รีวิว realme C21 สมาร์ทโฟนเกมมิ่งรุ่นประหยัด จัดกล้อง AI 4 ตัว แบตอึดจุใจ จอใหญ่เต็มตา ในราคาไม่ถึง 5 พันบาท :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟนเกมมิ่งรุ่นประหยัด จัดกล้อง AI 4 ตัว แบตอึดจุใจ จอใหญ่เต็มตา ในราคาไม่ถึง 5 พันบาท ด้วยชิปเซ็ต Helio G35, กล้อง AI Triple Camera ผสานกล้องหน้า AI Selfie, จอ Mini-Drop Fullscreen 6.5 นิ้ว, แบตเตอรี่ 5000 mAh และเซนเซอร์สแกนนิ้ว บนตัวเครื่องดีไซน์ Geometric Art สวยเด่น ในราคาเพียง 4,299 บาท

26 มีนาคม 2021 - หลังจากการเปิดตัวของ realme narzo 30A สมาร์ทโฟนแบตอึดราคาดีจากค่ายไปเมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดทาง realme ประเทศไทย ก็ได้ส่งสมาร์ทโฟนตระกูล C Series ที่มีความโดดเด่นเรื่องหน้าจอใหญ่ + แบตเยอะรุ่นน้องใหม่อย่าง realme C21 เข้ามาทำตลาดในบ้านเราเพิ่มเติมอีกรุ่นแล้ว

realme C21 มาในสโลแกน “3 เลนส์ ตัวจริงเรื่องคุณภาพ” พร้อมชูโรงที่ แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่ทาง realme ระบุว่าสามารถใช้งานยาวนานติดต่อกันได้ 2 วัน และอยู่ในโหมด Standby ได้นานสูงสุดถึง 47 วัน พร้อมรองรับโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุด รวมถึงฟังก์ชัน Reverse Charging สำหรับแปลงเป็น Powerbank ให้กับอุปกรณ์เครื่องอื่น

อีกหนึ่งจุดเด่นของ realme C21 คือกล้องถ่ายภาพที่ด้านหลังทั้งหมด 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยกล้อง B&W และ Macro ที่รองรับฟังก์ชันพื้นฐานครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Portrait หรือ Night Mode โดยติดตั้งอยู่บนฝาหลังดีไซน์รูปทรงเรขาคณิตแบบ Geometri c Art ที่สวยแปลกตากว่าเดิม

realme C21 มีหน้าจอไร้ขอบทรงหยดน้ำแบบ Mini-Drop Fullscreen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วนแบบ 20:9 มีพื้นที่การแสดงผล 89.5% กับความคมชัดระดับ HD+ (1600x720 พิกเซล) และประมวลผลด้วย ชิปเซ็ต MediaTek Helio G35 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตระกูลเกมมิ่งในระดับเริ่มต้น โดยรันอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบทับด้วย realme UI 1.0

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า realme C21 มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องที่ดูสวยเด่นทันสมัย หรือฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และระบบการถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิม กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเบา ๆ ที่เพียง 4,299 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการ รีวิว realme C21 ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

realme C21 มาในแพ็กเกจสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ อะแดปเตอร์ 5V/2A,  สายเชื่อมต่อแบบ microUSB, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด

realme C21 มาพร้อมกับหน้าจอ Mini-Drop Fullscreen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 89.5%) ความละเอียดระดับ HD+ (1600x720 พิกเซล : 269 ppi) ครอบทับด้วยกระจก 2.5D บนตัวเครื่องขนาด 165.2x76.4x8.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 190 กรัม

ที่ด้านบนมีรอยบากทรงหยดน้ำที่ขนาดเล็ก ประกอบด้วยกล้องหน้า AI Selfie ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.2 รองรับเทคโนโลยี AI Beauty และโหมด HDR

พร้อมลำโพงสนทนาที่ด้านบน และติดตั้งเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซ็นเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

พร้อมรองรับระบบการสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ในการปลดล็อกตัวเครื่อง

ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย

ที่ด้านบนของตัวเครื่องไม่มีปุ่มสั่งการ หรือช่องใด ๆ

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB, ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา และช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มม.

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ, เปิด-ปิด เครื่อง หรือเรียกใช้ Google Assistant พร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียง

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ที่ความจุสูงสุด 256GB ได้ในเวลาเดียวกัน

realme C21 มีฝาหลังดีไซน์สวยแปลกใหม่ รูปทรงเรขาคณิตแบบ Geometric โดยได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาทราย ด้วยลวดลายริ้วเส้นโค้งกว่า 450 เส้น จากการใช้เครื่องแกะสลักเรเดียมที่มีความแม่นยำสูง พร้อมการขัดเงากว่า 300 นาที และมีลำโพงเสียงตัวหลัก กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดตั้งอยู่ด้วย โดยสีที่ทางทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันในวันนี้เป็นสีดำ (Cross Black)

ที่ด้านหลังตัวเครื่องติดตั้งกล้องทั้งหมด 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้องตัวหลัก ( Primary ) ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และซูมแบบดิจิทัลสูงสุด 4 เท่า (4X Digital Zoom) - กล้องตัวที่สองแบบ B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ และระบบโฟกัสแบบ Fixed Focus - กล้องตัวที่สามแบบ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ และระยะ Fixed Focus ที่ 4 เซนติเมตร พร้อมโหมด Super NightScape (Night Mode), Chroma Boost, Panoramic View, Expert, Timelapse, Portrait, HDR, Ultra Macro, AI Beauty, Filter, ถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30fps)

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ

realme C21 ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI 1.0 โดยรองรับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่อง (ROM) ขนาด 64GB (หมายเหตุ : รุ่นที่วางจำหน่ายจริงเป็นรุ่น 3GB+32GB)

และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G แบบ Dual 4G LTE

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่าง ๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่าง ๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไอคอนมีดีไซน์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยม

โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการ

เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้น ๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่ม Close all ที่ด้านล่าง

สามารถเข้าสู่เข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงกดค้างบนหน้าจอ หรือใช้สองนิ้วรูดเข้าหากันในแนวทแยง

สามารถปรับค่าการแสดงผลต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร พร้อมรองรับฟังก์ชัน Eye comfort สำหรับลดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ

รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่

ตัวอย่างการใช้งาน Dark Mode

เลือกใช้งานหน้าจอแบบต่าง ๆ ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Standard, แบบ Drawer (ค่าเริ่มต้น) หรือแบบ Simple ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ

สามารถปรับเปลี่ยนธีม (Theme), รูปแบบตัวอักษร (Font) และภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ของตัวเครื่องได้อย่างอิสระ

และสำหรับท่านที่ต้องการใช้งานพื้นหลัง, รูปแบบธีม รวมถึงรูปแบบตัวอักษรที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน Theme Store

ปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอนได้

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้

หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่าง ๆ เพื่อสั่งการ

สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย

เรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย

ตัวอย่างการใช้งานบนบริการ Google Lens

realme C21 มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุมากถึง 5000 mAh ที่ทาง realme ระบุว่าสามารถใช้งานต่อเนื่องยาวนานสูงสุด 2 วัน พร้อมเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Power Saving Mode ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน

พร้อมโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุดอย่าง Super Power saving mode สำหรับยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นเป็นเท่าตัว แต่แลกกับการใช้งานได้เพียงแค่ฟังก์ชันพื้นฐานเท่านั้น รวมถึงรองรับฟังก์ชัน Reversed Charging สำหรับแปลงเป็น Powerbank ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นผ่านสาย OTG (วางจำหน่ายแยก)

รวมถึงโหมด High Performance สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่าง ๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ โดยเมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย ถัดจากเวลา

และรองรับฟังก์ชัน App Quick Freeze สำหรับช่วยหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันที่ไม่ได้เรียกใช้งานในปัจจุบัน

สามารถตรวจสอบเวลาที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละแอปพลิเคชันได้

และรองรับฟังก์ชัน Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบาย ๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง

realme C21 ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อม ๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี

ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน realme C21 มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่ด้านหลังตัวเครื่อง โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ

และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น

ท่านที่ใช้งาน realme C21 เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที

realme C21 รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Real HD Sound ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)

รวมถึงรองรับฟังก์ชันที่น่าสนใจอย่าง Dual-Mode Audio โดยสามารถใช้งานหูฟังแบบมีสาย และแบบไร้สายได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะสำหรับการรับชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรดกับเพื่อนได้พร้อม ๆ กัน โดยไม่ต้องแบ่งหูฟังคนละข้างเหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง

ที่สำคัญ realme C21 ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่าง ๆ ภายในตัวเครื่อง และ Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่น ๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง realme C21 นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor

สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ดี พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 48 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 1 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง

realme C21 มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G35 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.3GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) IMG PowerVR GE8320 โดยใช้หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย User Interface แบบ realme UI 1.0

realme C21 มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 133,529 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 184 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 1,003 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้ผลการทดสอบที่ 460 คะแนน

realme C21 รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง อย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่าง ๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้

ใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง ROV และ Asphalt 8 พร้อมเปิดการแสดงผลกราฟิกในระดับสูง พร้อมการแสดงผลแบบ 60 fps ก็พบว่า realme C21 นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น แต่ก็พบความร้อนสะสมเมื่อเล่นติดต่อกันเป็นเวลานาน

realme C21 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Mini-Drop Fullscreen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 กับพื้นที่การแสดงผลทั้งหมด 89.5% คมชัดระดับ HD+ จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ HD 720p ได้อย่างเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

realme C21 มาพร้อมกล้องหลัง3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้องตัวหลัก ( Primary ) ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และซูมแบบดิจิทัลสูงสุด 4 เท่า (4X Digital Zoom) - กล้องตัวที่สองแบบ B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ และระบบโฟกัสแบบ Fixed Focus - กล้องตัวที่สามแบบ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ และระยะ Fixed Focus ที่ 4 เซนติเมตร

โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, โหมด Chroma Boost โหมดเพิ่มสีสัน และการเพิ่มฟีลเตอร์

รวมถึงเมนูอื่น ๆ ได้แก่ สัดส่วนภาพถ่าย, การจับเวลา และการตั้งค่าเพิ่มเติม

และโหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)

และใส่ฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ ได้

รองรับโหมด Ultra Macro ในการถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร

และโหมด Night สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ

โหมดถ่ายภาพมุมกว้างแบบ PANO

สำหรับโหมด Expert กับรายละเอียดการตั้งค่าต่าง ๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด ก็มีให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน

การถ่ายวิดีโอบน realme C21 สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ Full HD 1080p (30 fps) พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบต่าง ๆ ได้

รองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE และฟังก์ชัน SLO-MO

realme C21 มีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล

โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ได้แก่ เปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR และการเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่าง ๆ

รวมถึงเมนูอื่น ๆ ได้แก่ สัดส่วนภาพถ่าย, การจับเวลา และการตั้งค่าเพิ่มเติม

กล้องหน้าของ realme C21 รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์  โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100% ทั้งที่กล้องหน้า และกล้องหลัง

สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)

พร้อมเพิ่มฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ ได้

และใช้งานร่วมกับ AI Beauty โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%

รวมถึงการถ่ายเซลฟี่มุมกว้างโหมด PANO

การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ realme C21 รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p (30fps) พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่าง ๆ ได้

และรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียดระดับ 13+2+2 ล้านพิกเซล ของ realme C21

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Night

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลของ realme C21

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด AI Beauty ที่ระดับ 35%

สรุปผลการทดสอบของ realme C21

จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน realme C21 มาระยะหนึ่งก็พอจะสรุปได้ว่า realme C21 นั้นเป็นสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับสายบันเทิง ด้วย แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน โดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดเร็วทั้งการทำงาน, เล่นเกม หรือดูซีรีส์เรื่องโปรด พร้อมโหมดประหยัดพลังงาน ผสานกับฟังก์ชัน App Quick Freeze สำหรับช่วยหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันที่ไม่ได้เรียกใช้งานในปัจจุบัน ที่ช่วยยืดเวลาใช้งานให้มากขึ้นไปอีก รวมถึงสามารถ แปลงเป็น Powerbank ให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วยฟังก์ชัน Reverse Charging ผ่านสาย OTG (วางจำหน่ายแยก) และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง realme C21 ก็มี โหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย  สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่าง ๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง แต่น่าเสียดายที่ไม่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ซึ่งในแพ็กเกจมีอะแดปเตอร์แบบ 5V/2A มาให้

realme C21 ยังมาพร้อมกับหน้าจอไร้ขอบทรงหยดน้ำแบบ Mini-Drop Fullscreen ขนาด 6.5 นิ้ว คมชัดระดับ HD+ (720x1600 พิกเซล : 269 ppi) กับพื้นที่การแสดงผล 89.5% จึงสามารถรับชมคอนเทนต์ความละเอียดระดับ HD ได้เป็นอย่างดี พร้อมมุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ และมีฝาหลังดีไซน์รูปทรงเรขาคณิตแบบ Geometric Art สวยสะดุดตา ด้วยลวดลายริ้วเส้นโค้งกว่า 450 เส้น จากการใช้เครื่องแกะสลักเรเดียมที่มีความแม่นยำสูง พร้อมการขัดเงานาน 300 นาที ซึ่งช่วยป้องกันรอยขีดข่วน และรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี

การถ่ายภาพบน realme C21 ก็ถือว่าน่าสนใจด้วยกล้องทั้งหมด 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง B&W lens กับกล้อง Macro โดย รองรับฟังก์ชันการถ่ายภาพครบครันในระดับพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น โหมด HDR, ฟังก์ชัน Chroma Boost สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย, โหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ, โหมด Ultra Macro ถ่ายภาพระยะใกล้,โหมด AI Beauty สำหรับปรับผิวให้เนียนสวย และโหมด Night สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ ทางด้านกล้องหน้าคมชัดระดับ 5 ล้านพิกเซล รองรับโหมด AI Beauty ปรับผิวใบหน้าให้เนียนสวย แลดูเป็นธรรมชาติ พร้อมโหมด Portrait ละลายฉากหลัง เพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวแบบ

ด้านสเปกภายใน realme C21 มากับชิปเซ็ตซีรีส์เกมมิ่งตัวเริ่มต้นอย่าง MediaTek Helio G35 ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 2.3GHz ผสาน GPU แบบ IMG PowerVR GE8320 พร้อมกับรองรับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน ให้อยู่ในรูปแบบ Pop-up ขณะเล่นเกมแทน รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ และใน Game Space ก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการหน่วงขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรองรับการเล่นเกมที่มีภาพกราฟิกแบบ 3 มิติ พร้อมเปิดการแสดงผลในระดับสูง หรือแบบ 60 fps ได้ค่อนข้างลื่นไหล

สำหรับ realme C21 เครื่องที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นรุ่น 3GB + 32GB พร้อมรองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB บนถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot ที่รองรับ 2 nanoSIM + 1 microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำงานอยู่บน ระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ถูกครอบทับด้วย realme UI 1.0 และมากับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอีกมากมาย เช่น Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำเพื่อความสบายตาขณะใช้งาน และ Focus Mode สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาธิ หรือเข้านอน โดยทำการปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบาย ๆ รวมถึงรองรับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant ที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง และยังมีบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงฟีเจอร์ Dual-Mode Audio ที่สามารถใช้งานหูฟังแบบมีสาย และแบบไร้สายได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะสำหรับการรับชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรดกับเพื่อนได้พร้อม ๆ กัน โดยไม่ต้องแบ่งหูฟังคนละข้างเหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง

realme C21 เปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วที่ 4,299 บาท (รุ่นความจุ 3GB+32GB ) กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ(Cross Black) และ สีฟ้า (Cross Blue) โดยจะเริ่มให้สั่งจองล่วงหน้า(Pre-Order) ในวันที่ 25 - 29 มีนาคม นี้และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ที่ร้านrealme Brand Shop และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

พร้อม โปรโมชั่นราคาพิเศษเริ่มเพียง 1,190 บาท เมื่อสั่งซื้อผ่านทางผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง AIS, TrueMove H และ dtac

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme C21 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ realme C21

- ฝาหลังดีไซน์รูปทรงเรขาคณิตแบบ Geometric Art พร้อมลวดลายริ้วเส้นโค้งกว่า 450 เส้น จากการใช้เครื่องแกะสลักเรเดียมที่มีความแม่นยำสูง พร้อมการขัดเงา - มีตัวเลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Cross Black) และสีฟ้า (Cross Blue) - หน้าจอแสดงผลไร้ขอบทรงหยดน้ำแบบ Mini-Drop Fullscreen (IPS LCD) ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD+ (1600x720 พิกเซล) พร้อมอัตราส่วนแบบ 20:9, พื้นที่แสดงผล 89.5% และค่าความสว่างสูงสุด 400 cd/m2 - ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G35 ความเร็ว 2.3 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) IMG PowerVR GE8320 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 4GB (รุ่นวางจำหน่ายจริงมี RAM ขนาด 3GB) - หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 64GB (รุ่นวางจำหน่ายจริงมี ROM ขนาด 32GB) - รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD (TransFlash) สูงสุดที่ 256GB - ถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และ 1 การ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้ในเวลาเดียวกัน - แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมโหมดประหยัดพลังงาน Super PowerSaving Mode และรองรับระบบ Reverse Charging - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 1.0 กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย - กล้องตัวหลัก ( Primary ) ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และซูมแบบดิจิทัลสูงสุด 4 เท่า (4X Digital Zoom) - กล้องตัวที่สองแบบ B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ และระบบโฟกัสแบบ Fixed Focus - กล้องตัวที่สามแบบ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์ และระยะ Fixed Focus ที่ 4 เซนติเมตร พร้อมโหมด Super NightScape (Night Mode), Chroma Boost, Panoramic View, Expert, Timelapse, Portrait, HDR, Ultra Macro, AI Beauty, Filter, ถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30fps) กล้องดิจิทัลด้านหน้า AI Selfie ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, โครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์, โหมด Portrait, AI Beauty, Timelapse, Panoramic View, HDR, Face-Recognition และ Filter - เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner) - ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) - ฟังก์ชัน App Encryption และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว - ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ - รับฟังก์ชัน Reverse Charging สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นผ่านสาย OTG (วางจำหน่ายแยก) - การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ - โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก - ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม - ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย Wi-Fi 802.11 b/g/n, 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการสแตนด์บาย 4G พร้อมกัน 2 ซิมการ์ดแบบ Dual 4G LTE / Dual Standby - เชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth 5.0 - รองรับการนำทางด้วยระบบ GPS+A-GPS, Glonass และ Beidou - ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานแบบ 3.5 มิลลิเมตร - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB - ราคา 4,299 บาท ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ realme C21

- หน้าจอมีความละเอียดที่ระดับ HD+ ซึ่งอาจไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว - ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนเมื่อใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน - ไม่รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi เฉพาะย่านความถี่ 2.4GHz - พอร์ตเชื่อมต่อยังไม่ใช่แบบ USB Type-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่ - หน่วยความจำ ROM มีเพียง 32GB ซึ่งค่อนข้างน้อย ในการใช้งานจริงอาจต้องใส่ microSD Card เพิ่มเติม

Leave a Comment