รีวิว Samsung Galaxy Note 9 กาแล็กซีโน้ตที่ทรงพลังที่สุด พร้อมปากกา S Pen บลูทูธโฉมใหม่, กล้องคู่ AI และสเปกที่สมบูรณ์แบบขึ้นอีกขั้น :: Thaimobilecenter.com

กาแล็กซีโน้ตที่ทรงพลังที่สุด กับอีกขั้นของความสมบูรณ์แบบ ด้วยปากกา S Pen บลูทูธโฉมใหม่ดั่งไม้กายสิทธิ์, กล้องคู่ AI สุดอัจฉริยะ, จอ Infinity Display ใหญ่ที่สุด 6.4 นิ้ว, ชิปเซ็ตตัวท็อป Exynos 9810, RAM สูงสุด 8GB, ROM สูงสุด 512GB, ลำโพงคู่ AKG เสียงใส, แบตเตอรี่อึดจุใจ 4000 mAh, ระบบสแกนม่านตา และ Gigabit LTE 1.2Gbps บนบอดี้ Metal Glass สวยหรูพรีเมียมที่กันน้ำได้!

31 สิงหาคม 2018 - ก่อนหน้านี้ เหล่าขุนพลสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปของ Samsung ทั้ง Galaxy Note 8 และ Galaxy S9/S9+ ได้พกเอานวัตกรรมล่าสุด และฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์ของวงการสมาร์ทโฟนมาใส่ไว้แทบทุกอย่าง จนเรียกได้ว่า แทบจะเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า แล้วสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของค่ายในปี 2018 นี้อย่าง Samsung Galaxy Note 9 จะมีอะไรที่ดีกว่าเดิมได้อีก?

ในที่สุด หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา พวกเราก็ได้เห็นว่า ความสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีคำว่าสิ้นสุด สิ่งที่ดีอยู่แล้ว ก็จะดีขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งทุกท่านสามารถพบได้ใน Galaxy Note 9 รุ่นนี้ สมกับคอนเซ็ปต์ประจำตัวที่ว่า “Super Powerful Note” เริ่มตั้งแต่ ปากกา S Pen ใหม่ที่อัปเกรดเป็นปากกาบลูทูธ ที่สามารถสั่งงานได้แบบไร้สายเพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น, กล้องคู่ใหม่ที่ปรับรูรับแสงได้ พร้อมความชาญฉลาดของระบบ AI , ลำโพงแบบคู่ ที่ให้เสียงไพเราะมีมิติมากกว่าเดิม, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิม, จอ Infinity Display ที่ใหญ่ขึ้น พร้อมขอบดำที่บางลง, พื้นที่เก็บบันทึกข้อมูลที่มากขึ้น, การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เร็วกว่าเดิม , ระบบระบายความร้อนใหม่ที่เรียกว่า Water Carbon Cooling System และอีกมากมาย

ส่วนฟีเจอร์เด่นอื่นๆ ที่เคยมีอยู่ใน Galaxy Note 8 หรือ S9/S9+ ก็ ยังคงถูกสืบทอดมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ได้พรีวิวให้ชมกันไปบ้างแล้ว ( พรีวิว Samsung Galaxy Note 9 มีอะไรใหม่ ดีกว่าเดิมแค่ไหน? ) แต่สำหรับรีวิวฉบับเต็มในวันนี้เราจะเจาะลึกยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบรายละเอียดที่ครบถ้วนมากกว่าเดิมท่านใดที่กำลังสนใจ หรือท่านใดที่กำลังตัดสินใจซื้อ Galaxy Note 9 รุ่นนี้อยู่ เชิญไปติดตามกันได้เลยครับ

แกะกล่อง Samsung Galaxy Note 9 พร้อมสำรวจอุปกรณ์ด้านใน

ขอเริ่มที่การแกะกล่องกันก่อนนะครับ โดยดีไซน์ภายนอกของกล่องก็ยังคงเป็นสไตล์เดียวกันกับเรือธงตัวท็อปในช่วงหลายๆ ปีมานี้ของ Samsung คือเป็นกล่องสีดำด้านที่ดูเรียบหรู แต่ก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่เหมือนกัน คือที่หน้ากล่องจะเปลี่ยนเป็นรูปปากกา S Pen สีทองสวยเด่น แทนที่จะระบุเป็นชื่อรุ่นเหมือนที่ผ่านๆ มา

เมื่อเปิดกล่องของ Galaxy Note 9 ออกมา นอกจากตัวเครื่องแล้ว ก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ครบครันพร้อมใช้งาน แทบไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มเติม

เริ่มตั้งแต่ Soft Case แบบใส และมีลักษณะนิ่ม จึงมีความยืดหยุ่นสูง

เข็ม SIM Door Key สำหรับถอดถาดซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot

หูฟังแบบสเตอริโอที่ผ่านการปรับจูนโดย AKG

จุกยางสำรองสำหรับหูฟัง 2 คู่ 2 ขนาด เพื่อให้เหมาะกับสรีระหูของแต่ละคน

หัวปากกาสำรอง สำหรับ S Pen พร้อมตัวคีบ

อะแดปเตอร์ USB-A to USB-C

อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ Adaptive Fast Charging

สาย USB Type-C

และคู่มือการใช้งาน กับเอกสารต่างๆ

รูปลักษณ์ภายนอก และการออกแบบดีไซน์ของ Samsung Galaxy Note 9

ตัวเครื่องของ Samsung Galaxy Note 9 ก็ยังคงสืบทอดเอกลักษณ์ด้านดีไซน์มาจากเรือธงรุ่นพี่ที่เปิดตัวมาในช่วง 2 ปีหลังนี้ ตั้งแต่ Galaxy S8/S8+, Note 8 และ S9/S9+ คือเป็นดีไซน์แบบไร้กรอบไร้ปุ่มโฮม ด้วยหน้าจอแบบ Infinity Display ขอบโค้ง 2 ด้าน ที่ดูสวยงามพรีเมียมเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนวัสดุนั้นเป็นการผสมผสานกันระหว่างโลหะอะลูมิเนียม กับกระจกที่ประกบด้านหน้า-ด้านหลังตัวเครื่องเช่นเดิม หรือที่เรียกว่าเป็นดีไซน์แบบ Metal-Glass Unibody นั่นเอง

โดยกระจกที่นำมาใช้ปกป้องหน้าจอ กับด้านหลังตัวเครื่อง คือกระจกขอบโค้งที่แข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษอย่าง Gorilla Glass 5

โดยขอบโค้งด้านข้างของกระจกมีความสมมาตรกันทั้งด้านบน-ด้านล่าง หรือที่เรียกว่า Symmetrical Design

จอแสดงผลของ Galaxy Note 9 มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือมีขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้ว โดยเป็นหน้าจอขอบโค้งแบบ Curved Infinity Display Super AMOLED ความละเอียดระดับ 2K Quad HD+ หรือ 2960x1440 พิกเซล (516 ppi) ในอัตราส่วนแบบ 18.5:9 และยังสามารถรองรับเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ Mobile HDR Premium ได้อีกด้วย

ซึ่งแม้ว่า Samsung Galaxy Note 9 จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6.4 นิ้ว แต่ด้วยอัตราส่วนหน้าจอแบบ 18.5:9 กับขอบหน้าจอที่บางเฉียบ จึงช่วยให้ตัวเครื่องยังคงมีความผอมเพรียว และสามารถจับถือได้ถนัดมือ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Galaxy Note 8 ที่มีหน้าจอขนาด 6.3 นิ้วแล้วให้ความรู้สึกที่แทบไม่ต่างกัน

อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชันกรองแสงสีฟ้า หรือ Blue Light Filter ซึ่งเราสามารถปรับระดับการกรองแสง และช่วงเวลาที่ต้องการใช้งานได้เองอย่างอิสระ

ที่ด้านบนของหน้าจอประกอบไปด้วยไฟ LED สำหรับแสดงสถานะการทำงาน, ตัวฉายแสงม่านตา, Proximity Sensor กับ Ambient Light Sensor, ตัวฉายแสง Proximity, ลำโพงหูฟังสำหรับการสนทนา ซึ่งเป็นลำโพงเสียงในตัว, กล้องดิจิทัลความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.7 ซึ่งเป็นโมดูลเดียวกันกับ Galaxy Note 8, S8/S8+ และ S9/S9+ และเซ็นเซอร์สแกนม่านตา

ที่ด้านล่างของหน้าจอจะมีแถบ Navigation Bar แบบฝังใต้หน้าจอ ซึ่งประกอบไปด้วยปุ่มโฮม ซึ่งมีเทคโนโลยีตรวจจับแรงกด (Pressure Sensor), ปุ่ม Recent Apps และปุ่มย้อนกลับ

โดยเราสามารถปรับแต่งแถบ Navigation Bar ตรงนี้ได้ด้วย ทั้งสีพื้นหลัง, น้ำหนักของการกดปุ่มโฮม และรูปแบบการจัดเรียงของปุ่มทั้งสาม

ที่ด้านหลังของตัวเครื่องประกอบไปด้วยกล้องคู่ ซึ่งแบ่งออกเป็นกล้อง Wide-Angle Super Speed Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงขนาด f/1.5 กับ f/2.4 และกล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงขนาด f/2.4 และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

ส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ จากเดิมใน Galaxy Note 8 นั้นอยู่ในตำแหน่งด้านขวาของกล้องคู่ ซึ่งนิ้วอาจเผลอไปโดนเลนส์กล้องได้ง่าย ก็ถูกเปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ที่ด้านล่างของกล้องแทน ซึ่งใช้งานได้ง่ายกว่า, แม่นยำกว่า และลดโอกาสที่นิ้วจะเผลอไปโดนเลนส์กล้อง

ที่ด้านบนของตัวเครื่องประกอบไปด้วยไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน, ถาดซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot และแถบเสารับสัญญาณที่ด้านซ้าย กับด้านขวา

ซึ่งก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ Galaxy Note 9 ยังคงเลือกใช้ถาดซิมการ์ด Hybrid Slot เพราะแม้จะสามารถใส่ได้ 2 ซิมการ์ด แต่ช่องใส่ซิมการ์ดที่สองก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ด กับการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วยช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง, ลำโพงเสียงตัวที่สอง, ช่องเสียบปากกา S Pen และแถบเสารับสัญญาณที่ด้านซ้าย กับด้านขวา

Samsung Galaxy Note 9 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในตระกูล Galaxy Note ที่มีลำโพงแบบคู่ หลังจากที่หลายๆ คนรอมานาน โดยอยู่ที่ด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่อง นอกจากนี้ลำโพงยังถูกปรับจูนโดย AKG แบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำของโลก พร้อมรองรับระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศาแบบ Dolby Atmos

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบไปด้วยปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง กับปุ่มเรียกใช้งาน Bixby ส่วนกรอบโลหะด้านข้างจากเดิมที่มีพื้นผิวแบบมันวาว ก็เปลี่ยนมาเป็นพื้นผิวแบบด้านแทน ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีเพียงปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ

และแน่นอนว่ายังคงมาพร้อมกับคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 หรือสามารถอยู่ใต้น้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร เป็นเวลาต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที แต่ก็ไม่แนะนำให้นำเครื่องไปใช้งานใต้น้ำโดยไม่จำเป็นนะครับ

แนะนำกระจกกันรอยแบบกาวเต็มสำหรับ Samsung Galaxy Note 9

จะเห็นว่าภายในกล่องของ Galaxy Note 9 ไม่ได้แถมฟิล์มกันรอย หรือกระจกกันรอยมาให้ด้วย ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าจอ Infinity Display ขอบโค้งสวยๆ งามๆ ที่มีขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้ว ของ Galaxy Note 9 นั้นปลอดภัยจากการขีดข่วน หรือการกระแทกที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด วันนี้เราจึงมีกระจกกันรอยดีๆ มาแนะนำกันด้วยครับ

นั่นคือ Focus 3D Full Stick กระจกกันรอยกาวเต็ม ซึ่งมีชั้นกาวเต็มแผ่น จึงสามารถติดได้แนบสนิททั้งหน้าจอลงขอบโค้ง สามารถทัชได้ทุกส่วนของหน้าจอ เรียกได้ว่าพัฒนามาเพื่อจอขอบโค้งโดยเฉพาะ

พร้อมคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย ทั้งขอบไม่เด้งไม่หลุดง่าย, ซิลิโคนเต็มแผ่นฝุ่นไม่เข้า, ไม่มีฟองอากาศ, ไม่มีคราบรุ้ง, ปกป้องได้ถึงขอบโค้ง, ไม่มีจุด Dot Matrix มารบกวนสายตา, สัมผัสได้ลื่นไหล, กดง่ายไม่สะดุด, แข็งแกร่งระดับ 9H, ป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี, ป้องกันรอยนิ้วมือ และสามารถใส่เคสได้ทุกรูปแบบ

เรียกได้ว่าเป็นกระจกกันรอยที่ติดได้สวยลงตัว, ใช้งานได้มั่นใจ และเหมาะกับจอขอบโค้งขนาดใหญ่ของ Samsung Galaxy Note 9 เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากท่านใดสนใจนำเอากระจกกันรอย Focus 3D Full Stick มาช่วยปกป้องหน้าจอของ Galaxy Note 9 ตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือจะสั่งซื้อออนไลน์ก็ได้เช่นกัน โดยมีราคาอยู่ที่ 1,290 บาทครับ

เปรียบเทียบ Samsung Galaxy Note 9 กับ Note 8 และ S9+

เมื่อนำเอาสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อป 3 รุ่นล่าสุดของ Samsung ทั้ง Galaxy Note 9, Note 8 และ S9+ มาวางเทียบกัน ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีกำเนิดมาจาก DNA เดียวกัน นั่นคือเป็นดีไซน์แบบไร้กรอบไร้ปุ่มโฮม ด้วยจอแสดงผลขอบโค้งแบบ Infinity Display แต่ในด้านของ Galaxy S9+ จะสังเกตความแตกต่างได้ค่อนข้างง่าย เนื่องจากที่มุมทั้ง 4 ด้านมีความโค้งมนมากกว่าอย่างชัดเจน กับขนาดจอที่เล็กที่สุดในกลุ่มที่ 6.2 นิ้ว และส่วนของเซ็นเซอร์ที่ขอบจอด้านบน ที่เห็นได้ชัดกว่าเนื่องจากไม่มีชั้นฟิล์มสีดำมาช่วยให้ดูกลมกลืนเหมือนกับอีก2 รุ่น ส่วนจุดสังเกตระหว่าง Note 9 กับ Note 8 ก็คือขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จาก 6.3 นิ้ว เป็น 6.4 นิ้ว กับพื้นที่สีดำด้านบน-ด้านล่างหน้าจอ ที่บางลงเล็กน้อย

เมื่อพลิกมาดูที่ด้านหลังก็จะสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ง่ายขึ้น โดย Galaxy Note 9 แม้จะมีการจัดวางกล้องคู่ในแบบแนวนอนเหมือนกับ Note 8 แต่ก็ได้แยกเอาเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือออกมาไว้ที่ด้านล่างแทน เพื่อตัดปัญหาที่นิ้วมักจะไปโดนเลนส์กล้องเมื่อเราทำการสแกนนิ้ว ส่วนถ้าเทียบกับ S9+ ก็จะเห็นว่าต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากบน S9+ ถูกจัดวางกล้องคู่ไว้ในแนวตั้ง อย่างไรก็ดีส่วนตัวแล้วยังคิดว่าดีไซน์ด้านหลังของ Note 8 กับ S9+ นั้นดูสวยลงตัวมากกว่า

ส่วนที่ขอบด้านข้างของตัวเครื่อง ดูเผินๆ แล้วแทบไม่ต่างกัน แต่เมื่อดูใกล้ๆ ก็จะเห็นว่า Galaxy Note 9 มีวิธีการตัดขอบที่แตกต่างอยู่เล็กน้อย ด้วยการตัดขอบแบบ Diamond Cut ที่ดูประณีต, เพิ่มมิติ และช่วยให้เครื่องดูบางเฉียบมากขึ้น (แม้ในความเป็นจริงเครื่อง Note 9 มีความหนามากที่สุดใน 3 รุ่นนี้)

และเมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างรุ่นใหม่อย่าง Galaxy Note 9 กับรุ่นเมื่อปีที่แล้วอย่าง Galaxy Note 8 ก็จะพบว่ามีสิ่งที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นในหลายๆ จุด ดังรายละเอียดในตารางสรุปด้านบนนี้

คุณสมบัติพื้นฐานของ Samsung Galaxy Note 9

เครื่อง Samsung Galaxy Note 9 ที่วางจำหน่ายในไทย คือโมเดล SM-N960F/DS

ชิปเซ็ตจากเดิมที่เป็น Exynos 8895 ก็อัปเกรดมาเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดของ Samsung เองอย่าง Exynos 9810 ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 10nm FinFET (2nd Gen) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการประมวลผล (ซีพียู Quad-Core Mongoose M3 ความเร็ว 2.7 GHz + ซีพียู Quad-Core Cortex-A55 ความเร็ว 1.7 GHz) และเป็นชิปเซ็ตที่มาพร้อมกับจีพียู หรือหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G72 MP18

และด้วยระบบระบายความร้อนใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Water Carbon Cooling System จึงช่วยลดอุณหภูมิที่เกิดขึ้นขณะต้องประมวลผลหนักๆ ได้เป็นอย่างดี

ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ซึ่งถูกครอบทับด้วย Samsung Experience เวอร์ชัน 9.5

และรองรับการแสดงผลหน้า Home Screen และหน้าเมนูต่างๆ แบบแนวนอน หรือแบบ Landscape ดังที่เห็นนี้ ซึ่งก็ดูเหมาะกับหน้าจอขนาดใหญ่ในอัตราส่วนแบบ 18.5:9 ส่วนการสลับระหว่างโหมด Portrait หรือ Landscape ก็เพียงแค่พลิกเครื่องเป็นแนวตั้ง หรือแนวนอนเท่านั้น

มีหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4 ขนาด 6 GB สำหรับรุ่น ROM 128 GB หรือขนาด 8 GB สำหรับรุ่น ROM 512 GB

มีหน่วยความจำ ROM ขนาด 128 GB สำหรับรุ่นมาตรฐาน ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก Galaxy Note 8 และมีมากถึง 512 GB สำหรับรุ่นพิเศษ และหากไม่พอก็สามารถใส่การ์ด microSD เพิ่มได้อีกสูงสุดถึง 512 GB

และหากต้องการเก็บข้อมูลไว้บนระบบ Cloud ก็มีพื้นที่บนบริการ Samsung Cloud ให้ใช้งานฟรีๆ อีก 15 GB

แบตเตอรี่ของ Galaxy Note 9 มีความจุอยู่ที่ 4000 mAh ซึ่งมากกว่า Galaxy Note 8 (3300 mAh) อยู่ 21% พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง หรือ Adaptive Fast Charging และรองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย

ภายในเครื่องมีเซ็นเซอร์ตรวจจับแบบต่างๆ ติดตั้งมาให้อย่างครบถ้วน ทั้ง Accelerometer, Barometer, Gyro, Geomagnetic, Hall, Heart Rate, Proximity, RGB Light และ Pressure

รองรับเทคโนโลยีเครือข่ายโทรศัพท์มือถือความเร็วสูงแบบ Gigabit LTE Cat.18 ซึ่งมีความเร็วสูงสุดถึง 1.2 Gbps พร้อมเทคโนโลยี Enhanced 4x4 MIMO, 5CA และ LAA

เทคโนโลยีเครือข่าย Wi-Fi แบบ 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz), VHT80 MU-MIMO และ 1024QAM

ปากกา S Pen ใหม่ ของ Samsung Galaxy Note 9

จุดขายที่สำคัญที่สุดของ Galaxy Note 9 ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากการใช้งานปากกา S Pen ซึ่งยังคงสืบทอดฟังก์ชันทีเด็ดจากรุ่นพี่อย่าง Galaxy Note 8 มาอย่างครบถ้วน แต่เท่านั้นคงยังไม่พอ เพราะรุ่นใหม่ก็ย่อมต้องมีอะไรที่ดีขึ้น ดังนั้นปากกา S Pen ของ Galaxy Note 9 จึงถูกอัปเกรดให้กลายเป็นปากกา Bluetooth ที่สามารถใช้งานเป็นรีโมทควบคุมการทำงานของ Galaxy Note 9 ได้แบบไร้สาย ทั้งการถ่ายภาพ, การฟังเพลง, การบันทึกเสียง, การดูรูป, การนำเสนอ และอื่นๆ

โดยปากกา S Pen ใหม่นี้อาศัยเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy (BLE) ที่ใช้พลังงานต่ำเพียง 0.5 mAh รวมทั้งไม่ต้องจับคู่ หรือ Pair ให้ยุ่งยาก, ไม่เสียโควต้าของอุปกรณ์บลูทูธ และทำงานได้ในระยะไกลสูงสุด 10 เมตร

เช่นกดหนึ่งครั้งเพื่อสั่งถ่ายภาพ, เล่นเพลง, บันทึกเสียง หรือดูรูปถัดไป กดสองครั้งเพื่อสลับกล้องหน้า-กล้องหลัง, เล่นเพลงถัดไป หรือเลื่อนหน้า PowerPoint รวมทั้งการกดค้างไว้เพื่อเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน เรียกว่าไม่ต้องหยิบตัวเครื่องขึ้นมาก็สามารถสั่งงานได้แบบสบายๆ

ซึ่งการกดปุ่ม S Pen ทั้งกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้างนี้ เราสามารถกำหนดได้เองว่าจะให้เป็นการเรียกใช้ฟังก์ชันใด หรือแอปพลิเคชันใด

ส่วนถ้าถามว่าหากกดบ่อยๆ แล้วปุ่มจะเสียไวหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่เสียง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะผ่านการทดสอบมาแล้วเป็นหลักแสนครั้ง

โดยปากกา S Pen ของ Galaxy Note 9 นั้นมีแบตเตอรี่แบบ Super Capacitor อยู่ภายใน ซึ่งชาร์จได้เร็วกว่าแบตเตอรี่แบบ Lithium นั่นคือเสียบไว้ในเครื่องเพียง 40 วินาที ก็สามารถใช้งานได้นานถึง 30 นาที หรือกดได้ 200 ครั้ง

และไม่ต้องกลัวปากกาหาย เพราะมีระบบแจ้งเตือนเมื่อปากกาอยู่ห่างจากตัวเครื่อง

ทางด้านฟังก์ชันยอดนิยมอย่าง Screen Off Memo ก็ถูกปรับปรุงใหม่ จากเดิมที่หมึกมีเพียงแค่สีขาว แต่คราวนี้หมึกจะเป็นสีเดียวกับปากกา เช่นหากเป็นปากกาสีเหลือง หมึกก็จะออกเป็นสีเหลืองดังที่เห็นนี้ แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่สีของหมึกนั้นขึ้นอยู่กับสีของปากกา ไม่สามารถเปลี่ยนได้ นอกจากซื้อปากกาสีอื่นเพิ่ม

มีแอปพลิเคชัน PENUP ให้ใช้งาน ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์รวมผลงานสวยๆ ของนักวาดรูปทั่วโลกที่สร้างสรรค์งานผ่านปลายปากกา S Pen ของ Galaxy Note และผู้ใช้งานที่เพิ่งหัดวาดรูปก็น่าจะชอบด้วยเช่นกัน เพราะสามารถทำเหมือนเป็นกระดาษลอกลาย แล้วหัดวาดตามรูปที่มีอยู่แล้วได้

วงแหวน Air Command นั้นมีทางลัดสำหรับเรียกใช้ฟังก์ชันสำหรับใช้งานร่วมกับปากกา S Pen ได้อย่างรวดเร็ว เช่น Live Message, PENUP, Smart Select, Translate, Bixby Vision, Magnify และ Glance โดยเราสามารถเพิ่มทางลัดบน Air Command ได้สูงสุดถึง 10 อันด้วยกัน

ฟังก์ชัน Live Message ช่วยให้เราสามารถสร้างข้อความเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง รวมทั้งสามารถเปลี่ยนรูปแบบของปากกาได้, เปลี่ยนขนาดของเส้นปากกาได้, เปลี่ยนสีของปากกาได้ และเปลี่ยนภาพพื้นหลังได้ตามต้องการ

โดยเมื่อเราเลือกสไตล์ต่างๆ ที่ชอบได้แล้ว เราก็สามารถเขียนข้อความลงไปได้ทันที และจะมีแถบเวลาที่ใช้ไปแสดงให้เห็นตรงนี้ ซึ่งทั้งหมดจะเขียนได้ประมาณ 10 วินาทีต่อข้อความ และเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซอฟต์แวร์ก็จะทำการประมวลผลสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามในรูปแบบของไฟล์ GIF ให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเราสามารถเปิดดู และแชร์ให้เพื่อนได้ตลอดเวลา

และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ เราสามารถเขียนข้อความแบบ Live Message ลงไปบนสติกเกอร์ AR Emoji ได้ด้วย

ด้วยฟังก์ชัน Translate เราสามารถแปลคำศัพท์ได้ง่ายๆ เพียงแค่ชี้ปากกาไปที่คำศัพท์ที่ต้องการแปล

และไม่เพียงแค่คำศัพท์เท่านั้น เพราะเรายังสามารถแปลทั้งประโยคได้ด้วย

ด้วยฟังก์ชัน Magnify เราจึงเหมือนมีแว่นขยายเอาไว้ซูมรายละเอียดให้มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นได้ ซึ่งนับว่ามีประโยชน์ไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาทางด้านสายตา อีกทั้งยังสามารถปรับระดับของการขยายได้ 4 ระดับด้วยกัน

ด้วยฟังก์ชัน Glance เราจึงสามารถย่อแอปพลิเคชันหลักที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันลงเป็นหน้าต่างขนาดเล็ก แล้วสลับไปใช้งานอย่างอื่นได้พร้อมๆ กัน และเพียงแค่ชี้ปากกามาที่หน้าต่างเล็ก เราก็สามารถกลับมาใช้งานแอปพลิเคชันหลักต่อได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถยกเลิกการใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยการลากหน้าต่างเล็กลงถังขยะ

ด้วยฟังก์ชัน Smart Select เวอร์ชันใหม่บน Galaxy Note8 เราไม่เพียงสามารถเลือกส่วนของภาพได้หลากหลายรูปแบบเท่านั้น แต่เรายังสามารถเลือกบันทึกวิดีโอเก็บเป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย เพียงแค่เปิดคลิปวิดีโอที่ชอบบน YouTube จากนั้นก็ปรับขนาดของกรอบตามต้องการ แล้วกดปุ่มบันทึก โดยฟังก์ชัน Animation นี้สามารถบันทึกได้สูงสุด 15 วินาที และจะถูกบันทึกในรูปแบบของไฟล์ GIF ซึ่งสามารถนำมาเปิดดูในภายหลัง และแชร์ไปยังช่องทางต่างๆ ได้

ด้วยฟังก์ชัน Bixby Vision เราสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพที่เรากำลังเปิดดูอยู่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ใช้ปากกาชี้ไปที่รูปภาพ แล้วลากกรอบในส่วนที่ต้องการ จากนั้นระบบก็จะค้นหาข้อมูลแบบออนไลน์ให้ว่ามีข้อมูลใดที่มีความสัมพันธ์, มีความเกี่ยวข้อง หรือมีความใกล้เคียงกับรูปภาพที่เราสนใจ

นอกจากนี้เราก็ยังสามารถปรับตั้งค่าสำหรับการใช้งานปากกา S Pen อื่นๆ เพิ่มเติมได้อีก

กล้องถ่ายภาพใหม่ของ Samsung Galaxy Note 9

กล้องถ่ายภาพแบบคู่ด้านหลังนั้นอัปเกรดมาเป็นกล้องแบบ Super Speed Dual Pixel ความละเอียด 12+12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ Dual OIS และระบบซูมภาพด้วยเลนส์สองเท่า (2x Optical Zoom) ซึ่งกล้องคู่นี้ประกอบไปด้วย

- กล้องตัวที่หนึ่ง แบบ Wide-Angle Super Speed Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง 2 ขนาดที่ f/1.5 กับ f/2.4, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS - กล้องตัวที่สอง แบบ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.4 และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS

เช่นเดียวกับ Galaxy S9/S9+ ด้วยเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Super Speed Dual Pixel ที่มีชั้นของ DRAM และ Dual Pixel ในกล้องของ Galaxy Note 9 จึงประมวลผลได้เร็วกว่าเซ็นเซอร์ทั่วไปถึง 4 เท่า และมาพร้อมเทคโนโลยี Multi-Frame Noise Reduction Processing ซึ่งลด Noise ในภาพด้วยการถ่ายภาพ 12 ภาพ แล้วประมวลผลรวมเป็นภาพที่ดีที่สุดเพียงภาพเดียว

ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือกล้องสามารถปรับรูรับแสงได้  2 ค่าด้วยกัน คือ f/1.5 กับ f/2.4 ซึ่งหากดูกันใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าม่านรับแสงของกล้องสามารถย่อขยายได้จริงๆ คล้ายกับรูม่านตาของมนุษย์เรา ซึ่งหากอยู่ในที่มืด ระบบก็จะเลือกใช้รูรับแสงที่ f/1.5 เพื่อให้สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น หรือหากอยู่ในที่สว่าง ระบบก็จะเลือกใช้รูรับแสงที่ f/2.4 เพื่อเน้นความคมชัดของภาพนั่นเอง

แต่หากเราต้องการเลือกขนาดของรูรับแสงด้วยตนเอง ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงเข้ามาที่โหมด Pro แล้วเลือกขนาดรูรับแสงที่ f/1.5 กับ f/2.4 ได้ตามต้องการ อย่างไรก็ดี เราไม่สามารถเลือกค่ารูรับแสงอื่นๆ นอกเหนือไปจากสองค่านี้ได้

แม้ความจริงจะเป็นกล้องคู่โมดูลเดียวกันกับ Galaxy S9+ แต่สิ่งที่ Galaxy Note 9 ทำได้ดีกว่าก็คือ ได้ใส่ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพิ่มเข้ามา ที่เรียกว่า Scene Optimizer ซึ่งเรียนรู้ได้เองว่ากำลังถ่ายรูปแบบไหนอยู่ แล้วปรับตั้งค่ากล้องให้โดยอัตโนมัติ รวม 20 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้, คน, อาหาร, พระอาทิตย์ตก, สัตว์, ต้นไม้, กลางคืน, ชายหาด, หิมะ, ภูเขา, ท้องฟ้า, ในอาคาร, ตัวหนังสือ, น้ำตก, นก, ถนน, ริมน้ำ, สนามเขียว, วิวกว้างๆ และถ่ายย้อนแสง โดยขณะถ่าย บนหน้าจอจะโชว์ไอคอนให้เห็นว่าเป็นรูปาพประเภทใด

มีระบบ Flaw Detection ซึ่งจะเตือนว่ามีข้อบกพร่องในภาพ เช่นมีคนกะพริบตา, ภาพเบลอ, เลนส์สกปรก หรือย้อนแสง

และด้วยการประมวลผลอันรวดเร็วของเซ็นเซอร์รับภาพ Super Speed Dual Pixel นี้ ก็ช่วยให้สามารถถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงถึง 960 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียดระดับ HD 720p พร้อมระบบ Motion Detection ซึ่งช่วยตรวจจับวัตถุที่เคลื่อนไหว และถ่ายออกมาเป็นวิดีโอ Super Slow Motion ให้โดยอัตโนมัติ

หรือในบางครั้งที่ระบบ Motion Detection ไม่สามารถถ่ายในจังหวะที่เราต้องการได้ เราก็สามารถเลือกใช้การถ่ายแบบ Manual ซึ่งเราสามารถกำหนดจังหวะเองได้ เรียกได้ว่าการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ที่ความเร็ว 960 เฟรมต่อวินาทีนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญของกล้องถ่ายภาพบน Galaxy Note 9 เลยทีเดียว

นอกจากนี้ตัวซอฟต์แวร์ยังมีการใส่เพลงเป็นพื้นหลังให้กับคลิปวิดีโอ Super Slow Motion ของเราโดยอัตโนมัติ แต่เราก็ยังสามารถเลือกเพลงเองในภายหลังได้ด้วยเช่นกัน เพื่อให้เพลงประกอบเข้ากับอารมณ์ของคลิปวิดีโอที่ถ่ายมามากที่สุด

ไม่เพียงเท่านี้ เรายังสามารถนำเอาคลิปวิดีโอ Super Slow Motion ที่ถ่ายไว้ มาตั้งเป็นวิดีโอพื้นหลังของหน้าจอ Lock Screen ได้ด้วย เพียงแค่เลือกคลิปวิดีโอที่ต้องการ แล้วกดไปที่ Set as Wallpaper

หรืออยากจะตัดคลิปเฉพาะช่วงเวลาที่ชอบก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนการเปิดเล่นคลิปวิดีโอ Super Slow Motion ก็มีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน คือแบบ Loop ที่จะเล่นวนไปเรื่อยๆ, แบบ Reverse ที่จะเล่นย้อนกลับ และแบบ Swing ที่จะสลับการเล่นระหว่างไปข้างหน้า และย้อนกลับ ซึ่งช่วยให้คลิปวิดีโอ Super Slow Motion ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

รองรับการถ่ายวิดีโอแบบปกติได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมรองรับการบีบอัดไฟล์แบบใหม่ล่าสุดอย่าง HEVC H.265

User Interface ของกล้องก็ถูกปรับใหม่ทั้งหมด ซึ่งเราสามารถเลือกโหมดถ่ายภาพได้ด้วยการสไลด์หน้าจอไปด้านซ้าย หรือด้านขวา โดยประกอบไปด้วยโหมดอัตโนมัติ, โหมด Live Focus, โหมด Pro, โหมด Panorama, โหมด Super Slow Motion, โหมด AR Emoji และโหมด Hyperlapse

หนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ AR Emoji ซึ่งจะช่วยสร้างใบหน้าของเราให้เป็นโมเดล 3 มิติได้ รวมทั้งถูกพัฒนาให้มีรายละเอียดที่ดีขึ้นสวยขึ้นจากเดิมใน Galaxy S9 ทั้งผิว, ผม, ดวงตา และอื่นๆ วิธีการสร้างก็เพียงแค่กด Creats My Emoji, กดถ่ายภาพ, เลือกเพศ, เลือกโทนของผิวหน้า, เลือกทรงผม, เลือกแว่นตา และเลือกเสื้อผ้า

เพียงเท่านี้ซอฟต์แวร์ก็จะช่วยสร้างใบหน้า 3 มิติของเราให้โดยอัตโนมัติ โดยเมื่อเราขยับใบหน้า โมเดล 3 มิติก็จะขยับตามไปด้วย

และยังสามารถเลือกใช้โมเดล 3 มิติของคนอื่นที่เคยสร้างไว้แล้วได้ด้วยเช่นกัน หรือจะเลือกใช้โมเดลการ์ตูน 3 มิติสวยๆ ที่มีอยู่แล้วก็ยังได้

โดยสติกเกอร์ AR Emoji จากเดิมใน Galaxy S9+ ที่สร้างให้ได้อัตโนมัติ 36 รูปแบบ พอมาใน Galaxy Note 9 ถูกพัฒนาให้สร้างได้เพิ่มขึ้นเป็น 54 รูปแบบ แต่ก็ต้องรอการอัปเดตก่อน

รูป AR Emoji เป็นไฟล์แบบ GIF ที่เราสามารถนำไปใช้งานกับแอปพลิเคชันที่รองรับไฟล์ GIF ได้ทันที ทั้งแอปพลิเคชันของ Samsung เอง หรือแอปพลิเคชัน 3rd Party อื่นๆ และนอกจากไฟล์ GIF แล้ว เราก็ยังสามารถบันทึกเป็นไฟล์ MP4 ได้ด้วย

มีแว่นตา, หมวก และหน้ากาก แบบ 3 มิติให้เลือกใช้ ซึ่งสามารถขยับมุมไปตามใบหน้าที่หันไปของเราได้

และแน่นอนว่าด้วยการที่เป็นกล้องคู่ จึงสามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอด้วยโหมด Live Focus ได้เช่นเดียวกับ Galaxy Note 8 ซึ่งเราสามารถปรับระดับของการเบลอได้ 7 ระดับ และสามารถปรับโทนสีผิวได้ 8 ระดับ

มาพร้อมฟังก์ชัน Dual Capture ที่จะเก็บภาพ 2 ภาพพร้อมกัน ทั้งภาพแบบ Close-Up และภาพมุมกว้าง โดยเราสามารถเอามาเปิดดูในภายหลังได้ รวมทั้งสามารถปรับระดับของการเบลอในภายหลังได้ แม้จะกดถ่ายไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้จากปกติที่โบเก้บริเวณฉากหลังอาจเป็นได้แค่ดวงกลมๆ เล็กๆ แต่ใน Galaxy Note 9 เราสามารถใส่ฟิลเตอร์โบเก้ให้สวยงามขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปหัวใจ, รูปดาว, รูปผีเสื้อ, รูปเกล็ดหิมะ หรืออื่นๆ (ต้องเป็นรูปที่ฉากหลังมีไฟโบเก้มากในระดับหนึ่ง เมนูนี้จึงจะแสดงขึ้นมา)

รองรับการซูมด้วยเลนส์ หรือ Optical Zoom ได้สูงสุด 2 เท่า และซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุด 10 เท่า เช่นเดียวกับ Galaxy Note 8

มีระบบป้องกันการสั่นใส่มาให้ทั้ง 2 กล้อง (ในกล้องคู่ด้านหลัง) หรือที่เรียกว่า Dual OIS ซึ่งช่วยป้องกันการสั่นได้เป็นอย่างดี

ที่แถบด้านล่างของหน้าหลัก จะประกอบไปด้วยการตั้งค่า, การแสดงผลแบบ Full View หรือเต็มหน้าจอ, ไฟแฟลช, ฟิลเตอร์สีแบบต่างๆ ซึ่งมีทั้งฟิลเตอร์สำหรับภาพทั่วไป และฟิลเตอร์สำหรับภาพบุคคล

ไอคอนที่มุมซ้ายล่างคือฟังก์ชัน Bixby Vision เวอร์ชัน 2.0 ซึ่งทำงานได้ฉลาดมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นส่วนของการวิเคราะห์ตัวอักษร, รูปภาพ, สถานที่ และ QR Code

อย่างถ้าหากเราต้องการทราบว่าดอกไม้นี้คือดอกอะไร เราก็สามารถให้ Bixby Vision ช่วยวิเคราะห์ภาพ และหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ได้ ซึ่งดูจากผลลัพธ์แล้วก็ถือว่าใกล้เคียงเลยทีเดียว

และด้วยฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง Bixby Live Translation จึงช่วยแปลภาษาต้นทางไปสู่ภาษาปลายทางได้มากมาย อีกทั้งยังสามารถรองรับภาษาไทยได้อีกด้วย

ด้วยฟังก์ชัน Bixby Vision Place ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ที่ใดของโลก ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าบริเวณนั้น มีสถานที่ใดที่น่าสนใจ หรือสถานที่ ที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นคืออะไร

กล้องด้านหลังสามารถกำหนดความละเอียดของภาพได้สูงสุดที่ระดับ 12 ล้านพิกเซล ในอัตราส่วนแบบ 4:3 พร้อมรองรับการบันทึกภาพเป็นไฟล์ RAW

รองรับการถ่ายภาพแบบ HDR, มีระบบโฟกัสแบบติดตามวัตถุ และเลือกได้ว่าในโหมด Super Slow Motion จะถ่ายแบบหลายช็อต หรือถ่ายช็อตเดียว

สามารถยกฝ่ามือเพื่อสั่งถ่ายภาพได้, มีฟังก์ชันปรับรูปทรงของใบหน้า, มีฟังก์ชัน Motion Photo, รองรับการสั่งถ่ายภาพด้วยเสียง และมีปุ่มชัตเตอร์แบบปรับตำแหน่งได้

ส่วนกล้องด้านหน้าก็ยังคงใช้โมดูลเดียวกันกับ Galaxy Note 8, S8/S8+ และ S9/S9+ คือเป็นกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ และฟังก์ชัน Beauty

มีโหมด Selfie Focus สำหรับเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ

โดยกำหนดความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ 8 ล้านพิกเซล ในอัตราส่วนแบบ 4:3 พร้อมถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2K QHD และรองรับการบีบอัดไฟล์แบบ HEVC H.265 ด้วยเช่นกัน รวมทั้งรองรับการถ่ายภาพแบบ HDR

ฟีเจอร์เด่นอื่นๆ และแอปพลิเคชันที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy Note 9

ทางด้านระบบความปลอดภัยก็ยังคงมาพร้อมกับเทคโนโลยี Intelligence Scan ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของระบบสแกนม่านตา กับระบบสแกนใบหน้า เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม่นยำในทุกสถานการณ์ รวมทั้งมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

เช่นหากอยู่ในที่มืด ใบหน้าของเราก็จะไม่ชัดเจน ระบบก็จะเลือกใช้การสแกนม่านตาแทน หรือหากอยู่ในที่กลางแจ้ง ซึ่งมีแดดจ้า ระบบก็จะเลือกใช้การสแกนใบหน้าแทน และในบางสถานการณ์ก็จะเลือกใช้ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กันเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น โดยระบบ Intelligent Scan สามารถใช้งานได้กับ Samsung Pass และการปลดล็อกหน้าจอ ซึ่งการปลดล็อกหน้าจอเราสามารถกำหนดได้ว่า จะให้เปิดหน้าจอพร้อมใช้งานทันที หรือว่าจะต้องปัดหน้าจอก่อนเข้าใช้งาน

ระบบรักษาความปลอดภัยพื้นฐานอย่างระบบสแกนลายนิ้วมือก็มีมาให้ใช้งานด้วยเช่นกัน และการใช้งานก็สะดวกขึ้น เนื่องจากเซ็นเซอร์ถูกย้ายตำแหน่งให้แยกออกมาจากส่วนของกล้องถ่ายภาพ

มีแอปพลิเคชัน Secure Folder สำหรับปกป้องข้อมูลสำคัญ หรือข้อมูลส่วนตัวเอาไว้ ทั้งรูปภาพ, สมุดบันทึก, แอปพลิเคชัน และอื่นๆ โดยเราสามารถกำหนดลายนิ้วมือสำหรับใช้เข้า Secure Folder โดยเฉพาะแยกออกมาจากลายนิ้วมือสำหรับปลดล็อกหน้าจอได้

และแน่นอนว่าสามารถรองรับการจ่ายเงินผ่านบริการ Samsung Pay ได้ทั้งเครื่องอ่านแบบ NFC และ MST ซึ่งในบ้านเรามีการใช้งานกันแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการมาเกือบ 2 ปี

มาพร้อมกับ Bixby 2.0 ผู้ช่วยอัจฉริยะเวอร์ชันใหม่ที่ฉลาดขึ้น และทำงานได้ดีขึ้น พร้อมปุ่มเรียกใช้งาน Bixby โดยเฉพาะ

แต่สำหรับ Bixby Voice ขณะนี้รองรับได้เฉพาะภาษาอังกฤษ, เกาหลี และจีนกลางเท่านั้น

เมื่อกดที่ปุ่ม Recent Apps ก็จะเห็นรายการของแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานล่าสุด และสามารถแบ่งหน้าจอด้วยฟังก์ชัน Multi Window ได้ทันที โดยรองรับการเปิดเล่นวิดีโอบน YouTube ไปพร้อมกับการใช้งานแอปพลิเคชันอื่น รวมทั้งรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน ซึ่งเหมาะกับหน้าจอขนาดใหญ่ในอัตราส่วนแบบ 18.5:9 นี้

สามารถจับคู่สองแอปพลิเคชันที่เปิดอยู่นี้ หรือที่เรียกว่า App Pair ไว้บนหน้าจอ Home Screen ได้ภายในคลิกเดียว โดยการเรียกใช้ก็เพียงแค่กดทางลัดที่อยู่บนหน้า Home Screen ทั้ง 2 แอปพลิเคชันก็จะเปิดขึ้นมาคู่กันในแบบ Multi Window อย่างรวดเร็ว

มีฟังก์ชัน Snap Window ที่จะช่วยล็อกกรอบหน้าต่างตามขนาดที่เรากำหนดไว้ที่ด้านบนสุดของหน้าจอ ซึ่งช่วยให้ใช้งานพื้นที่ในหน้าต่างด้านล่างได้สะดวกมากขึ้น

มีฟังก์ชัน Popup Window สำหรับการย่อแอปพลิเคชันให้เป็นหน้าต่างขนาดเล็กที่สามารถเลื่อนตำแหน่งได้อย่างอิสระ, ปรับขนาดได้ และกดซ่อนไว้ได้

ด้วยการที่เป็นจอขอบโค้ง จึงมาพร้อมกับฟังก์ชัน Edge Panel ด้วย ซึ่งมีทั้ง Apps Edge, Task Edge, People Edge และ Quick Tools โดยใน Apps Edge เราสามารถเลือกใส่ หรือเลือกลบทางลัดของแอปพลิเคชันเพิ่มเติมได้

และที่สำคัญคือเราสามารถสร้างทางลัดสำหรับการจับคู่แอปพลิเคชัน หรือ App Pair ได้ เช่นเราอยากจับคู่แอปพลิเคชัน Gallery กับแอปพลิเคชัน Google Maps ก็ให้กดเลือก พร้อมจัดลำดับว่าจะให้แอปพลิเคชันใดอยู่หน้าต่างด้านบน หรืออยู่หน้าต่างด้านล่าง เพียงเท่านี้ App Pair ที่เราสร้างไว้ ก็จะเข้าไปอยู่ในส่วนของ Apps Edge และสามารถเรียกใช้งานได้ง่ายๆ แล้ว

รองรับการใช้งาน Infinity Wallpaper ซึ่งออกแบบมาเพื่อจอแสดงผลแบบ Infinity Display โดยเฉพาะ

รองรับฟังก์ชัน Edge Lighting ซึ่งจะแสดงการแจ้งเตือนด้วยการฉายแสงสวยๆ บริเวณขอบของหน้าจอ โดยเราสามารถเลือกสไตล์ของ Edge Lighting ได้ 4 รูปแบบ ทั้งแบบ Basic, Multicolor, Glow และ Glitter รวมทั้งยังสามารถกำหนดความหนาของเส้นไฟได้ด้วยเช่นกัน

ยังคงมาพร้อมกับฟังก์ชันที่หลายคนชื่นชอบอย่าง Always On Display ซึ่งเป็นการแสดงนาฬิกา, การแจ้งเตือน และปุ่มโฮมในขณะที่ปิดหน้าจออยู่ สามารถกำหนดความสว่างได้ และกำหนดช่วงเวลาที่จะเปิดใช้งานได้

มีนาฬิกาให้เลือกใช้หลายรูปแบบหลายสไตล์ และกำหนดสีสันของนาฬิกาได้ ซึ่งการแสดงผลก็จะเป็นดังที่เห็นนี้

หน้า Home Screen มีให้เลือกทั้งโหมดมาตรฐาน และโหมดใช้งานง่าย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาทางด้านสายตา

เมื่อกดปุ่มโฮมค้างไว้ ก็จะเป็นการเรียกใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant

สามารถปรับแต่งหน้า Home Screen ได้ยืดหยุ่นเเช่นเคย ทั้งภาพพื้นหลัง, ธีม, วิดเจ็ต และอื่นๆ

เพียงสไลด์แถบ Notification Bar ที่ด้านบนของหน้าจอลงมา ก็จะพบกับทางลัดสำหรับเปิด-ปิดฟังก์ชันใช้งานต่างๆ มากมาย

รองรับการใช้งานในโหมดมือข้างเดียว ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้ว

มีแอปพลิเคชันพื้นฐานติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ทั้งแอปพลิเคชันของ Samsung เอง, แอปพลิเคชันของ Google และแอปพลิเคชันของ Microsoft

สามารถเลือกเปิด-ปิดการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ตามต้องการ

มีแอปพลิเคชัน Samsung Themes ซึ่งเป็นศูนย์รวมคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Samsung โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นภาพพื้นหลัง, ธีม, ไอคอน และ Always On Display

แอปพลิเคชัน Gallery นั้นสามารถจัดกลุ่มประเภทของรูปภาพ หรือวิดีโอ ได้ค่อนข้างแม่นยำเลยทีเดียว เช่นใบหน้าของคน ก็สามารถแยกแยะได้อย่างถูกต้อง

มีฟังก์ชัน Video Enhancer สำหรับเพิ่มคุณภาพของวิดีโอ ให้มีความสว่างมากขึ้น และมีสีสันที่สดใสขึ้น

มาพร้อมกับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos กับ UHQ Upscaler รวมทั้งสามารถปรับระดับเสียงทุ้ม, เสียงแหลม, เสียงเครื่องดนตรี และเสียงร้องได้

มีฟังก์ชัน Game Launcher, โหมดใช้งานด้วยมือเดียว, การสั่งงานด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, การเปิดใช้งานกล้องแบบด่วน, ฟังก์ชัน Smart Capture สำหรับจับภาพหน้าจอ, การปาดสันมือผ่านหน้าจอเพื่อจับภาพหน้าจอ, ฟังก์ชัน Dual Messenger และอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับใครที่เคยใช้งาน Samsung Connect มาก่อน ขณะนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น SmartThings เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับจัดการกับระบบบ้านอัจฉริยะนั่นเอง ด้วยการเชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้านเข้าไว้ด้วยกัน และควบคุมการทำงานได้จากสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว หากท่านใดไม่เคยใช้งานแต่มีความสนใจ ก็สามารถเปิดดูวิธีใช้งานในเบื้องต้นก่อนได้

โดยเราสามารถสร้างซีนรูปแบบต่างๆ เอาไว้เรียกใช้งานในแต่ละสถานที่ หรือในสถานการณ์ที่ต่างกัน ได้ทันที

ด้วยการที่มีเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจติดตั้งมาให้ การดูแลสุขภาพจึงง่ายขึ้นมาก อย่างเช่นหากเราอยากทราบว่าอัตราการเต้นของหัวใจของเราขณะนี้อยู่ที่เท่าไหร่ เราก็เพียงแค่เปิดแอปพลิเคชัน Samsung Health แล้วเอานิ้วไปแตะที่เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ด้านหลังตัวเครื่องเท่านั้น

การย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า มายัง Samsung Galaxy Note 9 นั้นง่ายมากๆ ด้วยแอปพลิเคชัน Smart Switch ซึ่งย้ายข้อมูลได้ทั้งแบบผ่านสาย USB, แบบไร้สาย และแบบผ่านการ์ดหน่วยความจำ

หากรู้สึกว่าเครื่องทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ก็แนะนำให้เรียกใช้ฟังก์ชัน Device Maintenance เพราะสามารถจัดการได้ทั้งแบตเตอรี่, การเลือกโหมดใช้งานที่เหมาะสม, จัดการหน่วยความจำ ROM, จัดการหน่วยความจำ RAM และจัดการระบบความปลอดภัย

มีฟังก์ชัน Performance Mode ซึ่งช่วยให้เราสามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละรูปแบบ

สามารถตั้งค่าใช้งานต่างๆ เกี่ยวกับ Google ได้ภายในที่เดียว

อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Samsung ประทับใจมานานแล้วก็คือ Galaxy Gift นั่นเอง เพราะเหมือนกับเป็นศูนย์รวมโปรโมชั่น, ส่วนลด หรือของฟรี ต่างๆ มากมาย เพื่อผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Samsung โดยเฉพาะ ทั้งอาหาร, ขนม, เครื่องดื่ม, ที่พัก, บัตรชมภาพยนตร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สมาร์ทโฟน, อุปกรณ์เสริม และอีกมากมาย

ทดสอบประสิทธิภาพในการทำงานด้านต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note 9

สำหรับประสิทธิภาพของการเล่นเกมที่มีกราฟิกระดับสูง หรือมีรายละเอียดเยอะๆ นั้นก็เรียกได้ว่ามีความลื่นไหลไร้การสะดุด และตอบสนองได้อย่างแม่นยำฉับไวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยประมวลผลตัวท็อปใหม่ล่าสุดอย่างชิปเซ็ต Exynos 9810, หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G72 MP18 และหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4 ขนาด 6GB ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเกมที่มีกราฟิกหนักขนาดไหน ก็สามารถรับมือได้แบบสบายๆ

และฟีเจอร์อีกอย่างที่น่าจะถูกใจบรรดานักเล่นเกมก็คือ Game Tools นั่นเอง เพราะสามารถเลือกฟังก์ชัน หรือปรับตั้งค่าต่างๆ สำหรับการเล่นเกมได้หลายอย่าง ทั้งการปิดระบบแจ้งเตือน, การล็อกปุ่มโฮม, การล็อกการสัมผัสขอบหน้าจอ, การล็อกปุ่ม Navigation Key, การล็อกระบบสัมผัสหน้าจอ, การจับภาพหน้าจอ และการบันทึกวิดีโอ

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้ผลทดสอบที่ 237977 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน PCMark ก็พบว่าได้ผลทดสอบที่ 5442 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench ก็พบว่าได้ผลทดสอบในส่วนของ Single-Core ที่ 3657 คะแนน และในส่วนของ Multi-Core ที่ 9036 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้านกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark (Single Shot Extreme) ก็พบว่าได้คะแนน OpenGL อยู่ที่ 3399 คะแนน และคะแนน Vulkan อยู่ที่ 2885 คะแนน

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยความจำด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ก็พบว่ามีความเร็วในส่วนของ Sequential Read ที่ 812.18 MB/s และมีความเร็วในส่วนของ Sequential Write ที่ 191.15 MB/s ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเป็นหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 นั่นเอง

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการรับสัญญาณดาวเทียมด้วยแอปพลิเคชัน GPS Test ก็พบว่าสามารถจับสัญญาณได้รวดเร็ว และมีความแม่นยำสูง ซึ่งปัจจัยสำคัญก็คือ ชิปที่อยู่ภายในของ Galaxy Note 9 นั้นรองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียมถึง 4 ระบบด้วยกัน ได้แก่ GPS, Galileo, Glonass และ BeiDou

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ (Dual Camera) ความละเอียดระดับ 12 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy Note 9

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Live Focus

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Live Focus

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Live Focus

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Live Focus

สรุปผลการทดสอบ พร้อมราคา, โปรโมชั่น และข้อมูลการวางจำหน่ายของ Samsung Galaxy Note 9

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Galaxy Note ทุกรุ่นในอดีต มาจนถึง Galaxy Note 9 รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ก็ยังคง เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้งานในระดับจริงจังได้มากกว่าสมาร์ทโฟนระดับเรือธงทั่วไป ด้วยการที่มาพร้อมกับปากกา S Pen ประสิทธิภาพสูงที่ใช้งานได้จริง ตั้งแต่การจดบันทึกในระดับพื้นฐาน ไปจนถึงการสร้างสรรค์รูปวาดสวยๆ พร้อมรายละเอียดลายเส้นที่ดูเหลือเชื่อราวกับการใช้ดินสอ, ปากกา, พู่กัน, แปรง หรือสี จริงๆ และใน Galaxy Note 9 ความพิเศษของปากกา S Pen ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้นเพราะ ถูกอัปเกรดด้วยเทคโนโลยี Bluetooth ที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมการทำงานฟังก์ชันต่างๆ ภายในเครื่อง Galaxy Note 9 ได้แบบไร้สาย ราวกับไม้กายสิทธิ์ ซึ่งการันตีได้ว่า ชีวิตของผู้ใช้งาน Galaxy Note 9 จะสะดวกสบาย และสนุกสนานมีสีสันมากขึ้น อย่างแน่นอน

นอกจากการอัปเกรดจุดขายหลักอย่างปากกา S Pen แล้ว ฟีเจอร์อื่นๆ ที่มีความสำคัญกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ก็ถูกยกเครื่องให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งเรื่องการถ่ายภาพ ด้วย กล้องคู่ AI ที่สามารปรับรูรับแสงได้ , เรื่องระยะเวลาของการใช้งาน ด้วย แบตเตอรี่มีความจุมากขึ้นเป็น 4000 mAh , เรื่องการประมวลผล ด้วยชิปเซ็ตตัวท็อปใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 9810 , เรื่องความเสถียรในการทำงาน ด้วยเทคโนโลยี Water Carbon Cooling System , เรื่องความฉลาด ด้วย Bixby2.0 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด, เรื่องการแสดงผล ด้วย จอ Infinity Display ที่ใหญ่ขึ้นเป็น 6.4 นิ้ว , เรื่องความบันเทิง ด้วย ลำโพงแบบคู่ที่ปรับจูนโดย AKG , เรื่องหน่วยความจำ ด้วย ROM ที่มากขึ้นเท่าตัว เป็น 128 GB (หรือ 512 GB สำหรับรุ่นพิเศษ) กับ RAM ที่มากขึ้นเป็น 8 GB (เฉพาะรุ่น 512 GB) , เรื่องความสะดวกในการใช้งาน ด้วยการปรับตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนนิ้ว, เรื่องการเชื่อมต่อ ด้วย Gigabit LTE ที่เร็วสูงสุด 1.2 Gbps และเรื่องการใช้งานเป็นคอมพิวเตอร์ ด้วย Samsung Dex เวอร์ชันใหม่ที่ต่อออกจอใหญ่ได้ง่ายขึ้นด้วยการต่อสายเพียงแค่เส้นเดียว

ส่วนสิ่งดีๆ ที่เดิมเคยมีอยู่แล้วในรุ่นก่อนหน้านี้ ก็ถูกสืบทอดมาสู่ Galaxy Note 9 อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เริ่มตั้งแต่ตัวเครื่องที่สวยหรูพรีเมียม ผสานความแข็งแกร่งตามแบบฉบับของ Metal-Glass Unibody พร้อมคุณสมบัติของการป้องกัน-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 , การแสดงผลที่สวยงามคมชัดสีสันสดใส ตามแบบฉบับของจอ 2K Quad HD+ Super AMOLED , ส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) ที่สวยงามเรียบง่ายลื่นไหล ตามแบบฉบับของ Samsung Experience , ลูกเล่น กับฟังก์ชันที่มากมายนับไม่ถ้วนตามแบบฉบับของสมาร์ทโฟนเรือธงของ Samsung, ความปลอดภัยระดับสูงด้วย ระบบสแกนม่านตา และการจ่ายเงินผ่านมือถือแบบไม่ตกพกกระเป๋าเงิน ด้วยบริการ Samsung Pay

ดังนั้นด้วยนวัตกรรมทั้งหมดทั้งมวลบน Galaxy Note 9 นี้ เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว ก็นับว่า สมน้ำสมเนื้อ สำหรับท่านใดที่อยากจับจองเป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Note 9 ขณะนี้ในบ้านเราก็มีวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศแล้ว ในราคา 33,900 บาท (รุ่น ROM 128GB+RAM 6GB) มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีโอเชี่ยนบลู (Ocean Blue) ที่มาพร้อมกับ S Pen สีเหลือง, สีเมทัลลิก คอปเปอร์ (Metallic Copper) และสีมิดไนท์ แบล็ค (Midnight Black) ส่วนสีลาเวนเดอร์เพอร์เพิล (LavenderPurple) คาดว่าจะวางจำหน่ายตามมาในภายหลัง พร้อมโปรโมชั่นรับ ฟรีประกันจอแตกนาน 1 ปี มูลค่า 1,290 บาท โดยกดรับสิทธิ์ง่ายๆ ผ่านทางแอปพลิเคชัน Galaxy Gift ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม พบกันได้ใหม่ในรีวิวรุ่นต่อไป สวัสดีครับ

สรุปจุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 9

- ตัวเครื่องมีดีไซน์แบบไร้ขอบไร้ปุ่มโฮม พร้อมเทคโนโลยีการผลิตที่ใช้งานผสมผสานกันระหว่างบอดี้อะลูมิเนียม กับกระจก Gorilla Glass 5 ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง (Metal-Glass Unibody) - เทคโนโลยีตรวจจับแรงกด (Pressure Sensor) เพื่อใช้งานแทนปุ่มโฮมแบบ Hard Key - ตัวเครื่อง และปากกา S Pen มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 - ปากกา S Pen เวอร์ชันใหม่ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Bluetooth ซึ่งสามารถใช้ควบคุมการทำงานของตัวเครื่องได้แบบไร้สาย - จอแสดงผลแบบ Curved Infinity Display Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K Quad HD+ (2960x1440 พิกเซล : 516 ppi) ในอัตราส่วนแบบ 18.5:9 - ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Octa-Core Exynos 9810 (ซีพียู Quad-Core Mongoose M3 ความเร็ว 2.7 GHz + ซีพียู Quad-Core Cortex-A55 ความเร็ว 1.7 GHz) บนสถาปัตยกรรมการผลิตแบบ 10nm FinFET (2nd Gen) พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G72 MP18 - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ซึ่งถูกครอบทับด้วย Samsung Experience 9.5 - หน่วยความจำภายใน (ROM : UFS 2.1) ขนาด 128 GB หรือ 512 GB - หน่วยความจำแรม (RAM : LPDDR4) ขนาด 6 GB หรือ 8 GB - รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ได้สูงสุดขนาด 512 GB (ใช้งานร่วมกับช่องใส่ซิมการ์ดที่สอง - รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดพร้อมกัน (nanoSIM : ถาดแบบ Hybrid Slot) - กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ ความละเอียด 12+12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ Dual OIS, ระบบซูมภาพด้วยเลนส์สองเท่า (2x Optical Zoom), ถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60 fps) และถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงสุด 960 fps (720p)

กล้องตัวที่หนึ่ง แบบ Wide-Angle Super Speed Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง 2 ขนาดที่ f/1.5 กับ f/2.4, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS

กล้องตัวที่สอง แบบ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.4 และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS

- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.7 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ - เทคโนโลยี Intelligence Scan ซึ่งใช้การทำงานร่วมกันของระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner) กับระบบสแกนใบหน้า (Face Recognition) - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ถูกปรับตำแหน่งใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วมือไปโดนเลนส์กล้องขณะสแกน - เทคโนโลยีเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือแบบ Gigabit LTE Cat.18 (1.2 Gbps), Enhanced 4x4 MIMO, 5CA และ LAA - เทคโนโลยีเครือข่าย Wi-Fi แบบ 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz), VHT80 MU-MIMO และ 1024QAM - เทคโนโลยีเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายแบบ Bluetooth 5.0 (LE ความเร็วสุงสุด 2 Mbps), ANT+ และ NFC - รองรับการใช้งานบริการ Samsung Pay ผ่านระบบ NFC และ MST - รองรับระบบดาวเทียมนำร่อง GPS, Galileo, Glonass และ BeiDou - พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C - แบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (Adaptive Fast Charging : QC2.0, AFC) และเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging : WPC, PMA) - เซ็นเซอร์ตรวจจับแบบ Accelerometer, Barometer, Gyro, Geomagnetic, Hall, Heart Rate, Proximity, RGB Light และ Pressure - รองรับไฟล์เสียงแบบ MP3, M4A, 3GA, AAC, OGG, OGA, WAV, WMA, AMR, AWB, FLAC, MID, MIDI, XMF, MXMF, IMY, RTTTL, RTX, OTA, DSF, DFF และ APE - รองรับไฟล์วิดีโอแบบ MP4, M4V, 3GP, 3G2, WMV, ASF, AVI, FLV, MKV และ WEBM

สรุปจุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Note

- ลักษณะของพื้นผิวรอบตัวเครื่องมีความมันวาว จึงค่อนข้างลื่น, เกิดคราบเปื้อนได้ง่าย และต้องระมัดระวังในการจับถือเป็นพิเศษ - ตัวเครื่องมีน้ำหนัก และหนามากกว่า Galaxy Note 8 เล็กน้อย - ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ การพกพา หรือการใช้งานด้วยมือข้างเดียวอาจไม่คล่องตัวมากนัก - กล้องด้านหน้ามีความละเอียดเพียง 8 ล้านพิกเซล และยังเป็นโมดูลเดิมที่ใช้งานมาตั้งแต่รุ่น S8/S8+ กับ Note 8 - ถาดใส่ซิมการ์ดยังคงเป็นแบบ Hybrid Slot ซึ่งช่องใส่ซิมการ์ดที่สอง ต้องสลับใช้งานร่วมกับการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ไม่สามารถใช้งานพร้อมกันได้ - มีราคาค่อนข้างสูง (33,900 บาท) เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปบางรุ่นจากแบรนด์อื่น

เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy Note 9

- พรีวิว (Preview) Samsung Galaxy Note 9 - สรุปข้อมูล และข่าวอัปเดตล่าสุดของ Samsung Galaxy Note 9 - สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคาล่าสุดของ Samsung Galaxy Note 9 128GB - สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคาล่าสุดของ Samsung Galaxy Note 9 512GB

วิดีโอพรีวิว (Video Preview) Samsung Galaxy Note 9 พรีวิว Samsung Galaxy Note 9 ครั้งแรกในไทย มีอะไรใหม่ ดีกว่าเดิมแค่ไหน ปากกา S Pen ล้ำขึ้นอย่างไร?

Leave a Comment