รีวิว realme 7 Pro รุ่นใหม่ใส่พลังชาร์จ 65W พร้อมชิปเกมมิ่ง ลำโพงคู่ กล้อง 4 ตัว 64MP และจอ Super AMOLED บนดีไซน์สวยพรีเมียม :: Thaimobilecenter.com

รุ่นใหม่ใส่พลังชาร์จ 65W พร้อมชิปเกมมิ่ง ลำโพงคู่ กล้อง 4 ตัว 64MP และจอสวยคมชัด บนดีไซน์พรีเมียม ด้วยแบตเตอรี่ 65W SuperDart Charge จุใจ 4500 mAh, ชิปเซ็ต Snapdragon 720G, กล้อง Quad Camera 64MP ผสานกล้องหน้า In-Display 32MP, จอ Super AMOLED FHD+ กับสแกนนิ้วบนจอ, ลำโพงคู่ Dolby Atmos และ RAM 8GB ในราคา 10,990 บาท

25 กันยายน 2020 - สมาร์ทโฟน realme Pro Series เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจของแบรนด์ realme เพราะมักจะมาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นเฉพาะตัว, คุณสมบัติตัวเครื่องที่ตอบโจทย์การใช้งานระดับโปร และราคาวางจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่าย เมื่อไม่นานมานี้ทาง realme ก็เพิ่งจะมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูล Pro Series ตัวใหม่ล่าสุด กับรุ่น realme 7 Pro ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมชาร์จไว 65W SuperDart Charge ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น รวมทั้งยังมาพร้อมกับนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพด้วยระบบ กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ที่ช่วยให้การบันทึกภาพความประทับใจเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น กับกล้องหน้าแบบ In-Display ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

นอกเหนือจากความโดดเด่นด้านระบบชาร์จเร็ว และกล้องถ่ายภาพแล้ว realme 7 Pro ยังพกพาความน่าสนใจมารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ตเกมมิ่งอย่าง Snapdragon 720G, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4500mAh เพื่อรองรับการใช้งานที่ยาวนานตลอดวัน, ดีไซน์เรียบหรูพรีเมียมที่มีเอกลักษณ์ต่างจาก realme รุ่นอื่นๆ ไปจนถึงลำโพงคู่ Dolby Atmos ที่พร้อมรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูงแบบ Hi-Res และลูกเล่น กับคุณสมบัติพื้นฐานอื่นๆ ที่ครบครัน

สำหรับ realme 7 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอาไว้ที่ 10,990 บาท เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่กำลังดี เอื้อมถึงได้ไม่ยาก มาดูกันดีกว่าว่าสมาร์ทโฟนตระกูล Pro Series รุ่นใหม่จาก realme จะมีความน่าสนใจเพียงใด คุ้มค่าขนาดไหน และจะมีเจอร์อะไรให้ใช้งานบ้าง ผ่านบทความรีวิวจากทีมงาน Thaimobilecenter ครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

realme 7 Pro เลือกใช้กล่องผลิตภัณฑ์สีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมประทับชื่อรุ่น realme 7 Pro ให้เห็นแบบเด่นชัด

สำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ ประกอบไปด้วย เคสใส, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล และใช้งานร่วมกับอแดปเตอร์จ่ายไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟน, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, อแดปเตอร์สำหรับจ่ายไฟ และคู่มือการใช้งาน

สำหรับอแดปเตอร์จ่ายไฟของ realme 7 Pro รองรับกำลังไฟสูงสุด 10V/6.5A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการชาร์จเร็วแบบ 65W SuperDart Charge โดยทาง realme ระบุว่า สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 4500mAh ของ realme 7 Pro เพียง 3 นาที ก็ได้แบตเตอรี่กลับมามากถึง 13% ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การเล่น YouTube ได้นานถึง 2.54 ชั่วโมง หรือเล่น PUBG ได้ 3 เกม เป็นต้น ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% จะใช้เวลาเพียง 34 นาทีเท่านั้น

realme 7 Pro มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED แบบเต็มจอ (Fullscreen) ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล) โดยมีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.8% รวมทั้งยังรองรับการแสดงสีสันตามขอบเขตสีแบบ NTSC ครอบคลุมถึง 98%

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมาพร้อมกับถาดใส่ซิมการ์ด และปุ่มปรับระดับเสียง

สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ realme 7 Pro จะเป็นแบบ Triple-Slot รองรับซิมการ์ดแบบ nanoSIM ทั้งสองช่อง และสามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน

ด้านขวาของตัวเครื่องติดตั้งปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล

ด้านงานออกแบบดีไซน์ของ realme 7 Pro ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Mirror Space หรือแสงสะท้อนที่เกิดขึ้นรอบตัว โดยมาพร้อมกับฝาหลังที่มีการเคลือบผิวสัมผัสแบบ AG Processing ที่ช่วยให้บอดี้มีความด้าน แต่ยังสามารถสะท้อนแสงให้เห็นถึงสีสันเมื่อแสงตกกระทบ รวมทั้งยังมีการเคลือบผิวสัมผัสแบบ CD Textures ช่วยให้สมาร์ทโฟนดูมีความพรีเมียมมากขึ้นด้วย โดยสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิวในวันนี้ก็คือ สีเงิน Mirror Silver ส่วนอีกหนึ่งเฉดสีที่มีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยก็คือ สีน้ำเงิน Mirror Blue

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมาพร้อมกับระบบกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) แบ่งออกเป็น

- กล้องตัวหลัก ( Main ) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX682ขนาด 1/1.73 นิ้ว, รูรับแสงกว้าง f/1.8 และเทคโนโลยี Quad Bayer 1.6 ไมครอน - กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.3 และองศาในการรับภาพกว้าง 119 องศา - กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.4 สามารถโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุดระดับ 4 เซนติเมตร - กล้อง B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.4

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

realme 7 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI เวอร์ชัน 1.0 ที่มีลูกเล่นการใช้งานอย่างหลากหลาย

สำหรับหน้าโฮมสกรีนถูกออกแบบมาอย่างสะอาดตา มีการจัดเรียงไอคอนแอปพลิเคชันพื้นฐาน รวมถึงเครื่องมือต่างๆ ให้มองเห็นอย่างเด่นชัด ส่วนแอปพลิเคชันทั้งหมดจะถูกซ่อนเอาไว้ภายใน App Drawer สามารถเรียกใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ลากนิ้วจากขอบด้านล่างขึ้นมายังด้านบน

เมื่อลากนิ้วจากขอบด้านบนลงมายังด้านล่าง จะพบกับ Toggle Switch ซึ่งเป็นหน้าสำหรับรวบรวมคีย์ลัดสำหรับการตั้งค่าต่างๆ ภายในตัวเครื่อง โดยผู้ใช้สามารถเลือกปรับเปลี่ยนตำแหน่งการจัดวางไอคอนคีย์ลัดได้ด้วยตนเองผ่านการ แตะที่ไอคอนรูปปากกา

เมื่อปัดนิ้วไปทางขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Feed ซึ่งเป็นหน้ารวบรวมข่าวสารอัปเดตล่าสุดที่เป็นกระแสอยู่ ณ ตอนนี้ เพื่อให้ผู้ใช้ไม่พลาดทุกข่าวสารสำคัญ

สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ในตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย แอปพลิเคชันพื้นฐานจาก Google เช่น Gmail, YouTube หรือ Google Drive เป็นต้น และแอปพลิเคชันพื้นฐานจาก realme ไม่ว่าจะเป็น บันทึกเสียง, เข็มทิศ หรือตรวจสอบสภาพอากาศ

มาดูที่ลูกเล่นด้านการใช้งานกันบ้าง สำหรับ realme 7 Pro รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ทั้งสองซิมการ์ด พร้อมรองรับเทคโนโลยีสื่อสารแบบ VoLTE และ Wi-Fi Calling ทั้งสองซิมการ์ดอีกด้วย

รองรับการทำงานร่วมกับ Dark Mode รวมทั้งยังรองรับฟีเจอร์ Eye Comfort สำหรับปรับเปลี่ยนการแสดงสีสันของหน้าจอแสดงผลให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังรองรับฟีเจอร์ Always-On Display สำหรับแสดงการแจ้งเตือนขณะที่หน้าจอแสดงผลกำลังดับอยู่

สามารถปรับเปลี่ยนสีสันของการแสดงผลได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Brilliant ซึ่งจะเป็นการปรับขอบเขตการแสดงสีให้กว้างขึ้น เพื่อช่วยให้หน้าจอมีความสว่างมากยิ่งขึ้น, Vivid สำหรับปรับสีสันให้มีความจัดจ้านสดใส ตามขอบเขตการแสดงสีสันแบบ DCI-P3 และ Gentle สำหรับแสดงสีสันที่เน้นความเที่ยงตรงเป็นธรรมชาติ ตามขอบเขตการแสดงสีสันแบบ sRGB

มาพร้อมกับระบบ OSIE Visual Effect สำหรับปรับการแสดงสีสันของคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ ให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น

realme 7 Pro มาพร้อมกับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos โดยผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบการเล่นเสียงได้ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ Smart สำหรับปรับเสียงให้เข้ากับคอนเทนต์ที่กำลังเล่นอยู่แบบอัตโนัมติ, Movie สำหรับปรับแต่งเสียงแบบ 3 มิติ และเพิ่มพลังเสียงเบสให้หนักแน่นมากขึ้น, Gaming สำหรับปรับเสียงให้เหมาะแก่การเล่นเกม พร้อมเพิ่มพลังเบส และ Music สำหรับปรับแต่งเสียงให้อยู่ในระดับกลาง ตอบโจทย์การฟังเพลง

รองัรบฟีเจอร์ App Cloner สำหรับโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียเพื่อใช้งานแบบ 2 แอคเคานท์

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Game Space สำหรับรีดประสิทธิภาพการเล่นเกม โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของตัวเครื่องได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Competition Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ทำงานอยู่ในระดับสูสุด เพื่อการเล่นเกมที่ลื่นไหล, Balanced Mode สำหรับปรับประสิทธิภาพการทำงานให้อยู่ในระดับกลาง เพื่อไม่ให้ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากจนเกินไป และ Low Power Mode สำหรับปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการการทำงานเพื่อเน้นการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน เพื่อช่วยให้เล่นเกมได้นานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ด้วย

รองรับการแบ่งแอปพลิเคชันการทำงานแบ 2 หน้าจอ โดยสามารถเรียกใช้ฟีเจอร์ Split Screen ได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ

มาพร้อมกับบริการ HeyTap Cloud ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บไฟล์ต่างๆ รวมถึงข้อมูลพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่าย, บันทึกเสียง หรือรายชื่อผู้ติดต่อ เอาไว้บนระบบคลาวด์ ซึ่งสามารถเรียกกลับมาใช้ใหม่ได้ทุกเมื่อเพียงแค่ล็อกอินบัญชีเดิมเท่านั้น

รองรับการเปิดใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ Google Assistant ด้วยการกดที่ปุ่ม Power ค้างไว้

รองรับการสั่งการสมาร์ทโฟนทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Swipe Gestures from both sides ซึ่งเป็นการลากนิ้วจากขอบด้านซ้าย และขวา เพื่อสั่งการตัวเครื่อง, Virtual Buttons ซึ่งเป็นการใช้ปุ่มควบคุมแบบเสมือนเพื่อสั่งการตัวเครื่อง และ Swipe-up Gestures ซึ่งเป็นการลากนิ้วจากขอบด้านล่างเพื่อสั่งการตัวเครื่อง

มาพร้อมกับฟีเจอร์ Smart Sidebar ซึ่งเป็นการเข้าถึงแอปพลิเคชัน และคีย์ลัดแบบเร่งด่วน ผ่านการลากแถบจากขอบด้านขวาของหน้าจอ สามารถเรียกใช้ได้แม้ว่าจะใช้แอปพลิเคชันอื่นแบบเต็มหน้าจอก็ตาม

รองรับฟีเจอร์ Screen-off Gestures ซึ่งเป็นการสั่งการสมาร์ทโฟนขณะที่ดับหน้าจอแสดงผล เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ หรือวาดรูปตัวอักษร V เพื่อเปิดไฟฉาย เป็นต้น

รวมทั้งยังรองรับฟีเจอร์ Raise to wake สำหรับยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาในระดับพร้อมใช้งานเพื่อปลุกหน้าจอแสดงผลแบบอัตโนมัติ, Auto Ear Pickup Calls สำหรับรับสายเรียกเข้าอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู, Auto Switch to Ear Receiver สำหรับเปลี่ยนไปใช้งานลำโพงสนทนาแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู และ Flip to Mute Incoming Calls สำหรับปิดเสียงเรียกเข้าแบบอัตโนมัติเมื่อคว่ำหน้าจอ

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับ realme Lab ที่ให้ผู้ใช้สามารถทดลองใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ realme ที่กำลังอยู่ในช่วงทดสอบ โดยในตอนนี้ก็มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Smooth Scrolling ที่จะช่วยให้การปัดหน้าจอมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น

realme 7 Pro รองรับระบบยืนยันตัวตนแบบ Biometrics ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผล ซึ่งรองรับการบันทึกลายนิ้วมือสูงสุด 5 ลายนิ้วมือ และระบบสแกนใบหน้าแบบ 2 มิติ ซึ่งจะมีความปลอดภัยน้อยกว่าระบบสแกนลายนิ้วมือ

มาดูที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ realme 7 Pro มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 720G ประกบคู่การทำงานร่วมกับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายในความจุ 128GB พร้อมระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI เวอร์ชัน 1.0 ตั้งแต่แกะกล่อง

นำไปทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลโดยรวมของตัว เครื่องด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า สามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด 289,212 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU พบว่า สามารถทำคะแนนประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ได้ทั้งหมด 573 คะแนน และสามารถทำคะแนนการประมวลผลแบบหลายแกน (Multi-Core) ได้ทั้งหมด 1,780 คะแนน

แม้ว่า realme 7 Pro จะเลือกใช้ชิปเซ็ตระดับกลางที่เน้นไปในด้านการประหยัดพลังงาน แต่สำหรับการเล่นเกมแล้วก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างลื่นไหล โดยจากที่ได้ลองทดสอบด้วยเกมกราฟิก 3 มิติยอดนิยมอย่าง PUBG Mobile ก็พบว่า สามารถปรับกราฟิกสูงสุดได้ในระดับ HD พร้อมเฟรมเรทระดับ High โดยระหว่างการเล่นพบว่า reamme 7 Pro เล่นได้อย่างลื่นไหลไม่มีอาการสะดุดให้พบเจอ แต่จะมีอาการสะสมความร้อนให้พอสังเกตุเห็นได้บ้างเมื่อเล่นเป็นระยะเวลานาน

ซึ่งแน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติในระดับนี้ สามารถเล่นวิดีโอความละเอียดสูงได้อย่างลื่นไหล ซึ่งเมื่อประกอบกับลำโพงแบบคู่แล้ว ยิ่งทำให้การรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟนเต็มอรรสมากยิ่งขึ้น

ด้านเซ็นเซอร์ต่างๆ ก็จัดมาให้แบบครบครัน

ด้านการนำทาง สามารถจับสัญญาณ GPS ได้ค่อนข้างรวดเร็ว โดยมีความคลาดเคลื่อน +- ไม่เกิน 5 เมตร

การใช้งานกล้องกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

สำหรับหน้า UI ของกล้องถ่ายภาพด้านหลังยังคงความเรียบง่ายต่อการใช้งานเช่นเคย โดยมีการจัดเรียงไอคอนคีย์ลัดสำหรับตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพเอาไว้ที่ด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR หรือ การเปิดใช้งาน AI Dazzle Color เพื่อปรับสีสันให้มีความจัดจ้าน

รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟิลเตอร์ต่างๆ ให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย

ส่วนที่ด้านล่างจะมีคีย์ลัดสำหรับสลับเลนส์ กล้องถ่ายภาพ พร้อมตัวเลือกการซูมภาพถ่ายตั้งแต่ 2x, 5x ไปจนถึง 10x

พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Beautification สำหรับปรับแต่งใบหน้าผู้ใช้ให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยรองรับการปรับแต่งได้ถึง 100 ระดับ

ส่วนที่ด้านล่างจะเป็นโหมดการถ่ายภาพต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ โดยผู้ใช้สามารถเลือกระดับการเบลอได้ทั้งหมด 100 ระดับ รวมทั้งยังสามารถเปิดใช้งานฟิลเตอร์ และฟีเจอร์ AI Beautification ได้พร้อมกัน

โหมด 64MP สำหรับถ่ายภาพเต็มความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ซึ่งสามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Dazzle Color เพื่อปรับสีสันให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังสามารถเปิดใช้งานโหมด Pro เพื่อตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพได้ด้วยตนเอง

โหมด Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพกลางคืนให้มีความสว่างคมชัดโดยที่ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง สามารถใช้งานได้กับทุกเลนส์ถ่ายภาพ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ realme 7 Pro ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Pro Nightscape ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพขณะใช้งานโหมด Super Nightscape ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังรองรับ Tripod Mode เพื่อช่วยเปิดชัตเตอร์กล้องให้นานขึ้น ส่งผลให้สมาร์ทโฟนรับแสงได้มากขึ้น และทำให้ภาพมีความสว่างคมชัดมากขึ้นตามไปด้วย (ต้องใช้ร่วมกับขาตั้งกล้อง) รวมถึง Starry Mode สำหรับถ่ายภาพดวงดาวโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใดๆ ให้ยุ่งยาก (ต้องใช้ร่วมกับขาตั้งกล้อง)

และที่สำคัญยังมาพร้อมกับ Night Filters ที่ช่วยปรับเปลี่ยนโทนสีการถ่ายภาพกลางคืนให้มีความสวยงามเพียงปลายนิ้ว โดยมีโทนสีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Modern Gold สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยเน้นโทนสีเหลืองทอง, Cyberpunk สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดนเน้นโทนสีม่วง-ฟ้า และ Flamingo สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยเน้นโทนสีส้ม-แดง

เมื่อเลื่อนไปยังแถบ More จะพบกับฟีเจอร์กล้องถ่ายภาพที่ถูกซ่อนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพ Macro ที่สามารถโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุดในระดับ 4 เซนติเมตร, การถ่ายภาพแบบ Expert สำหรับปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพด้วยตนเอง หรือการถ่ายภาพ Pano สำหรับถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในมุมกว้าง

ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับการถ่ายวิดีโอได้ทั้งกล้องตัวหลัก และกล้องเลนส์มุมกว้าง รองรับการบันทึกไฟล์ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ที่ 30fps (เฉพาะกล้องตัวหลัก) พร้อมรองรับการเปิดใช้งานระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวแบบ Ultra Steady และยังมีฟีเจอร์ Ultra Steady Max เพื่อช่วยให้วิดีโอมีความนิ่งราวกับ Action Camera

นอกจากนี้ ยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับระดับการละลายฉากหลังได้ทั้งหมด 100 ระดับ พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Beautification

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบดูดสีเฉพาะตัวแบบ (AI Color Portrait) เพื่อช่วยเสริมให้วิดีโอดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีโหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Movie ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องได้ด้วยตนเอง ตอบโจทย์เหล่าครีเอเตอร์เป็นอย่างดี

พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse และการถ่ายวิดีโอแบบ Slo-Mo สูงสุดระดับบ 240fps

มาดูที่กล้องหน้ากันบ้าง โดยมีการจัดเรียงหน้า UI เหมือนกับกล้องหลัง โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่ากล้องแบบเร่งด่วนได้ที่ด้านบน ได้แก่ การเปิด-ปิดไฟฟลช, การเปิด-ปิด HDR และการเปิดใช้งานฟิลเตอร์

พร้อมรองรับฟีเจอร์ AI Beautification ที่สามารถปรับระดับความเนียนของใบหน้าได้ทั้งหมด 100 ระดับ แต่จะแตกต่างกับกล้องหลังตรงที่ ผู้ใช้สามารถเลือกปรับส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ดวงตา, คาง หรือจมูก เป็นต้น

รองรับการใช้งานฟิลเตอร์เพื่อปรับเปลี่ยนโทนสี ของภาพถ่ายโดยที่ไม่จำเป็นต้องนำไปปรับแต่งบนแอปพลิเคชันอื่นเพิ่มเติม

มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ Portrait ที่สามารถปรับระดับการเบลอของฉากหลังได้ทั้งหมด 100 ระดับ ซึ่งผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Beautification ได้พร้อมกัน

และยังมีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือ ฟีเจอร์ Nightscape บนกล้องหน้า สำหรับช่วยให้การถ่ายภาพเซลฟี่มีความสว่างคมชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันปรับหน้าสวยแบบ AI Beautification ได้พร้อมกันอีกด้วย

รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่มุมกว้างแบบ Panorama

กล้องหน้าของ realme 7 Pro รองรับการบันทึกไฟล์วิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD ที่ 30fps

พร้อมรองรับการฟีเจอร์ปรับหน้าสวยแบบ AI Beautification

สามารถเลือกใช้งานฟิลเตอร์เพื่อปรับโทนสีของ วิดีโอได้อย่างหลากหลาย

ที่สำคัญ ยังรองรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยสามารถปรับระดับการเบลอของฉากหลังได้ทั้งหมด 100 ระดับ และยังรองรับฟีเจอร์ AI Color Portrait สำหรับดูดสีเฉพาะตัวแบบได้เหมือนกับกล้องหลังอีกด้วย

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียดระดับ 64+8+2+2 ล้านพิกเซล ของ realme 7 Pro

ภาพถ่ายด้วยโหมดปกติ

ภาพถ่ายด้วยกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide-angle

ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro

ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape

ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape พร้อมปรับฟิลเตอร์สีเป็นแบบ Modern Gold, Cyberpunk และ Flamingo

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบ In-Display ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ realme 7 Pro

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

สรุปผลการทดสอบของ realme 7 Pro

หากพิจารณาจากความสามารถที่ได้เห็นกันไปข้างต้น และราคาวางจำหน่ายที่ 10,990 บาท แล้ว ก็ถือว่า realme 7 Pro เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลางช่วงราคา 10,000 บาทที่ค่อนข้างคุ้มค่าน่าจับตามองอีกหนึ่งรุ่น เนื่องจากเป็นสมาร์ทโฟนเพียงรุ่นเดียวในระดับราคาดังกล่าวในประเทศไทย ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ซึ่งช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่เป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจเป็นพิเศษ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานสมาร์ทโฟนในยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังเป็นสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นในระดับราคานี้ที่มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ผสานลำโพงแบบคู่ ซึ่งนับเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของรุ่นนี้ และที่สำคัญ realme 7 Pro ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ผ่านมาตรฐานการทดสอบ Smartphone Reliability จากสถาบัน TÜV Rheinland อีกด้วย

ด้านการถ่ายภาพของ realme 7 Pro ก็ถือว่าทำได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยพลังของเซนเซอร์กล้องหลังความละเอียดสูง 64 ล้านพิกเซล ที่เลือกใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX682 พร้อมโหมดถ่ายภาพต่างๆ ที่ช่วยบันทึกภาพความประทับใจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพกลางคืนได้อย่างคมชัด พร้อม Pro Nightscape สำหรับปรับแต่งการตั้งค่าในโหมดการถ่ายกลางคืนได้อย่างมืออาชีพ รวมถึง Night Filters ที่ช่วยปรับโทนสีของภาพถ่ายให้สวยงามเพียงปลายนิ้ว และ Starry Mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้ถ่ายดวงดาวยามค่ำคืนได้อย่างง่ายๆ และที่สำคัญยังมาพร้อมกับ Ultra Nightscape Video ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอในสภาวะแสงน้อยคมชัดมากยิ่งขึ้น

ส่วนทางด้านประสิทธิภาพการทำงาน realme 7 Pro ก็มาพร้อมกับคุณสมบัติที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 720G ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมขนาด 8 นาโนเมตร ซึ่งตระกูล "G" นั่นบ่งบอกว่าเป็นชิปเกมมิ่งที่เหมาะกับการเล่นเกม แต่การใช้งานทั่วไปก็มีประสิทธิภาพที่ดีเช่นกัน ประกบคู่การทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB ที่ผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมด้วยการ์ดแบบ microSD เพิ่มเติมได้อีกสูงสุด 256GB นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4500 mAh ที่ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแบบครบวันโดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่

ด้านความบันเทิงถือว่า realme 7 Pro สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ด้วยการเลือกใช้หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ที่มีขนาดใหญ่ 6.4 นิ้ว พร้อมพื้นที่ในการแสดงผลมากถึง 90.8% ช่วยให้สามารถแสดงคอนเทนต์ได้อย่างเต็มตา พร้อมลำโพงเสียงแบบคู่ ที่รองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos และไฟล์เสียงความละเอียดสูงแบบ Hi-Res

สำหรับ realme 7 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 10,990 บาท เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2563 เป็นต้นไป ผ่าน realme Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ได้แก่ Lazada, Shopee, This Shop และ JD Central

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme 7 Pro มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

จุดเด่นของ realme 7 Pro

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Mirror Space โดดเด่นด้วยรอยแยกบนฝาหลัง ด้วยกระบวนการผลิตแบบ AG ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแสงสะท้อนตามธรรมชาติ - หน้าจอแสดงผล Super AMOLED Smooth Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2400x1080 พิกเซล (Full HD+ : 409 ppi) พร้อมพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องระดับ 90.8%, รองรับการแสดงผลตามขอบเขตสีแบบ NTSC ครอบคลุม 98% และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass - เซนเซอร์สแกนนิ้วฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) - ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 720G ความเร็ว 2.3 GHz บนสถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 8 nm พร้อม AI Engine รุ่นที่ 5 - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 618 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB - รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ความจุสูงสุด 256GB - ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI1.0

- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียด 64+8+2+2 ล้านพิกเซล ประกอบไปด้วย

> กล้องตัวหลัก ( Main ) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX682ขนาด 1/1.73 นิ้ว, รูรับแสงกว้าง f/1.8 และเทคโนโลยี Quad Bayer 1.6 ไมครอน > กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.3 และองศาในการรับภาพกว้าง 119 องศา > กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.4สามารถโฟกัสวัตถุได้ใกล้สุดระดับ 4 เซนติเมตร > กล้อง B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างf/2.4

พร้อมฟีเจอร์ Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง, ฟีเจอร์ Pro Nightscape สำหรับปรับแต่งการตั้งค่ากล้องถ่ายภาพขณะใช้โหมดถ่ายภาพกลางคืน, Starry Mode สำหรับถ่ายภาพดวงดาวโดยไม่ต้องตั้งค่า, Night Filters สำหรับปรับเปลี่ยนสีฟิลเตอร์ของภาพถ่ายกลางคืน, รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30 fps) พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ UlS และ UIS Max

- กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบเจาะรูบนหน้าจอ (In-Display) ความละเอียดระดับ 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.5, โหมด Nightscape, โหมด AI Beautification และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080p (30 fps)

- ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 65W SuperDart Charge (อแดปเตอร์ 10V/6.5A) สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลา 34 นาที, ชาร์จได้ 42% ในเวลา 10 นาที และชาร์จขณะเล่นเกมได้ 43% ภายในเวลา 30 นาที - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi 2.4/5 GHz - รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 และ NFC - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย, BeiDou ของประเทศจีน และ NavIC ของอินเดีย - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C - ลำโพงคู่ Stereo Speakers พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos พร้อมรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูงแบบ Hi-Res - เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ผ่านมาตรฐานการทดสอบ Smartphone Reliability จากสถาบัน TÜV Rheinland - แถมฟรีเคส และฟิล์มกันรอยมาในชุดจำหน่ายมาตรฐาน - ราคา 10,990 บาท ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ realme 7 Pro

Leave a Comment