รีวิว realme 6 สมาร์ทโฟนจอ 90Hz พร้อมกล้องโปร และแบตใหญ่ชาร์จไว บนดีไซน์ดาวหาง ในราคาไม่ถึง 8 พันบาท :: Thaimobilecenter.com รีวิว realme 6

สมาร์ทโฟนจอ 90Hz พร้อมกล้องโปร และแบตใหญ่ชาร์จไว บนดีไซน์ดาวหาง ในราคาไม่ถึง 8 พันบาท ด้วยจอ Ultra Smooth 6.5 นิ้ว ลื่นไหลระดับ 90Hz, กล้อง AI Quad Camera 64MP ผสานกล้องหน้า In-Display Selfie, แบตเตอรี่ 4300 mAh ชาร์จทันใจด้วย 30W VOOC Flash Charge และชิปเซ็ต Helio G90T เพื่อคอเกม บนตัวเครื่อง Comet Design ที่ไม่กลัวน้ำ ในราคาเพียง 7,999 บาท

18 มีนาคม 2020 - นี่ก็นับเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนน้องใหม่ในงบหลักพันที่น่าสนใจเป็นพิเศษในช่วงนี้ เราจึงอยากรีบหยิบยกมาให้ชมกันเป็นการด่วน โดยก่อนหน้านี้ทางทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้ทำการรีวิวสมาร์ทโฟน realme Series รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง realme 6 Pro ที่มาพร้อมกับจุดเด่นด้านหน้าจอแสดงผลระดับ 90Hz พร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 720G รุ่นแรกของโลก กับ 6 กล้องระดับคุณภาพ และคุณสมบัติภายในที่ครบครันทุกการใช้งานไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้ทีมงานก็ไม่พลาดที่จะนำสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่เปิดตัวควบคู่กันกับ realme 6 Pro อย่าง realme 6 มาทำการรีวิวแบบเจาะลึกให้ทุกท่านได้รับชมกันด้วย

สำหรับ realme 6 แม้ว่าจะเป็นรุ่นรองมาจากรุ่นใหญ่อย่าง realme 6 Pro แต่จริงๆ แล้ว คุณสมบัติภายในถือว่าจัดเต็มไม่แพ้กัน รวมทั้งไม่แพ้สมาร์ทโฟนคู่แข่งรุ่นอื่นๆ บนท้องตลาดที่มีราคาวางจำหน่ายใกล้เคียงกัน ตามสโลแกน "64MP กล้องโปร จอเหนือขั้น" โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบเจาะรูบนหน้าจอแบบ 90Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.5 นิ้ว ที่รองรับการแสดงผลแบบ 90Hz เหมือนกับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นพี่อย่าง realme X2 Pro พร้อมกล้องถ่ายภาพระดับโปรด้านหลังจำนวน 4 ตัวที่ให้เลนส์ถ่ายภาพมาครบครันทุกระยะทุกการใช้งาน และที่สำคัญกล้องตัวหลักนั้นมีความละเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้านั้นก็เป็นแบบ In-Display Selfie ที่ฝังอยู่ในหน้าจอ

ส่วนทางด้านประสิทธิภาพการทำงานนั้นก็คือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เนื่องจาก realme 6 มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผลซีรีส์เกมมิ่งรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง MediaTek Helio G90T ประกบคู่กับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4x ขนาดสูงสุด 8GB และหน่วยความจำภายในแบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB พร้อมระบบปฏิบัติการ Android 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ครอบทับด้วย realme UI และ ที่สำคัญ realme 6 ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4300 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ 30W VOOC Flash Charge 4.0 ที่สามารถ ชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม 100% ในเวลาเพียง 55 นาที

ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกใส่ไว้ในตัวเครื่องสวยๆ แบบ Comet Design ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดาวหาง โดยทาง realme เปิดราคาวางจำหน่ายเอาไว้ค่อนข้างน่าสนใจ เริ่มต้นที่ 7,999 บาทเท่านั้น ส่วนสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะมีฟีเจอร์การใช้งานครบเครื่องอย่างไร และมีความน่าสนใจมากน้อยขนาดไหนนั้น ไปติดตามกันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

realme 6 มาพร้อมกับกล่องบรรจุภัณฑ์สีเหลืองนวลอมส้มซึ่งเป็นสีเอกลักษณ์ของแบรนด์ realme นั่นเอง โดยที่ด้านหน้ามีการประทับชื่อรุ่น realme 6 เอาไว้ให้เห็นเอาไว้แบบเด่นชัด

สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย คู่มือการใช้งาน, เอกสารการรับประกัน, เคสใส, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และอแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟเข้าสมาร์ทโฟนที่มีกำลังจ่ายไฟอยู่ที่ระดับ 5V/6A (30W) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 4.0 นั่นเองครับ โดยทาง realme ระบุว่า สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้เต็มภายในเวลาเพียง 55 นาทีเท่านั้น

มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ realme 6 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ 90Hz Ultra Smooth Display โดยเป็นหน้าจอแสดงผลขอบบางเฉียบทั้ง 4 ด้าน ขนาด 6.5 นิ้ว ที่มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.5% บนความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล)

และที่สำคัญหน้าจอของ realme 6 ยังรองรับการแสดงผลที่ระดับ 90Hz เพื่อช่วยให้การแสดงผลดูลื่นไหลทั้งการใช้งาน และการเล่นคอนเทนต์วิดีโอต่างๆ เมื่อเทียบกับหน้าจอแสดงผลแบบ 60Hz ที่ใช้กันบนสมาร์ทโฟนปัจจุบัน

ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลติดตั้งกล้องหน้าเซล ฟี่แบบเจาะรูบนหน้าจอแสดงผล (In-Display Selfie) ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 พร้อมติดตั้งลำโพงสนทนาเอาไว้บริเวณขอบด้านบนของตัวเครื่อง ไปจนถึงเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Proximity Sensor หรือ Ambient Light Sensor

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด พร้อมปุ่มปรับระดับเสียง

สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ realme 6 เป็นแบบ Triple-slot รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ nanoSIM จำนวน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card สูงสุด 256GB

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องติดตั้งปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง ที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ด้านใต้ สามารถปลดล็อกได้ในเวลาเพียง 0.29 วินาทีเท่านั้น

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม., ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก

ที่ด้านบนติดตั้งชุดกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพขนาด Samsung GW1 ขนาด 1/1.72 นิ้ว รูรับแสงกว้าง f/1.8 โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ กล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide-angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.3 โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ พร้อมองศาในการรับภาพกว้าง 119 องศา กล้อง Portrait แบบ B&W กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ สามารถโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุด 4 เซนติเมตร

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

สำหรับ realme 6 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI เวอร์ชัน 1.0 ซึ่งเป็น UI รูปแบบใหม่ที่ทาง realme พัฒนาขึ้นมาเองโดยยึดพื้นฐานมาจาก ColorOS ที่เคยใช้ก่อนหน้านี้

แม้ว่าจะเป็น UI ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ แต่ทาง realme ก็ยังคงคอนเซ็ปท์การใช้งานที่เรียบง่าย ด้วยการวางไอคอนแอปพลิเคชันที่จำเป็นเอาไว้บนหน้าโฮมสกรีน ส่วนแอปพลิเคชันทั้งหมดถูกจัดเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในหน้า App Drawer ที่สามารถเรียกดูได้เพียงแค่ใช้นิ้วลากจากขอบล่างขึ้นด้านบน

เมื่อแตะค้างที่หน้าโฮมสกรีนจะพบกับเมนูสำหรับ การจัดการหน้าโฮมสกรีนทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่ การเพิ่ม Widget, การเปลี่ยนวอลเปเปอร์, การเปลี่ยนเอฟเฟ็กต์ขณะสลับหน้าโฮมสกรีน และการตั้งค่าโฮมสกรีน

เมื่อปัดไปทางด้านซ้ายของหน้าโฮมสกรีนจะพบกับ Smart Assistant หรือผู้ช่วยอัจฉริยะที่คอยรวบรวมการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้เลือกไว้ในรูป แบบ Card ทำให้เราสามารถอัปเดตข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวกภายในหน้าเดียว นอกจากนี้ Smart Assistant ยังเป็นหน้าสำหรับรวบรวมคีย์ลัดต่างๆ เอาไว้ด้วย อย่างเช่น การแปลงสกุลเงิน หรือการสแกนเอกสาร เป็นต้น

เมื่อลากนิ้วจากบนลงล่างที่หน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Global Search ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาแอปพลิเคชัน หรือข้อมูลที่ต้องการได้แบบทันใจ

สำหรับแอปพลิเคชันพื้นฐานที่ realme ติดตั้งมาให้นั้น ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน โดยมาพร้อมกับแอปพลิเคชันจาก Google และแอปพลิเคชันเครื่องมือพื้นฐาน เช่น บันทึกเสียง, เข็มทิศ, วิทยุ และเครื่องคิดเลข เป็นต้น

รวมทั้งยังมีแอปพลิเคชันที่น่าสนใจอย่าง App Market ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมแอปพลิเคชัน และเกมที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟน realme โดยเฉพาะ

แอ ปพลิเคชัน HeyTap Cloud ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถบริหารข้อมูลต่างๆ สำหรับอัปโหลดขึ้นไปเก็บเอาไว้บนคลาวด์ได้อย่างง่ายดาย

แอปพลิเคชัน Phone Manager สำหรับช่วยบริหารประสิทธิภาพสมาร์ทโฟนให้อยู่ในระดับสูงสุด ผ่านการตรวจสอบสถานะการทำงานของสมาร์ทโฟน เช่น หน่วยความจำ RAM / ROM ที่คงเหลือ, ลบข้อมูลภายในหน่วยความจำ ROM ที่ไม่ได้ใช้งาน รวมถึงการสแกนไวรัส เป็นต้น โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งสมาร์ทโฟนให้เต็มประสิทธิภาพง่ายๆ ผ่านการแตะที่เมนู Optimize

สามารถปรับเปลี่ยนธีม และวอลเปเปอร์ได้อย่างหลากหลายที่แอปพลิเคชัน Theme Store

ข้ามมาดูที่ลูกเล่นด้านการใช้งานกันบ้าง สำหรับ realme 6 รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด  พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ทั้งสองซิมการ์ด รวมถึงเทคโนโลยี Wi-Fi Calling สำหรับสนทนาผ่านเครือข่าย Wi-Fi

นอกจากนี้ ยังรองรับฟังกืชัน Screencast สำหรับจับคู่สมาร์ทโฟนกับจอมอนิเตอร์ สำหรับแชร์ภาพบนมือถือไปยังหน้าจอได้แบบไร้สาย

รองรับการทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Dark Mode สำหรับปรับเปลี่ยนโทนสีของ UI ให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สบายตามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Eye Care สำหรับปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอแสดงผลให้อยู่ในโทนอุ่น ซึ่งนอกเหนือจากจะช่วยลดแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตาผู้ใช้งานแล้ว ยังเป็นการช่วยลดอาการล้าของสายตา ตอบโจทย์การใช้งานในสถานที่แสงน้อยเป็นอย่างมาก

อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ด้านต้นว่า หน้าจอแสดงผลของ realme 6 เป็นแบบ 90Hz Ultra Smooth Display รองรับการแสดงผลที่ค่า Refresh Rate สูงสุดที่ 90Hz โดยวิธีใช้งานนั้นผู้ใช้จะต้องเข้ามาทำการปรับโหมดการแสดงผลของหน้าจอแสดงผลเป็น 90Hz ด้วยตนเองที่เมนู Screen Refresh Rate เนื่องจากค่า Default ของ realme 6 จะตั้งไว้อยู่ที่ระดับ 60Hz เพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ให้ใช้ได้อย่างยาวนานมากยิ่งขึ้น

มาพร้อมกับฟีเจอร์ OSIE Vision Effect ซึ่งเป็นการปรับสีสันของคอนเทนต์ให้สดใสมากยิ่งขึ้น

สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดวางไอคอนบนหน้าโฮ มสกรีนได้ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Standard Mode ซึ่งเป็นการเรียงหน้าไอคอนแอปพลิเคชันทั้งหมดบนหน้าโฮมสกรีน, Drawer Mode เรียงหน้าไอคอนแอปพลิเคชันทั้งหมดภายใน App Drawer และ Simple Mode ซึ่งเป็นการเรียงไอคอนแอปพลิเคชันทั้งหมดบนหน้าโฮมสกรีน พร้อมกับปรับขนาดไอคอนให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

สามารถตั้งค่าการแตะบนหน้าโฮมสกรีนสองครั้ง เพื่อล็อกหน้าจอได้ผ่านเมนู Double Tap To lock

มาพร้อมกับเทคโนโลยี Real Original Sound Technology ที่ทาง realme ได้พัฒนาร่วมกับ Dirac Research AB สำหรับปรับจูนเสียงให้มีความกระหึ่มมากยิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อกับหูฟังเท่านั้นครับ

มาพร้อมกับฟังก์ชัน Smart Services หรือบริการอัจฉริยะที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการใช้งานโดยเฉพาะ โดยภายใน Smart Services จะประกอบไปด้วย Smart Driving ซึ่งเมื่อผู้ใช้เปิดฟังก์ชันดังกล่าว และเชื่อมต่อ Bluetooth กับรถยนตน์ ระบบจะทำการปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ให้แบบอัตโนมัติ เมื่อให้ผู้ใช้มีสมาธิอยู่กับการขับขี่บนท้องถนน แต่ยังสามารถรับสายสนทนาได้ตามปกติ ส่วนอีกหนึ่งฟังก์ชันก็คือ Smart Assistant ซึ่งเป็นศูนย์รวบรวมข่าวสารจากแอปพลิเคชันต่างๆ เอาไว้ภายในหน้าเดียว ซึ่งอยู่บนหน้าโฮมสกรีนของผู้ใช้งานนั่นเอง

อีกหนึ่งฟังก์ชันที่น่าสนใจนั่นก็คือ Convenience Tools ที่รวบรวมฟีเจอร์สารพัดประโยชน์เอาไว้ให้ผู้ใช้งานอย่างมากมาย เริ่มตั้งแต่ การกดปุ่ม Power ค้างไว้เป็นเวลา 0.5 วินาที เพื่อเรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant

Navigation Buttons สำหรับปรับเปลี่ยนรูปแบบของปุ่มควบคุมด้านล่าง ได้แก่ Virtual Buttons ซึ่งเป็นการใช้ปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ (Recent Apps, Home และ Back) และ Swipe Gestures ซึ่งเป็นการใช้นิ้วลากจากขอบด้านล่าง และขอบด้านข้างตัวเครื่องเพื่อสั่งการ รมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Pull Down to Enter One-Handed Mode หรือการลากนิ้วลงจากขอบด้านล่างตัวเครื่องเพื่อเข้าสู่โหมดการใช้งานมือเดียว ตอบโจทย์สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ที่มีพื้นที่ในการแสดงผลใหญ่ขึ้นนั่นเอง

ฟังก์ชัน Assistive Ball หรือการปุม่คีย์ลัดวงกลมที่ลอยอยู่เหนือแอปพลิเคชัน โดยเราสามารถเลือกใช้งานได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Gesture Operations ซึ่งเป็นการแตะเพื่อสั่งการ และ Tab Menu ซึ่งเป็นการแตะเพื่อเรียกดูคีย์ลัดสำหรับสั่งการทั้งหมด

Smart Sidebar แถบคีย์ลัดสำหรับเข้าถึงแอปพลิเคชันแบบเร่งด่วนที่ซ่อนเอาไว้บริเวณขอบด้านขวาของตัว เครื่อง

และมาพร้อมกับ Gestures & Motions หรือการสั่งการตัวเครื่องผ่านการใช้ท่าทาง และการเคลื่อนไหวสมาร์ทโฟนในทิศทางต่างๆ เช่น การวาดรูปตัว O ขณะที่หน้าจอแสดงผลดับ เพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, การใช้สามนิ้วลากลงเพื่อบันทึกภาพหน้าจอ, ปลุกหน้าจอแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาอยู่ในระดับใช้งาน, หรือการรับสายแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู เป็นต้น

ด้านแบตเตอรี่ มาพร้อมกับ Smart Power Save ฟังก์ชันอัจฉริยะสำหรับช่วยประหยัดแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น รวมถึงฟังก์ชัน Power Saving Mode สำหรับปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปพลิเคชันบางตัว และปิดฟังก์ชัน Auto Sync รวมถึงลดความสว่างของหน้าจอ เพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ในระดับสูงสุด

รองรับการปรับรูปแบบการทำงานของสมาร์ทโฟนได้ ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ High Performance Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องอยู่ในระดับสูงสุด, Smart Performance Mode สำหรับปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องตามแอปพลิเคชันที่ใช้งาน และ No Performance Improvement ที่เน้นไปในเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้อย่างยาวนาน

นอกเหนือจากการปรับแต่งประสิทธิภาพการทำงานของ ตัวเครื่องแล้ว เรายังสามารถปรับแต่งรูปแบบการทำงานของหน้าจอแสดงผลได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Balance Mode ซึ่งจะช่วยยืดแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานขึ้นราว 5% และ High Energy Efficiency Mode ที่ช่วยทำให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นานขึ้นราว 10%

หากใครที่ต้องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ ใช้งานได้ยาวนานขึ้นไปอีกขั้น ก็สามารถเข้าไปใช้งานฟีเจอร์ที่เรียกว่า App Quick Freeze ได้ โดยเราสามารถเลือกที่จะ Freeze หรือหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันที่เราต้องการได้ด้วยตนเองครับ

Digital Wellbeing & Parent ฟังก์ชันที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ก็มีให้ใช้งานใน realme 6 เช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวันด้วยตนเอง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถบริหารเวลาการใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีฟังก์ชัน Wind Down ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตัดขาดจากสมาร์ทโฟน เพื่อป้องกันการรบกวนขณะนอนหลับนั่นเองครับ

อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจก็คือ App Cloner สำหรับโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียให้ทำงานแยกกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ผู้ใช้สามารถเล่นแอปพลิเคชันได้แบบ 2 แอคเคานท์นั่นเอง

รองรับฟังก์ชัน Split Screen สำหรับแบ่งแอปพลิเคชันเพื่อทำงานแบบ 2 หน้าจอ โดยเราสามารถสั่งการได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ การใช้สามนิ้วลากขึ้นด้านบน, กดค้างที่ปุ่ม Recent Apps  และเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการ, กดที่บริเวณมุมขวาบนของไอคอนแอปพลิเคชันในหน้า Recent Apps และการลากแอปพลิเคชันจากหน้า Smart Sidebar มายังตรงกลางหน้าจอ

และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง realme Lab ซึ่งภายนฟังก์ชันดังกล่าวผู้ใช้จะได้สัมผัสลูกเล่นใหม่ๆ ของระบบปฏิบัติการก่อนใคร ซึ่งใน realme 6 ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ Dual-Mode Audio ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงได้จากหูฟังบลูทูธ และหูฟังแบบเสียบสายได้พร้อมกัน

ในส่วนของระบบความปลอดภัย มาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ ส่วนการสแกนใบหน้า รองรับบันทึกใบหน้าผู้ใช้งานได้สูงสุด 1 ใบหน้า

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันที่ต้องการ โดยจะเพียงผู้ใช้ที่ลงทะเบียนลายนิ้วมือ, ใบหน้า หรือผู้ที่รู้รหัสผ่านเท่านั้น ที่สามารถเข้าใช้งานได้

รวมถึงฟังก์ชัน Private Safe สำหรับเก็บไฟล์ และข้อมูลต่างๆ เอาไว้ภายในตู้เซฟแบบเสมือน เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวในระดับสูงสุด

นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งไม่ให้แสดงการแจ้งเตือนต่างๆ บนหน้าล็อกสกรีน ได้อีกด้วย

มาดูในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ realme 6 ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G90T แบบ Octa-Core Processor พร้อมหน่วยประมวลผลภาพกราฟิก (GPU) แบบ Mali G76 พร้อมหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4x Dual-Channel ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ความจุ 128GB โดยรันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย realme UI ตั้งแต่แกะกล่อง โดยจากที่ทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า realme 6 ทำคะแนนได้ทั้งหมด 289662 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 5 พบว่า ทำคะแนนทดสอบแบบ Single-Core ได้ทั้งหมด 507 คะแนน และทำคะแนนทดสอบแบบ Multi-Core ได้ทั้งหมด 1655 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลของหน่วย ความจำภายในด้วยแอปพลิเคชัน Androbench พบว่า มีค่าความเร็วในการอ่านไฟล์ข้อมูลอยู่ที่ 518.44 MB/s ซึ่งตรงกับคุณสมบัติของหน่ยความจำแบบ UFS 2.1

ลองมาทดสอบการเล่นเกมจริงกันดูบ้าง โดยเกมที่ทีมงานหยิบมาทดสอบในวันนี้ก็ต่างเป็นเกม 3D ยอดฮิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Honkai Impact 3, PUBG Mobile ไปจนถึง RoV โดยในแต่ละเกมสามารถปรับกราฟิกอยู่ในระดับสูงสุด และเล่นได้อย่างลื่นไหล แต่หากเป็นเกมที่มีการประมวลผลทรัพยากรต่างๆ อยู่ในระดับสูงอยู่ตลอดเวลาอย่าง Honkai Impact 3 ตัวเครื่องจะมีความร้อนแผ่ออกมาให้รู้สึกได้ แต่ก็สามารถถ่ายเทออกจากตัวเครื่องได้ค่อนข้างรวดเร็วเช่นกัน นอกจากนี้ realme 6 ยังติดตั้งเทคโนโลยี Hyper Boost สำหรับช่วยรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมอยู่ในระดับสูงสุด ประกอบไปด้วย Frame Boost สำหรับช่วยเพิ่มเฟรมเรท และ Touch Boost สำหรับช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองของหน้าจอแสดงผล

ด้าน GPS สามารถตรวจจับสัญญาณได้อย่างรวดเร็ว และมีค่าความแม่นยำ +- ไม่เกิน เมตร

ด้านเซ็นเซอร์จัดวางมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Accelerometer Sensor, Light Sensor, Proximity Sensor, Magnetic Sensor ไปจนถึง Gyroscope Sensor

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

realme 6 มาพร้อมกับกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพขนาด Samsung GW1 ขนาด 1/1.72 นิ้ว รูรับแสงกว้าง f/1.8 โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ กล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide-angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.3 โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ พร้อมองศาในการรับภาพกว้าง 119 องศา กล้อง Portrait แบบ B&W กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ สามารถโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุด 4 เซนติเมตร สำหรับหน้า UI กล้องถ่ายภาพบน realme UI ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายเช่นเดิม โดยจะแบ่งคีย์ลัดสำหรับตั้งค่ากล้องถ่ายภาพที่ด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR, การเปิด-ปิด Chroma Boost

รวมทั้งยังสามารถเลือกใช้งานฟิลเตอร์เพื่อปรับ แต่งโทนสีของภาพถ่ายได้อย่างหลากหลาย

ส่วนแถบด้านล่างจะเป็นโหมดการถ่ายภาพในรูปแบบ ต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมดถ่ายภาพปกติที่ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันหน้าสวย (AI Beauty) โดยสามารถปรับความเรียบเนียนของใบหน้าได้ทั้งหมด 100 ระดับ

มาพร้อมกับฟีเจอร์ AI Scene Recognition สำหรับตรวจสอบวัตถุ และสภาพแวดล้อมที่อยู่ภายในเฟรม เพื่อทำการปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสวยงามแบบอัตโนมัติ

สามารถสลับไปยังกล้องเลนส์ Ultra Wide-angle ได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะที่ไอคอนรูปจุดทางด้านซ้ายข้างตัวเลข 1x

เมื่อแตะที่ตัวเลข 1x จะเป็นการซูมภาพโดยกล้องตัวหลัก ซึ่งสามารถซูมภาพได้ทั้งหมด 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่ 1x, 2x และ 5x

รองรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait โดยผู้ใช้สามารถปรับระดับการเบลอของฉากหลังได้ทั้งหมด 100 ระดับ แต่ค่าปกติจะตั้งอยู่ที่ระดับ 60 เพื่อความเป็นธรรมชาติ นอกจากนี ้เรายังสามารถเลือกฟิลเตอร์ขณะใช้งานโหมด Portrait ได้อีกด้วย

มาพร้อมกับโหมด 64M สำหรับถ่ายภาพแบบเต็มความละเอียด 64 ล้านพิกเซลของกล้องตัวหลัก โดยในโหมดนี้จะจำกัดการใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง เช่น การซูมภาพ หรือการเปิดใช้งานฟิลเตอร์ แต่ผู้ใช้ยังสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Chroma Boost เพื่อช่วยเติมสีสันให้แก่ภาพถ่ายให้มีความสดใสได้

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Super NightScape 2.0 สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง ผ่านการประมวลผลขั้นสูงของหน่วยประมวลผลภาพ (Image Processor) และอัลกอริทึมที่สามารถรวมภาพหลายๆ เฟรมเป็นภาพเดียวเพื่อช่วยลด Noise ที่ปรากฏบนภาพ (Multi-frame Noise Reduction) ส่งผลให้ภาพที่ออกมาจะมีความคมชัด โดยในโหมดนี้เราสามารถใช้งานได้ทั้งกล้องตัวหลัก และกล้อง Ultra Wide-angle ครับ

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์กล้องที่น่าสนใจซึ่งซ่อนตัวอยู่ในฟังก์ชัน More ไม่ว่าจะเป็น Ultra Macro สำหรับถ่ายภาพได้ใกล้สุด 4 เซนติเมตร, Expert สำหรับถ่ายภาพในโหมด Pro ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าของกล้องถ่ายภาพได้ด้วยตนเอง และ Pano สำหรับถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Panorama

มาดูที่การถ่ายวิดีโอกันบ้าง สำหรับ realme 6 รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ที่ 30fps พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟิลเตอร์ขณะถ่ายวิดีโอ และการบันทึกวิดีโอด้วยเลนส์ Ultra Wide-angle ส่วนฟีเจอร์ UIS Max Video Stabilization หรือระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดีโอที่มีให้ใช้งานบนรุ่น realme 6 Pro ด้วยนั้น จะมีการปล่อยอัปเดตซอฟท์แวร์ในภายหลังครับ

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse และการถ่ายวิดีโอแบบ Slo-mo ที่ระดับ 240fps

มาดูที่ลูกเล่นการใช้งานของกล้องหน้าเซลฟี่ความ ละเอียด 16 ล้านพิกเซลกันบ้าง โดย UI ของกล้องถ่ายภาพจะมีความคล้ายคลึงกับกล้องด้านหลัง ด้วยการจัดวางคีย์ลัดเอาไว้ที่ด้านบน และโหมดการถ่ายภาพที่ด้านบน  โดยในโหมดการถ่ายภาพปกติ สามารถตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลชจากหน้าจอแสดงผล, การเปิด-ปิด HDR รวมถึงการเปิดใช้งานฟิลเตอร์

สามารถเลือกใช้ฟิลเตอร์เพื่อปรับโทนสีของภาพได้ อย่างหลากหลาย

รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอผ่าน โหมด Portrait ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับระดับการเบลอได้ทั้งหมด 100 ระดับเหมือนกับกล้องหลัง รวมทั้งยังรองรับการเปิดใช้งานฟังก์ชัน AI Beauty และฟิลเตอร์อีกด้วย

รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่มุมกว้างแบบ Pano ตอบโจทย์การถ่ายภาพเซลฟี่แบบกลุ่ม

ทางด้านวิดีโอ กล้องหน้าของ realme 6 รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟิลเตอร์ขณะถ่ายวิดีโออีกด้วย

รวมทั้งยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียดระดับ 64+8+2 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Portrait (B&W) ของ realme 6

ภาพถ่ายจากกล้องตัวหลัก

ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide-angle

ภาพถ่ายด้วยฟังก์ชัน Portrait

ภาพถ่ายด้วยฟังก์ชัน Ultra Macro

ภาพถ่ายจากโหมด Super NightScape 2.0

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ realme 6

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty

สรุปผลการทดสอบของ realme 6

สรุปแล้วการมาของ realme 6 สมาร์ทโฟน realme Series รุ่นใหม่ล่าสุดในครั้งนี้ถือว่ามีการอัปเกรด และพัฒนาต่อยอดมาจาก realme 5s พอสมควร ทั้งหน้าจอแสดงผลแบบ 90Hz Ultra Smooth Display ขนาดใหญ่เต็มตาถึง 6.5 นิ้ว ที่มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.5% พร้อมรองรับค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz เทียบชั้นกับสมาร์ทโฟนกลุ่มเรือธงในปัจจุบันที่มักจะมีราคาวางจำหน่ายค่อนข้างสูง ซึ่งการที่ realme ตัดสินใจมาใช้งานกับสมาร์ทโฟนใน ช่วงราคาไม่ถึง 10,000 บาท แล้ว ก็ยิ่งทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก

ด้านการออกแบบถือว่ามีความโดดเด่นตามสไตล์ของ realme โดยเลือกใช้การเคลือบผิวสัมผัสที่มีการเล่นลวดลายเป็นเส้นริ้วแบบ Comet Design ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดาวหาง สามารถสะท้อนเล่นกับแสงได้ตามมุมที่ตกกระทบ ส่วนทางด้านงานประกอบก็ยังคงมีความแข็งแรงเช่นเคย เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้ผ่านการทดสอบคุณภาพจากแบรนด์ realme เหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การทดสอบการตก, การทดสอบช่องเสียบ USB หรือการทดสอบปุ่มกด เป็นจำนวนกว่า 10,000 ครั้ง (การตก กับช่อง USB) หรือ 100,000 ครั้ง (ปุ่มกด) รวมทั้งยังถูกดีไซน์ให้ป้องกันละอองน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่ค่อนข้างหาได้ยากบนสมาร์ทโฟนในช่วงราคานี้

ทางด้านประสิทธิภาพการทำงาน ถือว่าตอบโจทย์ทุกการใช้งานทั้งการเล่นเกม และการใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการติดตั้งชิปเซ็ตประมวลผลตัวใหม่อย่าง MediaTek Helio G90T ซึ่งเป็นชิปเซ็ตประมวลผลที่จัดอยู่ในกลุ่มเกมมิ่ง พร้อมหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x ขนาดสูงสุด 8GB และหน่วยความจำภายใน ( ROM ) แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB ที่ผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้อีก 256GB และที่สำคัญยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4300 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ 30W VOOC Flash Charge 4.0 ซึ่งสามารถเติมแบตเตอรี่กลับเข้าสู่ตัวเครื่องได้ในเวลาอันรวดเร็ว หรือ ชาร์จเต็ม 100% ได้ภายในเวลาเพียง 55 นาที

และแน่นอนว่าเรื่องการถ่ายภาพก็ไม่ธรรมดา เพราะให้กล้องหลังมา 4 ตัวเพื่อตอบโจทย์การใช้งานทุกระยะทุกรูปแบบ บนความละเอียดสูงสุดถึง 64 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องหน้าแบบ In-Display Selfie ที่มีลูกเล่นมากมาย ให้เราได้ถ่ายเซลฟี่สวยๆ หล่อๆ ได้แบบง่ายๆ

หากพิจารณาจากราคาวางจำหน่ายของ realme 6 ที่เปิดราคาขายในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 7,999 บาท สำหรับรุ่น RAM 4GB+ROM 128GB และ 8,999 บาท สำหรับรุ่น RAM 8GB+ROM 128GB แล้ว ก็พอจะบอกได้ว่า realme 6 เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนสักหนึ่งเครื่อง ที่สามารถดูหนัง เล่นเกมได้อย่างเต็มอรรถรส และมีกล้องถ่ายภาพที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างน่าประทับใจ รวมทั้งมีราคาวางจำหน่ายที่ไม่สูงมากนัก ยังอยู่ในงบประมาณหลักพัน ซึ่ง realme 6 ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจลำดับต้นๆ ของสมาร์ทโฟนช่วงราคาไม่เกิน 10,000 บาทเลยทีเดียว

สำหรับ realme 6 เปิดให้พรีออเดอร์ระหว่างวันที่ 22-27 มีนาคม 2563 ก่อนที่จะวางจำหน่ายจริงในวันที่ 28 มีนาคม 2563 โดยผู้ที่สั่งจองในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้รับฟรี realme Notebook Backpack และ realme VIP Card นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่าย ซึ่งสามารถเป็นเจ้าของ realme 6 ได้ในราคาเพียง 4,499 บาท เท่านั้น พร้อมรับฟรีของแถม realme Notebook Backpack และ realme VIP Card ที่สำคัญผู้ใช้ยังสามารถรับสิทธิ์ในการ ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อสั่งซื้อ realme 6 ผ่านทุกช่องทางการจำหน่าย ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม-30 เมษายน 2563

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme 6 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ realme 6

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Comet Design ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดาวหาง พร้อมกระบวนการเคลือบผิวสัมผัสแบบ Optical Plating Technology - หน้าจอแสดงผล IPS 90Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2400x1080 พิกเซล (Full HD+) - พื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่อง 90.5% - รองรับการแสดงผลที่ค่า Refresh Rate สูงสุดระดับ 90Hz - ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Helio G90T - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G76 - หน่วยประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AIE) - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x Dual-Channel ขนาดสูงสุด 8GB (รุ่นราคา 8,999 บาท) หรือ 4GB (รุ่นราคา 7,999 บาท) - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI1.0 - ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมเพิ่มหน่วยความจำเสริมผ่านช่องทาง microSD Card ได้อีก 256GB

- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียด 64+8+2 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง Portrait แบบ B&W สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังละลาย ประกอบด้วย

> กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้าง 119 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ > กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung GW1 ขนาด 1/1.72 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 78.6 องศา และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ > กล้อง B&W (Portriat) สำหรับถ่ายภาพบุคคล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ > กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพใกล้สุดที่ระยะ 4 เซนติเมตร พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

ฟีเจอร์ Super NightScape 2.0 สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง, Ultra Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้สุด 4 เซนติเมตร, รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Mo ระดับ 240fps, รองรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลังที่ความละเอียดระดับ 4K UHD และระบบป้องกันการสั่นไหวขณะถ่ายวิดีโอแบบ UIS Max

- กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.0, ฟีเจอร์ AI Beauty สำหรับปรับใบหน้าของผู้ใช้ให้สวยงามเป็นธรรมชาติ และโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังละลาย

- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่อง สามารถปลดล็อกได้ในเวลาเพียง 0.29 วินาที - ระบบสแกนใบหน้า (Face Recognition) - ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน Hyper Boost สำหรับจัดสรรทรัพยากรในตัวเครื่อง เพื่อช่วยรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้ดีขึ้น - ฟังก์ชัน Frame Boost สำหรับช่วยรีดเฟรมเรทให้มีความเสถียร และ Touch Boost สำหรับเพิ่มความไวต่อการตอบสนองของหน้าจอ - แบตเตอรี่ความจุ 4300mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็ว 30W VOOC Flash Charge 4.0 - ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม. - พอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐานใหม่แบบ USB Type-C - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac Dual-Band - รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย, Beidou ของประเทศจีน และ GALILEO ของสหภาพยุโรป - มีราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม ที่ 7,999 บาท สำหรับรุ่น RAM 4GB+ROM 128GB และ 8,999 บาท สำหรับรุ่น RAM 8GB+ROM 128GB

Leave a Comment