รีวิว realme X7 Pro 5G เรือธงทรงพลังจอลื่น 120Hz พร้อมแบตชาร์จไว 65W กับกล้อง 5 ตัว ในราคาเอื้อมถึง :: Thaimobilecenter.com

เรือธงทรงพลังจอลื่น 120Hz พร้อมแบตชาร์จไว 65W กับกล้อง 5 ตัว ในงบไม่เกินเอื้อม ด้วยชิปเซ็ต Dimensity 1000+ ตัวท็อป, จอ 120Hz Super AMOLED ใหญ่ 6.55 นิ้ว, กล้อง AI Quad Camera 64MP ผสานกล้องหน้า 32MP, แบตเตอรี่ 65W SuperDart Charge จุใจ 4500 mAh และลำโพงคู่ Dolby Atmos บนตัวเครื่องไล่เฉดบางเบาพรีเมียม ในราคา 16,990 บาท หรือราคาโปรเริ่มต้นที่ 9,990 บาท

17 ธันวาคม 2020 - ช่วงนี้กระแสของสมาร์ทโฟน 5G กำลังมาแรง ทุกแบรนด์ชั้นนำต่างพากันมุ่งเข้าสู่ยุคของ 5G อย่างเต็มตัว ทาง realme ประเทศไทย ก็ไม่รอช้าส่งสมาร์ทโฟนเรือธง 5G รุ่นใหม่ระดับท็อปที่น่าสนใจจากตระกูล X Series อย่าง realme X7 Pro 5G มาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเพิ่มเติม ที่มาในสโลแกน “ดีไซน์บางเบา เรือธงทรงพลัง” กับประสิทธิภาพด้านการประมวลผลที่เร็วแรง, การดีไซน์สวยพรีเมียม, คุณสมบัติดีครบเครื่อง และมีราคาที่จับต้องได้ไม่ยาก

realme X7 Pro 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับท็อปของค่าย MediaTek อย่าง Deminsity 1000+ ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมระดับ 7nm ซึ่งมีประสิทธิภาพ และความแรง เทียบเท่า Qualcomm Snapdragon 865 โดยรองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ Dual 5G SIM ที่เป็นการสแตนด์บายเครือข่าย 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด และรองรับย่านความถี่ที่เปิดให้บริการในประเทศไทย สามารถใช้งานได้ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง

โดยทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB พร้อมหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB ผสานเทคโนโลยี Turbo Write ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล และมีแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ระดับ 0-100% ได่ภายในเวลาเพียง 35 นาที

นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นที่หน้าจอแบบ Super AMOLED บนดีไซน์แบบไร้ขอบไร้รอยบาก ขนาดใหญ่ 6.55 นิ้ว ที่ละเอียดคมชัดระดับ Full HD+ พร้อมค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz จึงช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการใช้งาน โดยเฉพาะการเล่นเกม และการชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรด พร้อมฝังกล้องหน้าไว้บนจอที่มีความละเอียดสูง 32 ล้านพิกเซล

realme X7 Pro 5G มีตัวเครื่องน้ำหนักเบาเพียง 184 กรัม สำหรับฝาหลังลงโค้งแบบ 3D Curved กระชับกับฝ่ามือขณะถือใช้งาน โดยมีการดีไซน์แบ่งออกเป็นหลายชั้น พร้อมใช้เทคนิคการเคลือบผิวสัมผัสด้านแบบ AG Split Design ทำให้เกิดมุมมองดีไซน์ที่ดูกลมกลืน และดูพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ซึ่งติดตั้งกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียดสูง 64 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX686 พร้อมด้วยเลนส์ Ultra-Wide, เลนส์ Portrait B&W และเลนส์ Macro

อีกทั้งคุณสมบัติด้านความบันเทิงก็ไม่ขาดหายไป ด้วย ลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos กับไฟล์เสียงความละเอียดสูงแบบ Hi-Res

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า realme X7 Pro 5G มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม, ความเร็วแรงในการประมวลผล, ฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และระบบการถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิม กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 16,990 บาท หรือราคาโปรเริ่มต้นที่ 9,990 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการ รีวิว realme X7 Pro 5G ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

realme X7 Pro 5G มาในแพ็กเกจสีเหลือง

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ เคสใส, อะแดปเตอร์ 65W SuperDart Charge (10V/6.5A),  สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, คู่มือการใช้งาน, เข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด และสายแปลง USB Type-C เป็นรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

ภาพตัวอย่างการใส่เคสที่แถมมาในแพ็กเกจ

realme X7 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED 120Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.55 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 91.6%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 401 ppi) ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 บนตัวเครื่องขนาด 160.8x75.2x8.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 184 กรัม

พร้อมรองรับฟังก์ชัน Always On Display

โดยหน้าจอมีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz ซึ่งช่วยให้การแสดงผลลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับ Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ที่ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับเกมเมอร์ตัวจริง รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces

ที่ด้านบนของหน้าจอมีเพียงลำโพงสนทนา พร้อมการติดตั้งเซนเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซนเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

สำหรับกล้องถ่ายภาพเซลฟี่ฝังบนจอแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.45

พร้อมรองรับระบบการสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ในการปลดล็อกตัวเครื่อง

และรองรับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ

ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ลำโพงเสียงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา, ถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด โดยไม่รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD และไม่มีช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มม.

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ, เปิด-ปิด เครื่อง หรือเรียกใช้ Google Assistantโดยมีการแต้มสีเหลืองเพื่อให้สังเกตเห็นได้ชัดเจน

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง

realme X7 Pro 5G มีฝาหลังลงโค้งแบบ 3D Curved กระชับกับฝ่ามือขณะถือใช้งาน โดยมีการดีไซน์ที่เรียกว่า 2+2+1 ได้แก่ Double-Grain, Double-Pated และ Anti-Glare Glass พร้อมใช้เทคนิคการเคลือบผิวสัมผัสด้านแบบ AG Split Design ทำให้เกิดมุมมองดีไซน์ที่ดูกลมกลืน และดูพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิวนั้นคือสี Iridescent ที่เป็นการไล่เฉดสีต่างๆ

ที่ด้านหลังตัวเครื่องติดตั้งระบบกล้องทั้งหมด 4 ตัว ( AI Quad Camera ) ประกอบไปด้วย

- กล้องตัวหลัก ( Main ) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX686 ขนาด 1/1.72 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF, โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.25, มุมรับภาพ 119 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Portrait B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 - กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาดf2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร

พร้อมรองรับโหมดถ่ายภาพกลางคืน Super Nightscape 4.0 เวอร์ชันใหม่, ฟังก์ชัน AI Scene Enhancement ในการตรวจจับซีนต่างๆ พร้อมปรับค่าแสง สี ให้ภาพสวยงามโดยอัตโนมัติ, โหมดถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra-Wide พร้อมถ่ายระยะใกล้แบบ Ultra-Macro, ฟังก์ชัน AI Beauty สำหรับปรับผิวให้เนียนสวย, โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง  Pro 64MP, โหมด Portrait ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide พร้อมโหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady (UIS และ UIS Max), ฟังก์ชัน SLO-MO พร้อมความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K (30fps) รวมถึงการถ่ายวิดิโอเวลากลางคืน Pro Nightscape พร้อม Ultra Nightscape Video ไปจนถึงฟังก์ชัน Real-time Bokeh Effect Video ในการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ และ AI Color Portrait Video สำหรับเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีขาวดำ

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

realme X7 Pro 5G ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI 1.0 ที่มี User Interface เน้นไปทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ระบบสี, ไอคอน, พื้นหลัง และภาพเคลื่อนไหวแอนิเมชัน โดยรองรับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่อง (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB

รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G แบบ Dual-Mode (SA/NSA) โดยรองรับการสแตนด์บายเครือข่าย 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ดแบบ Dual 5G SIM (Band n1 : 2100 | n3 : 1800 | n5 : 850 | n7 : 2600 | n8 : 900 | n20 : 800 | n28 : 700 | n38 : 2600 | n40 : 2300 | n41 : 2500 | n77 : 3700 | n78 : 3500 | n79 : 4700)

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไอคอนมีดีไซน์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยม

โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ

เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้

เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่ม Close all ที่ด้านล่าง

สามารถเข้าสู่เข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงกดค้างบนหน้าจอ หรือใช้สองนิ้วรูดเข้าหากันในแนวทแยง

สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร พร้อมรองรับฟังก์ชัน Eye comfort สำหรับลดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ

รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่

ตัวอย่างการใช้งาน Dark Mode

สามารถเปิดการใช้งานฟังก์ชัน Always-On Display ได้ ในการแสดงวันที่ เวลา และการแจ้งเตือนต่างๆ บนหน้า Lockscreen

สามารถเลือกใช้งานค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 120Hz (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60Hz) โดยจะช่วยให้การใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมลื่นไหลกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างหาได้ยากบนสมาร์ทโฟนระดับใกล้เคียงกัน

สำหรับ Refresh Rate เป็นค่าความเร็วในการเปลี่ยนภาพของหน้าจอแสดงผล กล่าวคืออัตราความเร็วในการเปลี่ยนภาพนิ่งที่เรียงต่อกันจนกลายมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งค่า Refresh Rate มาก ก็จะทำให้การเปลี่ยนภาพของหน้าจอมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้นไปด้วยนั่นเอง และโดยปกติแล้วหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เราใช้งานกันจะมีค่า Refresh Rate อยู่ที่ประมาณ 60Hz

รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces

สามารถตั้งค่าต่างๆ ในหน้า Home Screen ได้

ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้งานหน้าจอได้ในแบบ Standard, แบบ Drawer (ค่าเริ่มต้น) หรือแบบ Simple ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ

และเลือกจำนวนการแสดงผลของไอคอนบนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 4x6 และ 5x6 (ค่าเริ่มต้น)

สามารถปรับเปลี่ยนธีม (Theme), รูปแบบตัวอักษร (Font) และภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ของตัวเครื่องได้อย่างอิสระ

และสำหรับท่านที่ต้องการใช้งานพื้นหลัง, รูปแบบธีม รวมถึงรูปแบบตัวอักษรที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน Theme Store

สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอนได้

realme X7 Pro มาพร้อมฟังก์ชัน Dual Wi-Fi Acceleration ในการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ในคลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz ได้พร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างเช่น การรับชมภาพยนตร์สตรีมมิ่ง หรือการท่องโลกโซเชียล โดยเมื่อเปิดใช้งานสัญลักษณ์ Wi-Fi จะซ้อนกัน 2 คลื่น

realme X7 Pro 5G รองรับบริการชำระเงินผ่านระบบ NFC

รวมถึงฟังก์ชัน Android Beam สำหรับส่งข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC โดยการนำตัวเครื่องทั้ง 2 มาแตะกัน

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้

หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ

รวมถึงการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Assistive Ball ปุ่มคีย์ลัดที่สามารถเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งได้

และรองรับฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ

โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน พร้อมเลือกแอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในแถบ Smart Slider ได้

และเมื่อกดค้างที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะปรากฎคีย์ลัด เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

สำหรับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะก็มีให้ใช้งาน ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง, การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน, การรับสายอัตโนมัติ, การสลับจากลำโพงภายนอก มาเป็นลำโพงสำหรับสนทนาเมื่อนำมือถือมาแนบที่ใบหู และการคว่ำตัวเครื่องเพื่อปิดเสียงสายโทรเข้า

รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้

โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย

ตัวอย่างการใช้งานบนบริการ Google Lens

realme X7 Pro 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Power Saving Mode ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน

พร้อมโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุดอย่าง Super Power saving mode สำหรับยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นเป็นเท่าตัว แต่แลกกับการใช้งานได้เพียงแค่ฟังก์ชันพื้นฐานเท่านั้น และจะใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สูงสุดที่ 4G+

และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จความเร็วสูงแบบ 65W SuperDart Charge (10V/6.5A) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลา 35 นาที ที่ช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังติดตั้งชิปตรวจสอบความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5 ชั้น (Five-core Chip) เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่มีความเสถียร และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

รวมถึงโหมด High Performance สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ โดยเมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย ถัดจากเวลา

และรองรับฟังก์ชัน App Quick Freeze สำหรับช่วยหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันที่ไม่ได้เรียกใช้งานในปัจจุบัน

ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน

สามารถตรวจสอบเวลาที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละแอปพลิเคชันได้

และรองรับฟังก์ชัน Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง

realme X7 Pro 5G ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

รวมถึงรองรับการใช้งานแบบ Multi-user ที่สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ต้องการแยกการทำงาน และการใช้งานทั่วไปให้ชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี

ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน realme X7 Pro 5G มีทั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่บนหน้าจอ โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งทาง realme ระบุว่าใช้เวลาในการปลดล็อกเพียง 0.35 วินาทีเท่านั้น และจากการทดสอบตัวเซนเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ

และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น

ท่านที่ใช้งาน realme X7 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที

realme X7 Pro 5G รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงแบบ Hi-Res ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dolby Atmos ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (ซึ่งจะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)

รวมถึงรองรับฟังก์ชันที่น่าสนใจอย่าง Dual-Mode Audio โดยสามารถใช้งานหูฟังแบบมีสาย และแบบไร้สายได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะสำหรับการรับชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรดกับเพื่อนได้พร้อมๆ กัน โดยไม่ต้องแบ่งหูฟังคนละข้างเหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง

ที่สำคัญ realme X7 Pro 5G ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง, Kid Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ

สำหรับเซนเซอร์ในเครื่อง realme X7 Pro 5G นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor

สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 64 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 1 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง

realme X7 Pro 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 1000+ บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 7nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.6GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G77 โดยใช้หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย User Interface แบบ realme UI 1.0

realme X7 Pro 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 537,946 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 797 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 2,720 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้ผลการทดสอบที่ 6,593 คะแนน

realme X7 Pro 5G รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง อย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้

ใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, League of Legends : Wild Rift และ A3 : Still Alive พร้อมเปิดการแสดงผลกราฟิกในระดับสูงสุด ก็พบว่า realme X7 Pro 5G นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ผสานกับหน้าจอที่มี Refresh Rate ระดับ 120Hz ซึ่งช่วยให้เกมลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมถึงค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ที่ช่วยให้การตอบสนองต่อการสัมผัสรวดเร็วยิ่งขึ้น จึงไม่พลาดช่วงเหตุการณ์สำคัญ

อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ความจุ mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge (10V/6.5A) จึงทำให้เล่นเกมได้ยาวนานต่อเนื่อง รวมถึงมีระบบความปลอดภัยถึง 5 ชั้น จึงมั่นใจได้ว่าสามารถชาร์จไป ใช้งานไปได้อย่างปลอดภัย และไม่ทำให้ตัวเครื่องร้อนมากเกิน

realme X7 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ AMOLED 120Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.55 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 กับพื้นที่การแสดงผลทั้งหมด 91.6% คมชัดระดับ Full HD+ จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces จึงทำให้ภาพมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

realme X7 Pro 5G มาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว ( AI Quad Camera ) ซึ่งประกอบไปด้วย

- กล้องตัวหลัก ( Main ) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX686 ขนาด 1/1.72 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF, โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.25, มุมรับภาพ 119 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Portrait B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 - กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาดf2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร

โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x),  แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) ไปจนถึงซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom)

พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, ฟังก์ชัน AI Scene Enhancement สำหรับเพิ่มสีสันให้กับภาพโดยอัตโนมัติ และการเพิ่มฟีลเตอร์

รวมถึงเมนูอื่นๆ ได้แก่ สัดส่วนภาพถ่าย, การจับเวลา และการตั้งค่าเพิ่มเติม

มาพร้อมกับโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%

และโหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%) พร้อมใช้งานร่วมกับ AI Beauty ที่สามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%

และใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้

และโหมด Super NightScape 4.0 สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ พร้อมถ่ายแบบมุมกว้างพิเศษได้

รองรับ Tripods Mode ถ่ายภาพกลางคืนร่วมกับขาตั้งกล้อง ที่สามารถรับแสงได้นานมากขึ้น

พร้อม Pro Nightscape ในการตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติมสำหรับช่างภาพตัวจริง

พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Modern Gold, Cyber Punk และ Flamingo

รองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูงอย่าง 64MP (6944x9248 พิกเซล) ที่มาพร้อม Pro Mode ในการตั้งค่าต่างๆ เพิ่มเติม

โหมดถ่ายภาพมุมกว้างแบบ PANO

และโหมดถ่ายภาพระยะใกล้แบบ Ultra-Macro โดยสามารถถ่ายในระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร

รวมถึงโหมด Movie สำหรับการบันทึกวิดีโอแบบ Cinematic ที่สามารถตั้งค่าการถ่ายได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อัตราส่วนที่ 21:9, การเปิดรับแสง (EV), White Balance, ความเร็วชัตเตอร์, ISO และการซูม

สำหรับโหมด Expert กับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด ก็มีให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน

การถ่ายวิดีโอบน realme X7 Pro 5G สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ 4K UHD (30 fps) พร้อมถ่ายในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.6x) และสามารถซูมได้สูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom)

รองรับการโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady (UIS และ UIS Max)

พร้อมโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Video Bokeh) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ 0-100% และใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้

รวมถึงฟังก์ชัน AI Color Portrait Video ในการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมดูดสีพื้นหลังออกให้กลายเป็นสีขาว-ดำ

และ Monochrome Video โหมดถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถดึงสีขึ้นมาไฮไลท์บนวิดีโอได้แบบ real-time ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Crimson, Forest Green และ Sky Blue

รองรับโหมด AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%

พร้อมรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE ที่สามารถซูมภาพได้สูงสุด 10 เท่า (10x Digital Zoom) และฟังก์ชัน SLO-MO

realme X7 Pro 5G มีกล้องหน้าฝังบนจอแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง f2.45

โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ได้แก่ เปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR และการเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ

รวมถึงเมนูอื่นๆ ได้แก่ สัดส่วนภาพถ่าย, การจับเวลา และการตั้งค่าเพิ่มเติม

กล้องหน้าของ realme X7 Pro 5G รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งในแต่ละส่วนสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30%)

สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)

พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ

และใช้งานร่วมกับ AI Beauty ที่ปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งในแต่ละส่วนสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100%

รองรับการถ่ายภาพในเวลากลางคืนด้วยโหมด Night พร้อมทำงานร่วมกับ AI Beauty ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

รวมถึงการถ่ายเซลฟี่มุมกว้างโหมด PANO

การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ realme X7 Pro 5G รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p 30fps พร้อมรระบบกันสั่นแบบ UIS Video Stabilization

โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Video Bokeh) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ 0-100% พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ

รวมถึงฟังก์ชัน AI Color Portrait ในการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมดูดสีพื้นหลังออกให้กลายเป็นสีขาว-ดำ ก็มีให้ใช้งานบนกล้องหน้าด้วยเช่นกัน

และโหมด AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%

รวมถึงรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE และ SLO-MO

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียด 64+8+2+2 ล้านพิกเซล ของ realme X7 Pro 5G

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh

ภาพถ่ายจากโหมด Ultra-Macro

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 4.0

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 4.0 มุมกว้างพิเศษแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 4.0

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 4.0 มุมกว้างพิเศษแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 4.0

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 2.0 พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบ Modern Gold

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 2.0 พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบ Cyber Punk

ภาพถ่ายในเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape 2.0 พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบ Flamingo

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ realme X7 Pro 5G

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด AI Beauty

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh

สรุปผลการทดสอบของ realme X7 Pro 5G

จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นก็พอจะสรุปได้ว่า realme X7 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟน 5G ระดับท็อปรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ ด้วยการใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง Dimensity 1000+ จากค่าย MediaTek ที่มีประสิทธิภาพ และความแรงเทียบเท่า Snapdragon 865 ที่ใช้บนสมาร์ทโฟนระดับเรือธง อีกทั้งยัง รองรับเครือข่าย 5G แบบ Dual-Mode (SA/NSA) โดยรองรับการสแตนด์บายเครือข่าย 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ดแบบ Dual 5G SIM พร้อมใช้งานในประเทศไทยทันทีตั้งแต่แกะกล่อง

และมาพร้อมกับเทคโนโลยี Hyper Boost 3.0 สำหรับเร่งประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรให้ดีขึ้น 30% โดยใช้พลังงานลดลง 12% และระบบระบายความร้อน 5 ขั้น ซึ่งช่วยลดอุณภูมิตัวเครื่องได้สูงสุดถึง 10 องศาเซลเซียส จึงไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะร้อนเกินไป รวมถึงใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G77 จึงสามารถตอบโจทย์การใช้งานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และมีหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB ซึ่งสามารถใช้งานด้านต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล พร้อมกับหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB ผสานเทคโนโลยี Turbo Write ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็ค่อนข้างน่าเสียดายที่ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำด้วยการ์ดแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ

ด้านแบตเตอรี่มีความจุ 4500 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมรองรับโหมดประหยัดพลังงานที่ช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น รวมถึงฟังก์ชัน Reversed Charging สำหรับแปลงร่างเป็น Power Bank ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่น ผ่านสาย OTG (ต้องซื้อแยกต่างหาก) พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0-100% ได้ภายในเวลาที่รวดเร็วทันใจเพียง 35 นาที ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีการติดตั้งชิปตรวจสอบความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5 จุด (Five-core Chip) เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่มีความเสถียรรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง realme X50 5G ก็มีโหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง

อีกหนึ่งจุดเด่นของ realme X7 Pro 5G ก็คือหน้าจอ 120Hz Super AMOLED Ultra Smooth Display ขนาดใหญ่ 6.55 นิ้ว โดยมีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz ซึ่งช่วยให้การแสดงผลลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับ Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ที่ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับเกมเมอร์ตัวจริง และมีความละเอียดระดับ Full HD+ ที่สามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส ในมุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมรูปภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ส่วนที่มุมซ้ายบนนั้นเป็นกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ที่ถูกฝังเอาไว้บนหน้าจอได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ยังมีลำโพงเสียงแบบคู่ที่รองรับไฟล์เสียงแบบ Hi-Res พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ที่ผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้ จึงช่วยเพิ่มอรรถรสในการใช้งานให้เต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น

การดีไซน์ของ realme X7 Pro 5G ก็ถือว่าโดดเด่นอยู่ไม่น้อยด้วยฝาหลังลงโค้งแบบ 3D Curved กระชับกับฝ่ามือขณะถือใช้งาน โดยมีการดีไซน์ที่เรียกว่า 2+2+1 ได้แก่ Double-Grain, Double-Pated และ Anti-Glare Glass พร้อมใช้เทคนิคการเคลือบผิวสัมผัสด้านแบบ AG Split Design ทำให้เกิดมุมมองดีไซน์ที่ดูกลมกลืน และดูพรีเมียมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตัวเลือกสี Iridescent ที่เป็นการไล่เฉดสีต่างๆ เล่นกับแสงในมุมตกกระทบต่างๆ

ซึ่งที่ด้านหลังของตัวเครื่องนั้นได้ติดตั้งกล้องทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) ประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX686 พร้อมกล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สำหรับเก็บภาพมุมกว้างสุด 119 องศา, กล้อง Portrait B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมฟีลเตอร์ต่างๆ และ กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร ซึ่งรองรับโหมดการถ่ายภาพแบบครบครัน ตอบโจทย์การใช้งานในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น โหมด Portrait ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้, โหมดถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra-Wide พร้อมถ่ายระยะใกล้แบบ Ultra-Macro, โหมดถ่ายภาพกลางคืน Super Nightscape 4.0 เวอร์ชันใหม่ พร้อมโหมด Pro สำหรับตั้งค่าเพิ่มเติมที่เหมาะกับช่างภาพตัวจริง, ฟังก์ชัน AI Scene Enhancement ในการตรวจจับซีนต่างๆ พร้อมปรับค่าแสง สี ให้ภาพสวยงามโดยอัตโนมัติ, ฟังก์ชัน AI Beauty สำหรับปรับผิวให้เนียนสวย, โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง  Pro 64MP และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide พร้อมโหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady (UIS และ UIS Max) , ฟังก์ชัน SLO-MO พร้อมความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K (30fps) รวมถึงการถ่ายวิดิโอเวลากลางคืน Pro Nightscape พร้อม Ultra Nightscape Video ไปจนถึงฟังก์ชัน Real-time Bokeh Effect Video ในการถ่าย วิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ และ AI Color Portrait Video สำหรับ เปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีขาวดำได้แบบ real-time

สำหรับ realme X7 Pro 5G มี เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่บนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner) ที่ทำงานร่วมกับระบบสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ถูกครอบทับด้วย realme UI 1.0 พร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อย่างเช่น Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำเพื่อความสบายตาขณะใช้งาน และ Focus Mode สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาธิ หรือเข้านอน โดยทำการปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ รวมถึงรองรับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant ที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง และยังมีบริการ Google Lens บริการ ค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ realme X7 Pro 5G ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยฟังก์ชันสำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ขณะเล่นเกม พร้อมกับฟีเจอร์ Graphics Acceleration ในการรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถเล่นเกมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเกมที่เน้นกราฟิกได้แบบไม่มีสะดุด รวมถึงฟังก์ชัน Ultra Vibration Tactile Engine การสั่นสะเทือนแบบ 3 มิติ ขณะเล่นเกม ที่ช่วยเพิ่มอรรถรส และความสมจริงให้มากยิ่งขึ้น

realme X7 Pro 5G เปิดราคาจำหน่ายอย่างทางการในประเทศไทยแล้วที่ 16,990 บาท กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ Aerolite Black และ Iridescent โดยจะเปิดให้สั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2563 และเริ่มวางจำหน่ายจริงในวันที่ 21 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งผู้ที่สั่งจองจะได้รับ VIP Card ประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี และ realme Smart Scale รวมมูลค่า 5,999 บาท รวมถึงรับสิทธิ์ ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 24 เดือน และขยายระยะเวลาการ รับประกันตัวเครื่องเป็น2 ปี (เมื่อสั่งซื้อภายในวันที่ 10 มกราคม 2564 )

และพิเศษสำหรับผู้ที่สั่งจอง realme X7 Pro 5G ผ่านทาง ผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ค่าย รับโปรโมชั่นราคาพิเศษเริ่มเพียง 9,990 บาท

โปรโมชั่น realme X7 Pro 5G จาก AIS ร่วมกับ Jaymart กับราคาเริ่มเพียง 9,990 บาท

โปรโมชั่น realme X7 Pro 5G จาก TrueMove H ร่วมกับ BaNANA กับราคาเริ่มเพียง 9,990 บาท

โปรโมชั่น realme X7 Pro 5G จาก dtac ร่วมกับ IT CITY หรือ CSC กับราคาเริ่มเพียง 9,990 บาท

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme X7 Pro 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ realme X7 Pro 5G

- ฝาหลังลงโค้งแบบ 3D Curved กระชับกับฝ่ามือขณะถือใช้งาน โดยมีการดีไซน์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน พร้อมใช้เทคนิคการเคลือบผิวสัมผัสด้านแบบ AG Split Design กับกระจก Anti-Glare ที่ช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ - ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบ VC Liquid Cooling System - หน้าจอแสดงผลแบบ 120Hz Super AMOLED Ultra Smooth Display ขนาดใหญ่ 6.55 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 401 ppi) โดยมีสัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 91.6% พร้อมค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz กับ Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz, รองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect, ค่าความสว่างสูงสุด 1200 nit, ค่า Contrast Ratio 6000000:1, อัตราส่วนการแสดงผลแบบ 20:9, รองรับช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100, รองรับช่วงสีแบบ NTSC และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 - เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner) และระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) - แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 65W SuperDart Charge (10V/6.5A) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 35 นาที - ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Dimensity 1000+ ความเร็ว 2.6 GHz - เทคโนโลยี Hyper Boost 3.0 สำหรับเร่งประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรให้ดีขึ้น 30% พร้อมใช้พลังงานลดลง 12% - ระบบระบายความร้อน 5 ขั้น ซึ่งช่วยลดอุณภูมิตัวเครื่องได้สูงสุดถึง 10 องศาเซลเซียส - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G77 MC9 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB พร้อมทเคโนโลยี Turbo Write - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 1.0 กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ประกอบด้วย

- กล้องตัวหลัก ( Main ) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX686 ขนาด 1/1.72 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF, โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.25, มุมรับภาพ 119 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ - กล้อง Portrait B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 - กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร พร้อมรองรับโหมดถ่ายภาพกลางคืน Super Nightscape 4.0 เวอร์ชันใหม่, ฟังก์ชัน AI Scene Enhancement ในการตรวจจับซีนต่างๆ พร้อมปรับค่าแสง สี ให้ภาพสวยงามโดยอัตโนมัติ, โหมดถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra-Wide พร้อมถ่ายระยะใกล้แบบ Ultra-Macro, ฟังก์ชัน AI Beauty สำหรับปรับผิวให้เนียนสวย, โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง  Pro 64MP, โหมด Portrait ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide พร้อมโหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady (UIS และ UIS Max), ฟังก์ชัน SLO-MO พร้อมความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K (30fps) รวมถึงการถ่ายวิดิโอเวลากลางคืน Pro Nightscape พร้อม Ultra Nightscape Video ไปจนถึงฟังก์ชัน Real-time Bokeh Effect Video ในการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ และ AI Color Portrait Video สำหรับเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีขาวดำ กล้องดิจิทัลด้านหน้าฝังบนจอแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.45, มุมรับภาพ 80 องศา, รองรับเทคโนโลยี AI Beauty, โหมด Portrait พร้อม Bokeh Effect, โหมด NightScape ถ่ายเซลฟี่เวลากลางคืน และระบบป้องกันการสั่นสำหรับถ่ายวิดีโอแบบ UIS Video Stabilization - ฟังก์ชัน App Encryption และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kids Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก - ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ - การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ - โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก - Multi-user สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง - ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม - ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ระบบสั่นสะเทือนแบบ 3 มิติ (Ultra Vibration Tactile Engine) ขณะเล่นเกม ที่ช่วยเพิ่มอรรถรส และความสมจริงให้มากยิ่งขึ้น - ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ - ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้สาย - ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Speakers) พร้อมรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos กับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res) - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 5G (SA/NSA), 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการสแตนด์บาย 5G พร้อมกัน 2 ซิมการ์ดแบบ Dual 5G SIM / Dual Standby - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 802.11 a/b/g/n/ac : 2.4GHz / 5.0GHz, Bluetooth 5.0 และ NFC - รองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม GPS, A-GPS, Glonass, Beidou, Galileo และ QZSS - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C พร้อมรองรับ OTG (USB On-the-Go) - ราคา 16,990 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ realme X7 Pro 5G

- ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกด้วยการ์ดแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ - ไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร (แต่มีการแถมตัวแปลงพอร์ต USB Type-C เป็นรูหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรมาในแพ็กเกจ) - ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนเมื่อใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน

Leave a Comment