/2 นาที หรือทุกวินาที) พร้อมตั้งค่าให้แจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติ ทั้งสูงเกิน หรือต่ำเกินไป รวมถึงเปิด-ปิดการวัดระดับออกซิเจนในเลือดขณะนอนหลับ

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Band

หลังจากที่มีโอกาสได้ใช้งาน OPPO Band มาระยะหนึ่ง ก็พบว่า OPPO Band เป็นอีกหนึ่งสายรัดข้อมือที่มีความน่าสนใจ ซึ่งเหมาะสำหรับคนยุคใหม่ที่ใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย และกำลังเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง ด้วยฟังก์ชันการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor) แบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมวัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) แบบต่อเนื่อง ที่เป็นตัวช่วยบ่งบอกคุณภาพของการนอนหลับ ด้วย เซนเซอร์แบบ Optical ที่มีความแม่นยำ รวมถึงการบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพอย่าง พฤติกรรมการนอน ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ OPPO Band ยังรองรับ โหมด Workouts ครอบคลุมกีฬาพื้นฐานทั้งหมด 12 ประเภท ไม่ว่าจะเป็น การเดิน/วิ่ง, โหมดเผาผลาญไขมัน (Fat Burn Run), ปั่นจักรยาน, แบดมินตัน, โยคะ และอื่น ๆ พร้อมบันทึกข้อมูลขณะออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนแคลอรี่, เวลาทั้งหมดที่ใช้, ระยะทาง, ความเร็วเฉลี่ย และอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตนเอง รวมถึงข้อมูลด้านสุขภาพอย่างพฤติกรรมการนอนได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถสวมใส่ OPPO Band ลงว่ายน้ำได้โดยไม่ต้องกังวล เนื่องจากตัวเรือนมี คุณสมบัติป้องกันน้ำที่ระดับ 5ATM โดยป้องกันแรงดันน้ำได้ที่ ระดับความลึก 50 เมตร เลยทีเดียว

ด้านการดีไซน์ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ OPPO Band ที่สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ด้วยตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมมุมโค้งมน มีหน้าปัดระบบสัมผัสแบบ AMOLED full-color Display ขนาด 1.1 นิ้ว โดยมาพร้อมสายแบบซิลิโคนที่ให้ความสบายขณะสวมใส่ และสามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย หากท่านที่ชอบความหรูหราพรีเมียมอีกระดับก็มีตัวเลือกสายแบบอะลูมิเนียมอัลลอยด์ให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ความจุ 100 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 12 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล) โดยมากับแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก ที่สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ภายใน 1.5 ชั่วโมง และรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วย Bluetooth 5.0

เรียกได้ว่า OPPO Band ได้รับการออกแบบมาเพื่อคนรักสุขภาพ และการออกกำลังตัวจริง ด้วยความสามารถในการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ กับระดับออกซิเจนในเลือดตลอดเวลา พร้อมบันทึกข้อมูลขณะออกกำลังกายอย่างครบครัน ซึ่งถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตนเอง ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลสุขภาพทั่วไป หรือไม่ได้เน้นออกกำลังเป็นหลัก ก็สามารถใช้งาน OPPO Band ได้อย่างไม่มีปัญหา โดย OPPO Band สามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนได้ทุกแบรนด์ ไม่ได้จำกัดเฉพาะแบรนด์ OPPO เท่านั้น สำหรับสมาร์ทโฟน Android จะต้องใช้งานระบบปฏิบัติการเวอร์ชัน Android 6.0 ขึ้นไป พร้อมมีหน่วยความจำแรม (RAM) ขั้นต่ำที่ขนาด 1.5GB ส่วนทางด้าน iPhone ที่เป็นระบบ iOS เองก็รองรับการใช้งานร่วมกับ OPPO Band ด้วยเช่นกัน แต่ต้องเป็นรุ่นที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10 ขึ้นไป

สำหรับ OPPO Band เปิดราคาทางการในประเทศไทยที่เพียง 1,199 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ประหยัดย่อมเยา คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ Black และ Lavender โดยเริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ท่านใดที่สนใจ ก็สามารถแวะเวียนเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้นได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านตัวแทนจำหน่าย รวมถึงช่องทางออนไลน์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง OPPO (ประเทศไทย) ที่ให้ความไว้วางใจ ส่ง OPPO Band มาให้ทางทีมงาน Thaimobilecenter ได้รีวิวให้ทุกท่านรับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ OPPO Band

- คุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน 5ATM โดยทนต่อแรงดันน้ำสูงสุดที่ระดับความลึก 50 เมตร และสามารถสวมใส่ว่ายน้ำได้ - จอแสดงผลระบบสัมผัสแบบ AMOLED full-color Display ขนาด 1.1 นิ้ว ความละเอียด 126x294 พิกเซล พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D Glass สำหรับป้องกันรอยขีดข่วน - หน้าจอแบบ Multicolored X สำหรับแสดงปริมาณกิจกรรมในแต่ละวัน ในรูปแบบของสีสันที่หลากหลาย - หน้าปัดสามารถปรับเปลี่ยนได้ 40 รูปแบบ - เซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Monitor) แบบ Optical ซึ่งรองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง - เซนเซอร์ตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) แบบ Optical ที่วัดได้แบบต่อเนื่อง - เซนเซอร์ตรวจวัดความเร่งเชิงเส้น (3-Axis Acceleration Sensor) สำหรับวัดความเร็ว - รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Bluetooth 5.0 - รองรับการแสดงข้อมูลแจ้งเตือนของข้อความ, โทรศัพท์, อีเมล, นัดหมาย และแอปพลิเคชันอื่น ๆ - รองรับการแสดงข้อมูลสภาพอากาศ - รองรับการแสดงผลเป็นภาษาไทย - รองรับรูปแบบของการออกกำลังกายที่หลากหลายถึง 12 ประเภท (วิ่งกลางแจ้ง, วิ่งในที่ร่ม, วิ่งเผาผลาญไขมัน, เดินกลางแจ้ง, ปั่นจักรยานกลางแจ้ง, ปั่นจักรยานในที่ร่ม, เครื่องเดินวงรี, พายเรือ, คริกเก็ต, แบดมินตัน, ว่ายน้ำ และโยคะ) - ควบคุมการเล่นเพลง และการถ่ายภาพของสมาร์ทโฟนได้ - รองรับฟังก์ชันค้นหาโทรศัพท์ (Find my Phone) - แบตเตอรี่ Li-ion ขนาด 100 mAh สามารถ Standby ได้นานสูงสุด 12 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง พร้อมแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0-100% ได้ในเวลา 1.5 ชั่วโมง - รองรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 6.0 ขึ้นไป และมีหน่วยความจำแรม (RAM) ตั้งแต่ขนาด 1.5 GB ขึ้นไป - รองรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS โดยต้องเป็นรุ่นที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10 ขึ้นไป - ราคา 1,199 บาท ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

Leave a Comment