รีวิว OPPO Find X3 Pro 5G เรือธงพันล้านสี รุ่นครบรอบ 10 ปี ดีทั้งจอทั้งกล้อง พร้อมสเปกแรงขั้นสุด :: Thaimobilecenter.com

เรือธงพันล้านสี รุ่นครบรอบ 10 ปี ดีทั้งจอทั้งกล้อง พร้อมสเปกแรงขั้นสุด ด้วยจอ 1 พันล้านสี ผสานกล้องหลัง 1 พันล้านสี 50MP, ชิปเซ็ต Snapdragon 888 ตัวท็อป, แบตเตอรี่ 4500 mAh พลังชาร์จ 65W SuperVOOC 2.0 บนตัวเครื่องกันน้ำดีไซน์แห่งอนาคต สวยล้ำสะดุดตา ในราคา 33,990 บาท

18 มีนาคม 2021 - นับเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ OPPO Find X Series มือถือซีรีส์เรือธงระดับพรีเมียม ได้โลดแล่นในตลาดโลก ซึ่งการเปิดตัว OPPO Find แต่ละรุ่น ก็ถือว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย เพราะมักจะมาพร้อมกับนวัตกรรมที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว OPPO Find X903 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2011 สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ Find Series ที่ชูจุดเด่นด้วยคีย์บอร์ด QWERTY แบบสไลด์ออกข้าง, OPPO Finder ในปี 2012 ที่มาพร้อมกับความบางเฉียบเพียง 6.65 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นมือถือที่มีความบางที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานั้นเลยทีเดียว หรือจะเป็น OPPO Find 7 ในปี 2014 ที่มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียดสูงระดับ 2K QHD เป็นรุ่นแรกของโลก

หลังจากห่างหายจากวงการไปถึง 4 ปี เมื่อปี 2018 ทาง OPPO ก็นำสมาร์ทโฟน Find Series กลับมาทำตลาดให้แฟน ๆ หายคิดถึงอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว OPPO Find X ที่มาพร้อมกับหน้าจอไร้ขอบไร้รอยบากแบบ Panoramic Arc Screen และนวัตกรรมกล้องสไลด์แบบ 3D Stealth Camera ต่อมาในปี 2020 ทาง OPPO ก็ไม่หยุดยั้งด้านนวัตกรรมหน้าจอด้วยการเปิดตัว OPPO Find X2 Series 5G ที่มาพร้อมกับจุดเด่นด้านหน้าจอ 3K QHD+ ที่สามารถแสดงผลได้มากถึง 1,000 ล้านสี

และในปี 2021 ทาง OPPO ก็ไม่ปล่อยให้รอนาน วันนี้ได้ทำการการเปิดตัว OPPO Find X3 Pro 5G สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่นอกเหนือจากจะสามารถแสดงสีสันได้ 1,000 ล้านสีแล้ว ยังสามารถถ่ายภาพแบบ 1,000 ล้านสีได้ด้วย พร้อมคุณสมบัติไฮเอนด์จัดเต็มสมกับสมาร์ทโฟนเรือธงแห่งยุค ด้วยหน้าจอ Adaptive Refresh Rate 120Hz , ชิปเซ็ตประมวลผลตัวท็อป Snapdragon 888 , RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB , หน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.1 ขนาด 12GB ไปจนถึงระบบชาร์จไวแบบ 65W SuperVOOC 2.0 และระบบการชาร์จไร้สายแบบ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge เพื่อช่วยชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนได้อย่างรดเร็วทันใจ บนบอดี้สวยล้ำที่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68

ซึ่งความสามารถระดับสูงเหล่านี้ถูกใส่ไว้ในตัวเครื่องดีไซน์พรีเมียมโฉมใหม่แบบ Futuristic Curved และดีไซน์กล้องแบบ Gradient Arc Camera อันเป็นเอกลักษณ์

ส่วนตัวเครื่องจริงของ OPPO Find X3 Pro 5G จะมีความสวยงามเพียงใด และมีฟีเจอร์เด่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามรับชมรีวิวเจาะลึกจากทีมงาน Thaimobilecenterom กันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับกล่องผลิตภัณฑ์สีเทา ที่มีการประทับชื่อรุ่นให้เห็นแบบเด่นชัด

อุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่อง ประกอบไปด้วย สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล และชาร์จแบตเตอรี่, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, คู่มือประกอบการใช้งาน, บัตรประกัน OPPO International Warranty Service, เคส และอแดปเตอร์จ่ายไฟที่รองรับระบบชาร์จแบตเตอรี่แบบ 65W SuperVOOC 2.0

มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ 1 Billion Colour Display ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผล AMOLED ขอบโค้งขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ QHD+ (3216x1440 พิกเซล) พร้อมความสามารถในการแสดงสีสันแบบ 10-bit สามารถแสดงผลได้มากถึง 1,000 ล้านสี ซึ่งมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปที่สามารถแสดงผลได้เพียง 16.7 ล้านสีเท่านั้น พร้อมค่า Contrast Ratio แบบ Static Contrast ที่ระดับ 5,000,000:1 และ Dynamic Contrast ที่ระดับ 12,000,000:1

หน้าจอแสดงผลของ OPPO Find X3 Pro 5G ถือว่ามีคุณภาพการแสดงผลที่อยู่ในระดับสูง ด้วยเทคโนโลยี Adaptive Refresh Rate 120Hz ที่สามารถปรับค่า Refresh Rate ให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ได้ตั้งแต่ 5-120Hz ค่าความแม่นยำของสีในระดับ 0.4 JNCD (Just Noticeable Color Difference : ค่าความผิดเพี้ยนของสีที่สามารถมองเห็นได้) ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขความผิดเพี้ยนของสีในระดับต่ำ ทำให้สามารถแสดงผลได้อย่างเที่ยงตรงทุกสีสัน พร้อมรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ และยังมาพร้อมกับค่าความสว่างสูงสุดระดับ 1300nit สามารถใช้งานกลางแจ้งได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงฟีเจอร์การปรับระดับความสว่างอัตโนมัติได้ถึง 8,192 ระดับ เพื่อตอบดจทย์การใช้งานในสภาพแสงที่แตกต่างกันออกไป

จากความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ของหน้าจอแสดงผล ส่งผลให้ OPPO Find X3 Pro 5G ได้รับคะแนนทดสอบจากสถาบันทดสอบหน้าจอชั้นนำระดับโลกอย่าง DisplayMate ด้วยคะแนนสูงสุดระดับ A+ พร้อมทำสถิติบนฐานข้อมูลทดสอบมากถึง 12 รายการ

ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผล มาพร้อมกับกล้องหน้าเซลฟี่คามละเอียด 32 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดของรูัรบแสงกว้าง f/2.4 ถัดมาเป็นลำโพงสนทนาซึ่งทำหน้าที่เป็นลำโพงตัวที่สองสำหรับขับเสียงร่วมกับลำโพงตัว หลักที่บริเวณด้านล่างของตัวเครื่อง โดยลำโพงทั้งสองตัวของ OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos ที่สามารถตรวจจับเสียงรอบด้าน พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเสียงให้แบบอัตโนมัติ รวมถึง Moive Mode สำหรับขยายพลังเสียงให้กระหึ่ม ตอบโจทย์การรับชมคอนเทนต์บนสมาร์ทโฟนได้เป็นอย่างดี

ที่ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล มาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ (On-Screen Navigation) ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันเบื้องหลังที่เปิดทำงานไว้, ปุ่ม Home สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ พร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-display Fingerprint) ที่รองรับฟีเจอร์ Fingerprint Quick Launch สำหรับเรียกใช้งานแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วหลังจากปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง ติดตั้งเอาไว้

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมาพร้อมกับไมโครโฟนตัว ที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอแสดงผล และเปิด-ปิด เครื่อง โดยจะมีการแต้มสีเขียวเอาไว้เพื่อให้มองเห็นได้ง่ายขึ้น

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Dual nanoSIM, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล หรือชาร์จแบตเตอรี่ และลำโพงเสียงตัวหลักของตัวเครื่อง

พลิกมาดูที่ด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้าง จะเห็นได้ว่า OPPO Find X3 Pro 5G มีดีไซน์ที่แตกต่างออกไปจากรุ่น OPPO Find X2 Series 5G อย่างสิ้นเชิง ด้วยตัวเครื่องบางเฉียบ 8.26 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 193 กรัม ที่ถูกดีไซน์ออกมาให้มีความโค้งสวยงามไร้รอยต่อด้วยการเลือกใช้กระจกเพียงชิ้นเดียว ซึ่งทาง OPPO เปิดเผยว่า ดีไซน์สวยล้ำแบบนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอวกาศนั่นเองครับ แต่กว่าที่จะออกมา เป็นดีไซน์ที่มีความโค้งสวยงาม แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ OPPO ต้องทำจุด Control Points สำหรับควบคุมจุดโค้งบนฝาหลังกระจกมากถึง 2,000 จุด รวมทั้งยังต้องผ่านกระบวนการผลิตมากกว่า 100 กระบวนการ และใช้เวลาในการสร้างกระจกเพียงชิ้นเดียวถึง 40 ชั่วโมง เพื่อให้ OPPO Find X3 Pro 5G มีบอดี้ที่มีความสวยงามลงตัว และจับถือได้อย่างถนัดมือ

สำหรับสีที่ทุกท่านได้รับชมอยู่นี้จะเป็นสี น้ำเงิน (Blue) โดย OPPO เลือกใช้วัสดุกระจก Forst Matte แบบด้าน ที่มอบความรู้สึกที่นุ่มนวลราวกับผ้าไหม และช่วยป้องกันรอยนิ้วมือได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนอีกหนึ่งสีที่นำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยคือ สี Gloss Black ที่มาพร้อมกับฝาหลังที่มีการสะท้อนแสงคล้ายกับเซรามิก ให้ความรู้สึกงดงาม และแข็งแกร่งได้อย่างล้ำลึก

ภายใต้บอดี้สวย ๆ ของ OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4500mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ 65W SuperVOOC 2.0 พร้อมรองรับการชาร์จไร้สายแบบ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge รวมถึงฟีเจอร์ 10W Reverse Wireless Charging สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้แบบไร้สาย

และที่สำคัญ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมาพร้อมกับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 สามารถกันน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร เป็นระยะเวลานานสูงสุด 30 นาที

ที่ด้านบนมาพร้อมกับชุดกล้องหลังจำนวน 4 ตัว แบ่งออกเป็น

- กล้องตัวที่ 1 แบบ Ultra Wide Angle ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 110 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF และรองรับการเก็บรายละเอียดภาพแบบ 10-bit (1 พันล้านสี) - กล้องตัวที่ 2 แบบ Wide Angle ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF และรองรับการเก็บรายละเอียดภาพแบบ 10-bit (1 พันล้านสี) - กล้องตัวที่ 3 แบบ Microlens ความละเอียด 3 ล้านพิกเซล พร้อมกำลังขยายสูงสุด 60 เท่า, รูรับแสงขนาด f3.0 และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD - กล้องตัวที่ 4 แบบ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูม 5x Hybrid Optical Zoom, ระบบซูม 20x Digital Zoom และรองรับการเก็บรายละเอียดภาพแบบ 10-bit (1 พันล้านสี)

พร้อมรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW (10-bit RawPlus : ใน Expert Mode)

จากสเปกกล้องจะเห็นได้ว่า กล้องตัวหลัก และกล้อง Ultra-wide-angle ของ OPPO Find X3 Pro 5G เลือกใช้เซนเซอร์รับภาพตัวท็อปรุ่นใหม่อย่าง Sony IMX766 ที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่าง OPPO และ Sony เพื่อให้คุณภาพของภาพถ่าย รวมถึงสีสันจากกล้องทั้งสองตัวมีความสม่ำเสมอนั่นเอง รวมทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีโฟกัสภาพแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF ที่มีพิกเซลสำหรับโฟกัส 100% ต่างจากเซ็นเซอร์ทั่วไปใช้พิกเซลเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ในการโฟกัสภาพ ทำให้มั่นใจได้ว่า ภาพถ่ายที่ออกมาจะมีความคมชัดในทุกสภาวะแสง

ในส่วนของกล้อง Microlens ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ OPPO นำมาใช้งานบน OPPO Find X3 Pro 5G เป็นครั้งแรก เพราะสามารถถ่ายภาพวัตถุต่าง ๆ ได้ในระยะใกล้ราวกับกล้องจุลทรรศน์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปิดโลกมุมมองใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้อย่างง่ายดาย

นอกเหนือจากฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการอัปเกรดแล้ว ทางด้านซอฟต์แวร์เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพของ OPPO Find X3 Pro 5G ก็ได้รับการอัปเกรดให้เก่งขึ้นไปอีกระดับ อย่างเช่น เทคโนโลยี DOL HDR (Digital Overlap High Dynamic Range) สำหรับสร้างเฟรมแบบต่อเนื่องในรูปแบบ line-by-line เพื่อช่วยลดภาพซ้อน หรือแสงริ้วที่อาจเกิจขึ้นเมื่อถ่ายภาพแบบ HDR พร้อมกับเพิ่มช่วงไดนามิกของภาพถ่ายให้กว้างขึ้น ทำให้การถ่ายภาพในที่ที่มีความแตกต่างของแสงสูง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพากยิ่งขึ้น รวมถึงการถ่ายภาพแบบ RAW+ ที่ นำเอาเทคโนโลยี HDR เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพแบบไฟล์ RAW เพื่อช่วยให้กล้องสามรถเก็บรายละเอียด และข้อมูลของภาพถ่ายได้มากขึ้น ส่งผลให้ตอบโจทย์การนำไปปรับแต่งเพิ่มเติมบนแอปพลิเคชันอื่น ๆ ได้อย่างยืดหยุ่นมากกว่าไฟล์ RAW หรือไฟล์ JPEG ทั่ว ๆ ไป

และด้วยการที่กล้องถ่ายภาพ และหน้าจอแสดงผลของ OPPO Find X3 Pro 5G รองรับสีสันได้มากถึง 1,000 ล้านสี จึงทำให้เกิดระบบใหม่ที่เรียกว่า 10-bit Full-path Colour Engine ซึ่ง เป็นการบันทึกภาพที่มีสันสันระดับ 1,000 ล้านสี จากนั้นนำเข้ามาเข้ารหัสพร้อมกับจัดเก็บภายในตัวเครื่อง และจะทำการถอดรหัสเพื่อนำไปแสดงผลบนหน้าจอ 1,000 ล้านสี นั่นเอง

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11.2 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย และดีไซน์เป็นธรมมชาติ

เมื่อปัดไปทางด้านซ้ายจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Discover ซึ่งเป็นหน้ารวบรวมข่าวสารอัปเดตล่าสุด ที่ถูกคัดมาเพื่อผู้ใช้งานแต่ละท่านโดยเฉพาะ

รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G ทั้้งแบบ NSA และ SA สามารถรับเครือข่าย 5G ได้มากถึง 13 Bands รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ Dual-SIM 5G + 5G Dual Reception ซึ่งเมื่อมีการรับสัญญาณ 5G ที่หลากหลาย ซิมการ์ดแต่ละซิมจะรับสัญญาณที่เป็นอิสระ และไม่รบกวนสัญญาณกัน เพื่อให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายมีความลื่นไหล และที่สำคัญ OPPO Find X3 Pro 5G ยังรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย Wi-Fi 6 อีกด้วย

สามารถปรับเปลี่ยนธีม, วอลเปเปอร์, Always-On Display, รูปแบบไอคอน, เอฟเฟกต์การสแกนลายนิ้วมือ, สีสันของเมนูต่าง ๆ ภายในตัวเครื่อง, ฟอนต์, ไอคอนคีย์ลัดในแถบ Notification Drawer รวมถึงสีสันของฟีเจอร์ Edge Lightning ได้ที่เมนู Personalizations

รองรับการใช้งานร่วมกับ Dark Mode สำหรับปรับการแสดงผลโดยรวมให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตา และประหยัดพลังงานแบตเตอรี่

มาพร้อมฟีเจอร์ Eye Comfort สำหรับปรับการแสดงผลของหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตาโดยเฉพาะการใช้งานในที่แสงน้อย พร้อมฟีเจอร์ Nature tone display สำหรับปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอแสดงผลให้เหมาะสมกับสภาพแสงโดยรอบ

รองรับการปรับเปลี่ยนสีสันของการแสดงผลได้ทั้ง หมด 4 รูปแบบ ได้แก่ Vivid สำหรับแสดงสีสันตามขอบเขตสีแบบ P3, Gentle สำหรับแสดงสีสันจามขอบเขตสีแบบ sRGB, Cinematic สำหรับแสดงสีสันให้กว้างขึ้น ตอบโจทย์การรับชมภาพยนตร์ และ Brilliant เพิ่มสีสันของหน้าจอให้มีความจัดจ้านมากยิ่งขึ้น

OPPO ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Colour Vision Enhancement ซึ่งเป็นการปรับชดเชยสีของหน้าจอแสดงผลให้เหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหามองเห็นสีบกพร่อง ในบางสี ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในผู้ชายประมาณ 1 ใน 12 คน และผู้หญิง 1 ใน 200 คนทั่วโลก เพื่อให้ผู้ใช้เหล่านี้สามารถมองเห็นสีสันได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดโดย ใช้ประโยชน์ของหน้าจอ OPPO Find X3 Pro 5G ที่สามรถแสดงสีสันได้มากถึง 1,000 ล้านสีนั่นเอง

ในส่วนของ O1 Ultra Vision Engine ที่เป็นจุดเด่นของ OPPO Find X2 Series 5G ก็ยังคงมีให้ใช้งานบน OPPO Find X3 Pro 5G โดยจะเข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับการแสดงผลทั้งหมด 2 ฟีเจอร์ ได้แก่ Video Image Sharpener สำหรับปรับความละเอียดของคอนเทนต์ประเภทวิดีโอให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น และ Video color enhancer สำหรับปรับแต่งการแสดงผลของสีสันคอนเทนต์วิดีโอให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น

สามารถปรับความละเอียดของหน้าจอได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Auto Select ซึ่งเป็นการปรับความละเอียดของหน้าจอให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่กำลังแสดงผลอยู่แบบ อัตโนมัติ, FHD+ สำหรับแสดงผลที่ความละเอียดระดับ 2412x1080 พิกเซล และ QHD+ สำหรับแสดงผลที่ความละเอียดระดับ 3216x1440 พิกเซล

สามารถปรับค่า Refresh Rate ได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Standard สำหรับแสดงผลที่ค่า Refresh Rate สูงสุดระดับ 60Hz เพื่อประหยัดพลังงาน และ High สำหรับแสดงผลที่ค่า Refresh Rate สูงสุดระดับ 120Hz เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหล

มาพร้อมกับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ที่ผู้ใช้สามารถปรับโปรไฟล์การเล่นเสียงได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่

Environment Profile (ปรับเสียงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม)

Indoor - ปรับการเล่นเสียงสำหรับการใช้งานในร่มซึ่งมีเสียงรบกวนน้อย

On-the-go - ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับการใช้งานนอกสถานที่ที่มีเสียงรบกวนมาก

Commute - ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับการเดินทางสาธารณะ

Flight - ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมขณะเดินทางด้วยเครื่องบิน

Scenario-specific Profile (ปรับเสียงให้เหมาะสมกับคอนเทนต์)

Smart - ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับคอนเทนต์แบบอัตโนมัติ

Movie - ปรับการเล่นเสียงรอบทิศทางแบบ 3D พร้อมพลังเสียงเบสที่กระหึ่ม

Gaming - ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะกับการเล่นเกม พร้อมพลังเสียงเบสที่กระหึ่ม

Music - ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะแก่การฟังเพลง เน้นเสียงที่มีความสมดุล

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Smart Driving และ Riding Mode สำหรับปิดการแจ้งเตือนเมื่อขับขี่รถยนต์ หรือจักรยานยนต์ เพื่อให้ผู้ใช้มีสมาธิอยู่กับการขับขี่บนท้องถนน

รองรับการสั่งการขณะที่ดับหน้าจอแสดงผล เช่น การแตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ หรือการวาดตัวอักษร O เพื่อเปิดใช้งานกล้องถ่ายภาพ เป็นต้น

รองรับการปลุกหน้าจออัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟน ขึ้นมาในระดับพร้อมใช้งาน, รับสายอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู ไปจนถึงการปิดเสียงเรียกเข้าแบบอัตโนมัติเมื่อคว่ำหน้าจอ

ฟีเจอร์ Smart Sidebar สำหรับเรียกแถบคีย์ลัดสำหรับตั้งค่า และเข้าถึงแอปพลิเคชันแบบเร่งด่วน ด้วยการลากแถบสีขาวที่ซ่อนอยู่ทางด้านขวาของหน้าจอแสดงผล

Quick Launch สำหรับเข้าถึงแอปพลิเคชันแบบเร่งด่วนเมื่อปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ โดยผู้ใช้จะต้องแตะปุ่มสแกนลายนิ้วมือค้างไว้ และเลื่อนนิ้วไปยังฟังก์ชันที่ต้องการ

ในส่วนของแบตเตอรี่ มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง High performance Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของตัวเครื่องให้อยู่ในระดับสูงสุด รวมถึง Sleep standby optimization สำหรับลดการใช้งานแบตเตอรี่เมื่อไม่ได้ใช้งานสมาร์ทโฟน และ Optimized night charging สำหรับเรียนรู้พฤติกรรมการชาร์จแบตเตอรี่ในตอนกลางคืนของผู้ใช้งานแต่ละท่าน เพื่อควบคุมการความเร็วในการจ่ายกระแสไฟให้เหมาะสม เพื่อลดอัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ให้ต่ำลง และป้องกันอาการ Overcharging

รองรับการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผล และการปลดล็อกด้วยใบหน้า

รวมถึงบริการ HeyTap Cloud สำหรับเก็บไฟล์ และข้อมูลสำคัญไว้บนคลาวด์ ซึ่งผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดกลับมาใช้ใหม่ได้ทุกเมื่อแม้ว่าจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็น เครื่องใหม่

สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการสั่งการสมาร์ทโฟนได้ ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Gestures ซึ่งเป็นการควบคุมสมาร์ทโฟนด้วยวิธีการลากนิ้วจากขอบด้านข้าง และ Virtual Buttons ซึ่งเป็นการใช้ปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล

มาพร้อมกับฟีเจอร์ App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันที่ต้องการ พร้อมฟีเจอร์ Private Safe สำหรับเก็บไฟล์ และข้อมูลสำคัญเอาไว้ในตู้เซฟเสมือน โดยจะมีผู้ที่รู้รหัสผ่าน หรือลงทะเบียนลายนิ้วมือ - ใบหน้าเอาไว้เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใช้งานได้

รองรับการบันทึกภาพหน้าจอผ่านการใช้ 3 นิ้วลาก

และรองรับการบันทึกภาพหน้าจอแบบวิดีโอ

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลโดยรวมของตัว เครื่อง ด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu (เปิด High Performance Mode) พบว่า OPPO Find X3 Pro 5G ทำคะแนนได้ทั้งหมด 636,946 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของหน่วยประมวลผล กลาง (CPU) ด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench 5 พบว่า OPPO Find X3 Pro 5G สามารถทำคะแนนการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core ได้ทั้งหมด 1,103 คะแนน และทำคะแนนการประมวลผลแบบ Multi-Core Score ได้ทั้งหมด 3,379 คะแนน

ทดสอบการประมวลผลของหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark พบว่า OPPO Find X3 Pro 5G ทำคะแนนทดสอบได้ทั้งหมด 5,802 คะแนน

ทดสอบความเร็วในการอ่านเขียนของหน่วยความจำภาย ใน (ROM) ด้วยแอปพลิเคชัน Androbench พบว่า OPPO Find X3 Pro 5G มีความเร็วในการอ่านข้อมูล (Sequential Read) ที่ระดับ 1,808.1 MB/s และมีความเร็วในการเขียนไฟล์ (Sequential Write) ที่ระดับ 732.03 MB/s

แน่นอนว่า ด้วยประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่อยู่ในระดับสูง ก็ส่งผลให้ OPPO Find X3 Pro 5G สามารถเล่นเกมกราฟิกหนักได้อย่างลื่นไหล ซึ่งทีมงานลองทดสอบเล่นเกมที่ขึ้นชื่อด้านงานกราฟิกที่มีความสวยงามอย่าง Genshin Impact พร้อมปรับการตั้งค่ากราฟิกในระดับสูง ก็พบว่า OPPO Find X3 Pro 5G สามารถผ่านบททดสอบได้อย่างสบาย ๆ แต่จะมีอาการสะสมความร้อนให้เห็นบ้างในระดับที่พอสังเกตได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเกมกราฟิกระดับสูงที่มีการประมวลผลอย่างหนักอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง OPPO Find X3 Pro 5G ก็สามารถถ่ายเทความร้อนออกจากตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ OPPO ยังเอาใจเหล่าเกมเมอร์ด้วยฟีเจอร์ Game Assistant ที่สามารถปิดการแจ้งเตือน และปรับแต่งการตั้งค่าให้เหมาะแก่การเล่นเกม เมื่อเข้าสู่โหมดการเล่นเกมแบบเต็มหน้าจอ

ซึ่งหากใครที่ต้องการปรับแต่งการตั้งค่าของแต่ ละเกมอย่างละเอียด ก็ยังมีฟีเจอร์ Game Space ให้ใช้งาน ซึ่งมาพร้อมกับความสามารถหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ล็อกความสว่างของหน้าจอ, ปิดการแจ้งเตือน, ปฏิเสธสายเรียกเข้า ไปจนถึงการปรับโหมดการทำงานของสมาร์ทโฟนได้ 3 โหมด ได้แก่ Low Power Mode สำหรับประหยัดแบตเตอรี่, Balanced Mode สำหรับรักษาสมดุลระหว่างแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึง Competition Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพการทำงานอยู่ในระดับสูงสุด

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

สำหรับ UI กล้องถ่ายภาพของ OPPO Find X3 Pro 5G จะแบ่งแถบคีย์ลัดสำหรับตั้งค่าต่าง ๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพเอาไว้ที่ด้านบน และแถบสำหรับเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพเอาไว้ที่ด้านล่าง โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าการเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR และการเปิดใช้งาน AI Scene Enhancement สำหรับปรับแต่งภาพถ่ายให้สวยงามแบบอัตโนมัติด้วยปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งยังสามารถเปิดใช้งานฟิลเตอร์เพื่อปรับ เปลี่ยนโทนสีของภาพถ่ายได้อย่างหลากหลาย

สามารถปรับเปลี่ยนการซูมได้อย่างง่าย ๆ เพียงแตะที่ไอคอน 1x ที่ด้านล่าง

รองรับการเปิดใช้งานเอฟเฟกต์ AI Beauty สำหรับปรับแต่งความเรียบเนียนของใบหน้าให้สวยงามเป็นธรรมชาติ

มาพร้อมกับโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนการเบลอของฉากหลังได้สูงสุดถึง 100 ระดับ

รองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Beauty ขณะถ่ายภาพ Portrait โดยปรับความเรียบเนียนของใบหน้าได้มากถึง 100 ระดับ

และสามารถเปิดใช้งานฟิลเตอร์เพื่อปรับเปลี่ยน โทนสีของกล้องถ่ายภาพได้อย่างหลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายภาพแบบอื่น ๆ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในแถบ More เริ่มตั้งแต่ Microscope สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ราวกับกล้องจุลทรรศน์ ด้วยกำลังขยายสูงสุดถึง 60 เท่า

รองรับการถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Pano ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

โหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับการตั้งค่าต่าง ๆ เกี่ยวกับการถ่ายวิดีโอได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ISO, Shutter Speed, White Balance ไปจนถึงการโฟกัส

และที่น่าสนใจก็คือ ผู้ใช้สามารถถ่ายแบบไฟล์ LOG เพื่อนำไปเกรดสีต่อในโปรแกรมอื่น ๆ อย่างเช่น Davinci Resolve ได้ด้วย พร้อมรองรับการเปิดใช้งานระบบป้องกันภาพสั่นไหว ซึ่งเรียกได้ว่าตอบโจทย์เหล่า Vlogger หรือผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่สามารถทำคอนเทนต์ออนไลน์เป็นอย่างมาก

รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ระดับ 60FPS พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องมุมกว้าง Ultra-wide-angle

โดยผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Beauty ขณะถ่ายวิดีโอได้ด้วย ซึ่งสามารถปรับความเรียบเนียนของใบหน้าได้ทั้งหมด 100 ระดับ

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Ultra Steady และ Ultra Steady Pro สำหรับป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหว

รวมถึงฟีเจอร์ Live HDR สำหรับเก็บถ่ายวิดีโอแบบย้อนแสง ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งกล้องตัวหลัก และกล้องมุมกว้าง Ultra-wide-angle

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งสามารถปรับการเบลอของฉากหลังได้ทั้งหมด 100 ระดับ

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Dual-View Video สำหรับถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า และกล้องหลังพร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องนำไปตัดแต่งต่อ ในแอปพลิเคชันอื่นๆ โดยสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Split, Round และ Rectangle

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slo-Mo และ Time-Lapse

มาดูที่กล้องหน้ากันบ้าง โดยมาพร้อมกับ UI ที่คล้ายกับกล้องหลังด้วยการวางแถบคีย์ลัดตั้งค่าไว้ที่ด้านบน และโหมดการถ่ายภาพที่ด้านล่าง

สามารถปรับเปลี่ยนโทนสีของภาพถ่ายได้ง่าย ๆ ด้วยฟิลเตอร์

รองรับการฟีเจอร์ AI Beuaty เพื่อปรับแต่งใบหน้าให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ แต่จะเหนือกว่ากล้องหลังตรงที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ขนาดของกราม, ขนาดของดวงตา หรือขนาดของจมูก เป็นต้น

รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับระดับการเบลอของฉากหลังได้สูงสุด 100 ระดับ

พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Beauty ขณะถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait

รวมถึงการปรับเปลี่ยนโทนสีของภาพถ่ายด้วย ฟิลเตอร์

รองรับโหมดถ่ายภาพกลางคืนให้มีความสว่างคมชัด โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกภาพที่ความละเอียดสูงสุด Full HD ที่ระดับ 30FPS พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Beauty เพื่อปรับแต่งใบหน้าให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ

รองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ป้องกันวิดีโอสั่น ไหว รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ

รองรับการปรับเปลี่ยนโทนสีของวิดีโอด้วย ฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลายเช่นเดียวกัน

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ และการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียดระดับ 50+50+13+3 ล้านพิกเซลของ OPPO Find X3 Pro 5G

ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide

ภาพถ่ายจากโหมด Night

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Microscope

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ของ OPPO Find X3 Pro 5G

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติพร้อมเปิดเอฟเฟกต์ AI Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดเอฟเฟกต์ AI  Beauty

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Find X3 Pro 5G

การกลับมาของ OPPO Find X Series รอบนี้ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะทาง OPPO จัดเต็มทุกคุณสมบัติให้กับ OPPO Find X3 Pro 5G อยู่ในระดับไฮเอนด์ ด้วยหน้าจอแสดงผลที่สามารถแสดงสีสันได้มากกว่า 1,000 ล้านสี การันตีคะแนนระดับ A+ จาก DisplayMate ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มตาเต็มอารมณ์ มองเห็นสีสันได้มากกว่าที่เคย พร้อมเทคโนโลยี Adaptive Refresh Rate 120Hz ที่ส่งผลให้การใช้งานบนสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นไปอย่างลื่นไหล

ด้านประสิทธิภาพก็เร็วแรงทันใจทุกการใช้งาน ด้วยการเลือกใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปแห่งปี 2021 อย่าง Snapdragon 888 ที่สามารถเล่นเกม และใช้งานทั่วไปได้อย่างยอดเยี่ยม รวมทั้งยังมาพร้อมกับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาดใหญ่ถึง 12GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาดกำลังดีที 256GB ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดทั้งคู่ และที่สำคัญ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมีจุดเด่นด้านระบบการชาร์จแบตเตอรี่ที่มีกำลังการจ่ายไฟสูงถึง 65W กับเทคโนโลยี 65W SuperVOOC 2.0 รวมทั้งยังเป็นสมาร์ทโฟน Find Series รุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบชาร์จไร้สายความเร็วสูงแบบ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge ซึ่งถือว่าตอบโจทย์การใช้งานในยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยังรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะเข้ามาช่วยเปิดโลกการเชื่อมต่อให้เร็วแรงมากขึ้นกว่าที่เคย

ด้านการถ่ายภาพที่เป็นไฮไลท์เด่นประจำรุ่นนี้ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยความสามารถด้านการบันทึกสีสันได้มากถึง 1,000 ล้านสี เก็บสีสันต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งยังตอบโจทย์ผู้ใช้งานระดับมืออาชีพที่ต้องการไฟล์ระดับคุณภาพไปทำการปรับแต่งต่อ ด้วยฟีเจอร์ RAW+ สำหรับบันทึกไฟล์ที่เน้นรายละเอียดสูง, Cinematic Mode ที่ช่วยให้ปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ของกล้องถ่ายภาพ รวมถึงถ่ายไฟล์ LOG ได้ ในตัว ไปจนถึง DOL HDR ที่ช่วยให้สามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงที่มีความหลากหลายได้ดีขึ้นกว่าเดิม

สำหรับ OPPO Find X3 Pro 5G เปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วที่ 33,990 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน (Blue) และสีดำ (Gloss Black) โดยสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม - 2 เมษายน 2564 ที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมของสมนาคุณพิเศษระดับพรีเมียมสำหรับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้า มูลค่ารวมกว่า 13,498 บาท ประกอบไปด้วย OPPO Premium Service, Kevlar Case และ OPPO AirVOOC Wireless Charger 45W โดยผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าจะได้รับเครื่องในวันที่ 4 เมษายน 2564 และจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันเดียวกันนี้

จุดเด่นของ OPPO Find X3 Pro 5G

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Futuristic Curved พร้อมดีไซน์กล้องแบบ Gradient Arc Camera และกรอบตัวเครื่องผลิตจากโลหะอะลูมิเนียม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 (ป้องกันน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที)

จอแสดงผลแบบ LTPO AMOLED Display 1,000 ล้านสี (10-bit) ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ Quad HD+ (3216x1440 พิกเซล : 525 ppi)

- รองรับการแสดงผลด้วยอัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz พร้อมฟังก์ชัน Dynamic Refresh Rate (5-120Hz) - ค่าอัตราการรีเฟรชระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) ที่ 120Hz (10 นิ้ว) หรือ 240Hz (2 นิ้ว) - หน้าจอได้รับคะแนนทดสอบจาก DisplayMate ในระดับ A+ - ค่าความผิดเพี้ยนของการแสดงผลสีในระดับ 0.4 JNCD - ค่าความสว่างสูงสุด 1300nit พร้อมระบบปรับระดับความสว่างอัตโนมัติ 8,192 ระดับ - ค่า Contrast Ratio แบบ Static Contrast ที่ระดับ 5,000,000:1 และ Dynamic Contrast ที่ระดับ 12,000,000:1 - รองรับการแสดงผลด้วยขอบเขตสี (Color Gamut) แบบ DCI-P3 ได้ 100% - รองรับการแสดงผลด้วยขอบเขตสี (Color Gamut) แบบ NTSC ได้ 104% - รองรับการแสดงผลด้วยขอบเขตสี (Color Gamut) แบบ sRGB ได้ 100% - รองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ - พื้นที่แสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่อง 92.7% พร้อมอัตราส่วนแบบ 20:9 - เทคโนโลยี Eye Comfort สำหรับตัดแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตา - เทคโนโลยี O1 Ulltra Vision Engine และ O-Sync Display Hyper Response Engine - เทคโนโลยี Colour Vision Enhancement สำหรับปรับแต่งการแสดงผลให้เหมาะสมกับผู้ที่มีความบกพร่องด้านการมองเห็นสีสัน - เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Screen Fingerprint Sensor) และระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) - ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5

- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 888 ที่มาพร้อมซีพียู Octa-Core 64-bit (Single Kryo 680 ความเร็ว 2.842 GHz + Triple Kryo 680 ความเร็ว 2.419 GHz + Quad Kryo 680 ความเร็ว 1.786 GHz) - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 660 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 11.2

แบตเตอรี่ Li-Ion ความจุ 4500 mAh

- เทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 65W SuperVOOC 2.0 (ชาร์จได้ 40% ในเวลา 10 นาที) - เทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge (ชาร์จ 0-100% ในเวลา 80 นาที) - ระบบ 10W Reverse Wireless Charging สำหรับการแชร์พลังงานแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่น

กล้องดิจิทัลด้านหลังทั้งหมด 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียด 50+50+13+3 ล้านพิกเซล ประกอบไปด้วย

> กล้องตัวที่ 1 แบบ Ultra Wide Angle ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 110 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF และรองรับการเก็บรายละเอียดภาพแบบ 10-bit (1 พันล้านสี) > กล้องตัวที่ 2 แบบ Wide Angle ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF และรองรับการเก็บรายละเอียดภาพแบบ 10-bit (1 พันล้านสี) > กล้องตัวที่ 3 แบบ Microlens ความละเอียด 3 ล้านพิกเซล พร้อมกำลังขยายสูงสุด 60 เท่า, รูรับแสงขนาด f3.0 และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD > กล้องตัวที่ 4 แบบ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูม 5x Hybrid Optical Zoom, ระบบซูม 20x Digital Zoom และรองรับการเก็บรายละเอียดภาพแบบ 10-bit (1 พันล้านสี)

- รองรับการเก็บรายละเอียดภาพ 1 พันล้านสี (10-bit : ในกล้อง Wide, Ultra Wide และ Telephoto) - รองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW (10-bit RawPlus : ใน Expert Mode) - โหมดกล้องแบบ Photo, Night, Video, Portrait, Dual-view video, Slo-motion, Time lapse, Movie, Expert, Panorama, Text scanner, Microscope, Sticker และ Google Lens - เทคโนโลยี DOL HDR ช่วยเพิ่มไดนามิกของภาพถ่ายให้กว้างขึ้นเมื่อถ่ายภาพแบบ HDR - โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง สามารถใช้งานได้กับกล้องทุกระยะ - ฟังก์ชัน Ultra Steady Video และ Ultra Steady Video Pro สำหรับช่วยลดอาการสั่นไหวขณะถ่ายวิดีโอ - ระบบ 10-bit Full-path Colour Engine สำหรับบันทึกภาพ 1,000 ล้านสี พร้อมถอดรหัส และแสดงผลบนหน้าจอแบบ 1,000 ล้านสี - รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60fps หรือ 30fps) - ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS สำหรับการถ่ายวิดีโอ - ฟังก์ชัน Video Zoom สำหรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ UHD 4K (30fps), 1080P FHD (60fps หรือ 30fps) และ 720P HD (60fps หรือ 30fps) - ฟังก์ชัน AI Highlight Video - โหมดถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic รองรับการปรับตั้งค่าขณะถ่ายวิดีโอได้ด้วยตนเอง - โหมดถ่ายวิดีโอตอนกลางคืน (Night Mode) - โหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Portrait สำหรับถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ - โหมดการถ่ายวิดีโอ Cinematic Mode สำหรับปรับแต่งการตั้งค่าต่าง ๆ ขณะถ่ายวิดีโอได้อย่างอิสระ พร้อมรองรับการบันทึกไฟล์แบบ LOG สำหรับนำไปปรับแต่งต่อในแอปพลิเคชันอื่นๆ

กล้องด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 81 องศา, โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์

- โหมดกล้องแบบ Photo, Video, Portrait, Night, Dual-view video, Time lapse, Panorama และ Sticker - รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30fps) - ระบบป้องกันการสั่นสำหรับการถ่ายวิดีโอ

- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo Speakers) พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos - รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM) - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 5G, 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi 6 - รองรับ 5G ที่คลื่นความถี่ n1 (2100 MHz), n3 (1800 MHz), n5 (850 MHz), n7 (2600 MHz), n8 (900 MHz), n20 (800 MHz), n28 (700 MHz), n38 (2600 MHz), n40 (2300 MHz), n41 (2500 MHz), n77 (3700 MHz), n78 (3500 MHz) และ n79 (4700 MHz) - เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2 และ NFC - รองรับการนำทางด้วยดาวเทียมด้วยระบบ GPS (L1+L5), Galileo (E1+E5a), Glonass, BeiDou (B1I+B1C+B2A) และ QZSS (L1+L5) - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 3.1) - เซนเซอร์ Geomagnetic, Ambient Light, Colour Temperature, Proximity, Accelerometer, Gravity, Gyroscope และ Pedometer

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Find X3 Pro 5G

- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกด้วยการ์ดแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ ได้ - มีให้เลือกเพียงรุ่นความจุเดียว

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

Leave a Comment