รีวิว TicWatch Pro 4G/LTE สมาร์ทวอทช์พรีเมียมรุ่นใหญ่ไฮเอนด์ ใช้ 4G ได้ไม่ง้อมือถือ กับจอสองชั้นสุดล้ำ ในงบหมื่นต้นๆ :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทวอทช์พรีเมียมรุ่นใหญ่ไฮเอนด์ ใช้ 4G ได้ไม่ง้อมือถือ กับจอสองชั้นสุดล้ำ ในงบหมื่นต้นๆ ด้วยจอ Layered AMOLED+FSTN สวยล้ำประหยัดพลังงาน, ระบบปฏิบัติการ Wear OS, วัด Heart Rate ตลอด 24 ชั่วโมง, GPS ในตัว, ใช้ eSIM โทร+ข้อความ+เล่นเน็ตได้ และแบตอึดสูงสุด 30 วัน บนบอดี้สวยแกร่งมาตรฐานกองทัพ ในราคาเอื้อมถึงที่ 11,900 บาท

8 กรกฎาคม 2020 - หลังจากที่เราได้รีวิวสมาร์ทโฟนกันไปหลายต่อหลายรุ่นแล้ว ครั้งนี้ก็ขอเปลี่ยนบรรยากาศมารีวิวนาฬิกาสมาร์ทวอทช์กันบ้าง และอีกหนึ่งสมาร์ทวอทช์รุ่นมาแรงที่เราจะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ก็คือ TicWatch Pro 4G/LTE นั่นเอง ซึ่งสำหรับบางท่านที่อยู่ในวงการสมาร์ทวอทช์มาก่อนน่าจะคุ้นเคยกับชื่อ TicWatch กันอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก TicWatch คือนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ระดับ High-End จากแบรนด์สัญชาติจีนอย่าง Mobvoi ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศทั่วโลก และเปิดตัวออกมาแล้วหลายรุ่น

สำหรับ TicWatch Pro 4G/LTE ที่เรานำมารีวิวกันให้ชมในครั้งนี้ เป็นสมาร์ทวอทช์ระบบปฏิบัติการ Wear OS (Wear OS by Google) รุ่นใหม่ล่าสุดที่อัปเกรดวัสดุ และงานประกอบให้ดียิ่งขึ้น เรียกว่ามีความแข็งแกร่งทนทานในระดับมาตรฐานกองทัพเลยทีเดียว พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการ รองรับสัญญาณ 4G/LTE ด้วย eSIM จึงโทรเข้า-โทรออกได้โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน ในส่วนของฟังก์ชันการใช้งานก็เรียกได้ว่าครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดอัตราการเผาผลาญแคลอรี่, นับจำนวนก้าว, วัดระยะทาง, มี GPS ในตัว จึงสามารถติดตามเส้นทางการวิ่ง หรือการออกกำลังกายกลางแจ้งได้อย่างแม่นยำโดยไม่จำเป็นต้องพกมือถือติดตัวไปด้วย พร้อมกันนี้ยังมีผู้ช่วยอัจฉริยะนามว่า Google Assistant ที่สั่งงานด้วยเสียงได้ จัดว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างรอบด้านอีกรุ่นหนึ่ง

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ TicWatch Pro 4G/LTE คือ หน้าปัดแสดงผลที่ซ้อนกัน 2 ชั้น โดยเป็นจอ AMOLED ทับด้วยจอ FSTN LCD โดยขณะสแตนด์บาย หรือเมื่อไม่ได้ใช้งานจะสลับไปใช้หน้าจอ FSTN LCD โดยอัตโนมัติ ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ยิ่งขึ้น และยังมี Essential Mode ที่ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างมากจนสามารถยืดระยะเวลาการใช้งานได้นานหลายวันเลยทีเดียว

จากคุณสมบัติเบื้องต้นที่กล่าวมา หลายท่านคงจะเริ่มสนใจสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปชม รีวิว TicWatch Pro 4G/LTE โดยทีมงาน Thaimobilecenter พร้อมกันได้เลยครับ

รูปลักษณ์ภายนอก และการออกแบบดีไซน์

TicWatch Pro 4G/LTE เป็นสมาร์ทวอทช์ระดับ High-End ที่มีดีไซน์พรีเมียมสวยเตะตาแบบเรียบง่าย สุขุม แต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง จนได้รับรางวัลการออกแบบจาก Good Design Award 2019 โดยมาพร้อมหน้าปัดนาฬิกาขนาด 1.39 นิ้ว ความละเอียด 400 x 400 พิกเซล เป็น หน้าจอ AMOLED และ FSTN ซ้อนกัน 2 ชั้น (Dual-Layer) ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 3 และรองรับการสัมผัสหลายจุดพร้อมกัน ส่วนตัวเรือนผลิตจากวัสดุโพลีเอไมด์ (Polyamide) กับเส้นใยไฟเบอร์กลาส (Glass Fiber) ขอบหน้าปัดเป็นโลหะสแตนเลส และด้านหลังเป็นอะลูมิเนียม ตัวเรือนมีความทนทานในระดับ MIL-STD-810G ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการทหาร และมีคุณสมบัติกันน้ำ IP68 จึงใส่ว่ายน้ำได้ (ในน้ำตื้น หรือสระว่ายน้ำ) และพร้อมลุยไปกับเราทุกที่ ไม่ว่ากิจกรรมของเราจะ Extreme แค่ไหนก็หายห่วง

ที่ด้านขวาของตัวเรือนจะมีไมโครโฟน และปุ่มควบคุม 2 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่ม Power (บน) และ ปุ่ม Function (ล่าง) ซึ่งมีวิธีใช้งานดังนี้ :

ปุ่ม Power - กดค้างเพื่อเปิดเครื่อง หรือเรียกใช้ Google Assistant - กด 1 ครั้งเพื่อกลับหน้าจอหลัก หรือดูรายการแอปพลิเคชัน

ปุ่ม Functions - กด 1 ครั้งเพื่อเรียกใช้แอปพลิเคชันด่วน ซึ่งเราสามารถตั้งค่าได้ว่าจะเป็นแอปใด - กด 2 ครั้ง เพื่อเปิดใช้แอปชำระเงินแบบ NFC - กดค้าง เพื่อเปิดเมนูลัด

ด้านหลังของตัวเรือนเป็นอะลูมิเนียม โดยมีพินสำหรับเชื่อต่อกับแท่นชาร์จ และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบไดนามิก ส่วนลำโพงจะซ่อนอยู่ด้านล่างใกล้กับสายรัดข้อมือ

สายรัดข้อมือมีขนาด 22 มิลลิเมตร เป็นซิลิโคนที่เหนียว และมีความยืดหยุ่นสูง โดยริ้วที่อยู่บนสายจะช่วยให้น้ำที่เกาะสายถูกรีดออกไปเร็วขึ้น ลดความเหนอะหนะ และกลิ่นอับ นอกจากนี้ยังสามารถถอดเปลี่ยนกับสาย นาฬิกาทั่วไปได้ทุกแบบ ขอแค่เป็นสายขนาด 22 มิลลิเมตรเท่านั้น จึงหาสายสวยๆ มาใส่แทนได้ไม่ยาก

อุปกรณ์ในกล่องจัดมาให้แบบพื้นฐาน โดยมีตัวนาฬิกา TicWatch Pro 4G/LTE, แท่นชาร์จ และคู่มือการใช้งาน สามารถต่อแท่นชาร์จกับคอมพิวเตอร์ผ่านช่อง USB เพื่อชาร์จ หรือจะต่อกับอแดปเตอร์สมาร์ทโฟนแล้วชาร์จกับแหล่งจ่ายไฟโดยตรงก็ได้ โดยวิธีการชาร์จก็แค่วางนาฬิกาลงไปบนแท่นให้พินด้านล่างเชื่อมต่อกัน และใช้เวลาชาร์จประมาณ 1-2 ชั่วโมง

เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และเริ่มต้นใช้งาน

ก่อนจะเริ่มต้นใช้งาน TicWatch Pro 4G/LTE เราจำเป็นต้องมีแอปพลิเคชัน 2 ตัวบนสมาร์ทโฟน ได้แก่ Wear OS และ Mobvoi ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งคู่บน Play Store

แอปพลิเคชัน Wear OS จะมีหน้าที่เชื่อมต่อ TicWatch Pro 4G/LTE เข้ากับสมาร์ทโฟนของเราและบัญชี Google Account เมื่อดาวน์โหลดมาแล้วให้ทำตามขั้นตอนที่ปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกาและสมาร์ทโฟนเพื่อจับ คู่ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน

เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนสำเร็จแล้ว ให้เรามาที่แอป Mobvoi แล้วลงทะเบียน TicWatch Pro 4G/LTE ของเราในแอป เพียงเท่านี้ก็พร้อมใช้งานแล้วครับ

ในแอป Mobvoi จะมีหน้าปัดนาฬิกาหลายแบบให้เลือกเปลี่ยนได้ตามใจชอบ หรือจะกดค้างบนหน้าปัดนาฬิกาเพื่อเปลี่ยนก็ได้เช่นกัน

ในการใช้งานทั่วไป TicWatch Pro 4G/LTE จะอยู่ใน Smart Mode ซึ่งแสดงข้อมูลบนจอ AMOLED ในโหมดนี้เราจะสามารถใช้งานฟังก์ชัน ของนาฬิกาได้ทั้งหมด ได้แก่ Google Assistant, อ่านและตอบการแจ้งเตือนแบบ Quick Reply, จ่ายเงินผ่าน NFC, ระบบ GPS, ติดตามสถิติการออกกำลังกาย และใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่โหลดมาจาก Play Store

เมื่อไม่ได้ใช้งาน TicWatch Pro 4G/LTE จะสลับเป็น Essential Mode ที่จะแสดงเวลา, อัตราการเต้นของหัวใจ และจำนวนก้าวบนหน้าจอ FSTN ซึ่ง ประหยัดพลังงานกว่าจอ AMOLED มาก และสู้แดดได้ดีกว่าด้วย เมื่อเรายกแขนและพลิกข้อมือขึ้นมา จะสลับกลับไปเป็น Smart Mode โดยอัตโนมัติ หรือถ้าต้องการให้อยู่ใน Essential Mode ตลอดเวลาเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ขั้นสูงสุด ก็สามารถเปิดใช้ได้โดย กดปุ่ม Function ค้างไว้ แล้วเลือก Essential Mode ครับ

ฟังก์ชันการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ และการออกกำลังกาย

TicWatch Pro 4G/LTE ติดตามสถิติการออกกำลังด้วย TicMotion ซึ่งจะตรวจจับ ประเภทการออกกำลังกายของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ และบันทึกผลให้ทันทีโดยที่เราไม่จำเป็นต้องสั่งการใดๆ หรืออยากกำหนดประเภทการออกกำลังกาย ก็สั่งให้เริ่มบันทึกตามประเภทได้เช่นกัน ซึ่งสามารถบันทึกการออกกำลังกายได้ 6 แบบ ดังนี้

- การวิ่งกลางแจ้ง - การเดินกลางแจ้ง - การวิ่งบนลู่ - การปั่นจักรยาน - ออกกำลังแบบ Free Style - การว่ายน้ำ

ในการติดตามการออกกำลังกาย ระบบจะเก็บสถิติต่างๆ เช่น จำนวนก้าว, ระยะทาง, อัตราการเต้นของหัวใจ และปริมาณแคลลอรีที่เผาผลาญได้ หาก เราหยุดพักกลางคัน ระบบจะหยุดนับโดยอัตโนมัติ

ข้อมูลการออกกำลังกายของเราในแต่ละวันจะ ถูกบันทึกอย่างละเอียดในแอปพลิเคชัน Mobvoi ในส่วน Health Center ซึ่งมีการแจกแจงเป็นหมวดหมู่และแสดงเป็นกราฟเพื่อให้เปรียบเทียบผลในแต่ละช่วงเวลา ของวันได้ง่าย แต่น่าเสียดายที่เวอร์ชั่นนี้ยังไม่มีข้อมูลอัตรา การเต้นหัวใจขณะหลับให้ดูครับ

นอกเหนือจากการติดตามข้อมูลการออกกำลังกาย แล้ว TicWatch Pro 4G/LTE ยังมากับความสามารถอื่นๆ ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการโทร, การฟังเพลง, Google Assistant และยังดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจาก Play Store ลงมาเพิ่มได้อีก ที่สำคัญในรุ่นนี้ยังมี eSIM ในตัว ทำให้ใช้งานฟังก์ชันเหล่านี้ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน จึงมีความยืดหยุ่นกว่าสมาร์ทวอทช์ทั่วไป

เนื่องจาก TicWatch Pro 4G/LTE มีลำโพงเสียงและไมโครโฟนในตัวจึงใช้คุยโทรศัพท์ได้โดยตรง และถ้าเราเปิดใช้ eSIM และผูกเบอร์กับมือถือของเรา เราก็จะโทรเข้า - โทรออก และสนทนาผ่านตัวนาฬิกาได้ทันทีโดยไม่ต้องมีมือถือ ตัวลำโพงมีความดังพอประมาณ แต่อาจจะเบาไปหน่อยหากอยู่ในสถานที่ที่มีคนจอแจครับ

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า TicWatch Pro 4G/LTE เป็น TicWatch รุ่นแรกที่มี eSIM ทำให้ผูกเบอร์กับสมาร์ทโฟน และใช้งาน 4G/LTE ได้แบบ Stand Alone ช่วยให้การใช้งานสะดวกและมีอิสระขึ้นมาก เพราะเราไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนไปออกกำลังกายให้หนักกระเป๋า, ไม่ต้องกลัวพลาดสายสำคัญเวลาที่สมาร์ทโฟนไม่อยู่กับตัว และยังตอบข้อความใน LINE หรือ Messenger ได้ทันที

โดยปัจจุบัน eSIM ของ TicWatch Pro 4G/LTE รองรับการใช้งานร่วมกับเครือข่าย AIS และ dtac ส่วนของ True กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ สำหรับการเปิดใช้งาน eSIM จำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ของเครือข่ายนั้นๆ ดำเนินการให้ โดยมีขั้นตอนดังนี้

- เข้าไปที่แอป Mobvoi แล้วแตะที่ TicWatch Pro 4G - แตะที่ การตั้งค่าการสื่อสาร - แตะที่ สแกนรหัส QR - เลือก AIS หรือ dtac และเลือกพื้นที่ให้บริการเป็น Thailand จากนั้นกด Next - ส่งต่อให้พนักงานใน AIS Shop หรือ dtac Center สาขาใดก็ได้ดำเนินการต่อ เพื่อเปิดใช้งาน eSIM

สรุปผลการทดสอบของ TicWatch Pro 4G/LTE

หลังจากที่ทางทีมงานได้สวมใส่ TicWatch Pro 4G/LTE ติดตัวไปไหนมาไหนแบบต่อเนื่องหลายวัน โดยรวมรู้สึกประทับใจกับคุณสมบัติหลายๆ อย่างที่มีในสมาร์ทวอทช์ไฮเอนด์เรือนนี้ เริ่มจากการออกแบบที่ดูพรีเมียมเรียบหรูลงตัว สามารถใส่ออกงานได้ทุกโอกาสทุกสถานการณ์ และยังเปลี่ยนสายนาฬิกาเป็นแบบใดก็ได้ ขอแค่มีขนาด 22 มิลลิเมตรเท่านั้น จึงสามารถประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์การแต่งตัวได้อย่างอิสระ ในส่วนของการใช้งาน TicWatch Pro 4G/LTE สามารถซิงค์กับสมาร์ทโฟนได้ดี การแจ้งเตือนต่างๆ เด้งขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่มีดีเลย์ หน้าจอมีการตอบสนองรวดเร็ว ทัชติดมือ อีกทั้งจอ FSTN ใน Essential Mode ยังสู้แสงแดดได้ดีอีกด้วย

สิ่งที่ทำให้ TicWatch Pro 4G/LTE โดดเด่นจริงๆ คือ ความสามารถในการเปิดใช้ eSIM เพื่อใช้งาน 4G/LTE ทำให้เราไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนไปออกกำลังกายด้วย ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลกับสมาร์ทโฟน แต่ยังสามารถรับสาย และตอบข้อความได้ ทำให้ไม่พลาดเวลามีธุระด่วน ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเป็นอย่างยิ่ง

ในการใช้งานจริง แบตเตอรี่ของ TicWatch Pro 4G/LTE อยู่ได้ประมาณ 1 วันเต็ม โดยเป็นการใช้งานตามปกติที่มีการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง, มีการติดตามการออกกำลังกายบ้าง และซิงค์กับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา ซึ่งอาจจะไม่ได้ยาวนานอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน

ถึงแม้ TicWatch Pro 4G/LTE จะเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมีจุดสังเกตเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง อย่างแรกคือตัวเรือนของ TicWatch Pro 4G/LTE มีขนาดใหญ่พอสมควร ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อมือเล็ก และการใช้งานในโหมด Smart Mode ก็ใช้แบตเตอรี่มากกว่าที่คิด ดังนั้นหากใช้งานอยู่ในโหมดนี้นานๆ แบตเตอรี่ก็จะหมดลงค่อนข้างเร็ว

สรุปโดยรวมแล้ว TicWatch Pro 4G/LTE เป็นสมาร์ทวอทช์ระดับ High-End ที่มีรูปลักษณ์สวยพรีเมียมโดดเด่น แข็งแกร่งทนทาน และฟังก์ชันครบเครื่องจบได้ในเรือนเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทวอทช์ดีๆ สักเรือนที่ลุยไปกับเจ้าของได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือมีราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยากจนเกินไป หรือ 11,900 บาท นั่นเองครับ

ช่องทางการจัดจำหน่ายของ TicWatchPro 4G/LTE

สำหรับท่านใดที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของ TicWatch Pro 4G/LTE ก็สามารถกดสั่งซื้อง่ายๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางออนไลน์ที่ Shopee ในราคา 11,900 บาท พร้อมโปรโมชั่นส่งฟรี, รับประกัน 1 ปี, ผ่อนชำระด้วยดอกเบี้ย 0% และฟรีโค้ด

จุดเด่นของ TicWatch Pro 4G/LTE

- ดีไซน์ และงานประกอบสวยงามพรีเมียมบางเบา มีความทนทานต่ออุณหภูมิ, แรงดัน, ความชิ้น, ฝุ่น และทราย ตามมาตรฐานทางทหาร MLT-STD-810G - ตัวเรือนผลิตจาก Polyamide และ Glass Fiber - ขอบหน้าปัดผลิตจากสแตนเลส - ด้านหลังตัวเรือนผลิตจากอะลูมิเนียม - ตัวเรือนมีขนาด 45.15x52.8x12.6 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 47.4 กรัม - กันน้ำมาตรฐาน IP68 สามารถใส่ว่ายน้ำตื้นได้ (เช่นสระว่ายน้ำทั่วไป) - หน้าปัดนาฬิกา 2 ชั้น (Layered Display) โดยเป็นหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.39 นิ้ว ความละเอียด 400x400 พิกเซล ซ้อนทับด้วยหน้าจอ FSTN ขนาด 1.39 นิ้ว เมื่อไม่ได้ใช้งานจะสลับไปใช้จอ FSTN เพื่อช่วยให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น - หน้าปัดครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 3 - สายรัดข้อมือซิลิโคนขนาด 22 มิลลิเมตร ออกแบบให้รีดน้ำออกได้อย่างรวดเร็ว และสามารถนำสายนาฬิกาขนาด 22 มิลลิเมตร ทั่วไปมาเปลี่ยนใส่ได้ - มีลำโพงเสียง และไมโครโฟนในตัว พร้อมระบบกำจัดน้ำ และความชื้น - ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon Wear 2100 (MSM8909W) - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 1 GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 4 GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Wear OS (Wear OS by Google) - รองรับการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android และ iOS - ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ (Google Assistant) - รองรับการใช้งาน eSIM เพื่อใช้งาน 4G/LTE แบบ Stand Alone ได้ (AIS และ dtac) (โทรศัพท์, ข้อความ และอินเทอร์เน็ต) - ฟังก์ชัน SOS - รองรับการเชื่อมต่อ NFC, Bluetooth 4.2, BLE, WiFi IEEE 802.11 b/g/n - รองรับการระบุตำแหน่งผ่านระบบดาวเทียม GPS, A-GPS, GLONASS, Beidou - เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, Accelerometer, Gyroscope, E-Compassและ Ambient Light Sensor และ Low Latency Off-Body ในตัว - ระบบติดตามชีพจรตลอด 24 ชั่วโมง (TicPulse) - โหมดออกกำลังกาย (วิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน, เดินเร็ว และอื่นๆ) - แบตเตอรี่ความจุ 415 mAh ใช้งานในโหมด Essential Mode ได้สูงสุด 30 วัน และใช้งานในโหมด Smart Mode ได้สูงสุด 2-5 วัน - Essential Mode ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานขึ้นอีกหลายวัน - ระบบ TicMotion สำหรับติดตามการเคลื่อนไหว - ระบบติดตามคุณภาพของการนอนหลับ - ราคา 11,900 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ไม่สูงจนเกินไป เมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ TicWatch Pro 4G/LTE

- แบตเตอรี่ในโหมด Smart Mode ใช้งานได้ไม่ยาวนานอย่างที่คาดไว้ - ตัวเรือนค่อนข้างใหญ่ อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีข้อมือเล็ก - มีสีดำให้เลือกเพียงแค่สีเดียว - Bluetooth ยังไม่ใช่เวอร์ชัน 5.0

Leave a Comment