รีวิว realme X50 Pro 5G เรือธง 5G ตัวท็อปชิป Snapdragon 865 บวก RAM 12GB จอ 90Hz กับพลังชาร์จ 65W และ 6 กล้อง AI :: Thaimobilecenter.com

เรือธง 5G ตัวท็อป ชิป Snapdragon 865 แรงขั้นสุด บวก RAM LPDDR5 จุใจ 12GB พร้อมจอ Ultra Smooth Super AMOLED 90Hz, กล้อง AI Quad Camera 64MP ซูมไกล 20 เท่า ผสานกล้องหน้าคู่ฝังจอ 32MP, แบตเตอรี่ 65W SuperDart Charge, ROM UFS 3.0 ใหญ่ 256GB, ลำโพงคู่ Dual Liner และเสารับสัญญาณ 360 องศา บนบอดี้ AG Glass สวยหรูพรีเมียมที่ไม่กลัวร้อน ในราคา 28,990 บาท

1 กรกฎาคม 2020 - หลังจากการเปิดตัว realme X3 SuperZoom สมาร์ทโฟนรุ่นท็อปที่มาพร้อมกล้อง Periscope รองรับการซูมไกลสุดที่ 60 เท่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดทาง realme ประเทศไทยก็ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นใหม่อย่าง realme X50 Pro 5G ออกมาเพิ่มเติมแล้ว ภายใต้สโลแกน “ความเร็วแห่งอนาคต” เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในตลาดระดับโลก ที่ครองตำแหน่งอันดับที่ 7 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงขึ้นแท่นอันดับ 5 ของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังครองอันดับ 4 ในประเทศไทย และมีอัตราการเติบโตถึง 116% เมื่อเทียบกับปี 2562

realme X50 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่มาพร้อมความสามารถในการ เชื่อมต่อเครือข่าย 5G ด้วยชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นล่าสุดอย่าง Qualcomm Snapdragon 865 ที่ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 7nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็ว 2.84GHz พร้อมติดตั้งเสารับสัญญาณเอาไว้ 12 ตัวแบบ 360 องศา ซึ่งจะช่วยให้รับสัญญาณได้ดีกว่าสมาร์ทโฟน 4G ถึง 200% โดยเสารับสัญญาณเหล่านี้มีหน้าที่ในการ รับคลื่นเครือข่าย 5G, Wi-Fi 6 และการเชื่อมต่อแบบ Dual Wi-Fi Acceleration ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz พร้อมกัน เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้นไปอีกระดับ

โดยทำงานร่วมกับ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB จับคู่ ROM มาตรฐาน UFS 3.0 ขนาดจุใจ 256GB ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Turbo Write + HPB ที่ช่วยให้การอ่านข้อมูลต่างๆ รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Cooling System 5 ชั้น และมีแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงสุดในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนแบบ 65W SuperDart Charge ที่สามารถชาร์จจากระดับ 0-100% ได้ภายในเวลา 35 นาที พร้อมระบบความปลอดภัยทั้งหมด 5 ชั้น

realme X50 Pro 5G ยังโดดเด่นที่ดีไซน์หน้าจอไร้ขอบ เจาะรูกล้องหน้าคู่แบบ Dual Punch-Hole Display เทคโนโลยี Super AMOLED E3 จากทาง Samsung ขนาด 6.44 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 กับพื้นที่การแสดงผลทั้งหมด 92% คมชัดระดับ Full HD+ โดยมีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz และ Sampling Rate ระดับ 180Hz รองรับมาตรฐาน HDR10+ พร้อม DCI-P3 มีค่าความสว่างสูงสุด 1000nits และฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint 3.0) ส่วนที่ด้านหลังได้แรงบันดาลใจมาจากสสารต่างๆ ในจักรวาล กับการผลิตด้วยเทคโนโลยี AG Glass เพื่อให้ได้ผิวสัมผัสแบบด้านจับถนัดมือ จึงช่วยป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี

สำหรับกล้องหลังมีทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) แบ่งออกเป็นกล้องหลักคมชัด 64MP พร้อมกล้อง Ultra-Wide Angle คมชัด 8MP ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 119 องศา ที่สามารถถ่าย Macro ได้ระยะใกล้สุดที่ 3 เซนติเมตร, กล้อง Telephoto คมชัด 12MP รองรับซูมไกลสุด 20x Hybrid Zoom และกล้อง B&W Portrait

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า realme X50 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุดที่มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม หรือฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และระบบการถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิม กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 28,990 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการ รีวิว realme X50 Pro 5G ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

realme X50 Pro 5G มาในแพ็กเกจสีเหลือง พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ เคสใส, อะแดปเตอร์ SuperDart (10V/6.5A),  สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด

ภาพตัวอย่างการใส่เคสที่แถมมาในแพ็กเกจ

realme X50 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED E3 90Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.44 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 92%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 408 ppi) บนตัวเครื่องขนาด 158.96x74.24x8.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 205 กรัม

ไฮไลท์ที่สำคัญของหน้าจอ realme X50 Pro 5G คือค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ซึ่งช่วยให้การแสดงผลลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับ Touch Sampling Rate ระดับ 180Hz ที่ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับเกมเมอร์ตัวจริง รวมถึงรองรับมาตรฐาน HDR 10+ และมาตรฐานการแสดงผลสี DCI-P3 100% และ NTSC 105%

และรองรับฟังก์ชัน Screen-Off Clock ในการแสดงเวลา วันที่ รวมถึงแบตเตอรี่ขณะปิดหน้าจออีกด้วย

ที่ด้านบนของหน้าจอมีเพียงลำโพงสนทนา พร้อมการติดตั้งเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซ็นเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

สำหรับกล้องถ่ายภาพเซลฟี่เป็นแบบคู่ฝังบนจอ Dual In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX616 ที่มีรูรับแสง F/2.5 พร้อมกล้องรองเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่ในมุมกว้างพิเศษ 105 องศา และเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของใบหน้าผู้ใช้งาน เพื่อนำมาปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสวยงาม

พร้อมรองรับระบบการสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ในการปลดล็อกตัวเครื่อง

ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย

รวมถึงรองรับเทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือที่ฝัง อยู่ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint)

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง พร้อมเส้นเสาสัญญาณ 2 เส้น

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Dual-nanoSIM (ไม่รองรับ microSD Card), ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก ซึ่งไม่มีช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มม.

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power แต้มสีเหลืองให้สังเกตเห็นได้ชัดขึ้น สำหรับล็อกหน้าจอ, เปิด-ปิด เครื่อง หรือเรียกใช้ Google Assistant และเส้นเสาสัญญาณ 2 เส้น

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง และเส้นเสาสัญญาณ 2 เส้น

realme X50 Pro 5G มาพร้อมฝาหลังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสสารต่างๆ ในจักรวาล กับการผลิตแบบ AG Technology พร้อมค่าความขุ่น 25% และความขรุขระ 0.15 µm รวมถึงมีค่าความเปล่งแสงน้อยกว่า 1% เพื่อให้ได้ผิวสัมผัสแบบด้านจับถนัดมือ จึงช่วยป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือ ซึ่งสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิวนั้นคือสี Rust Red

ที่ด้านหลังตัวเครื่องติดตั้งระบบกล้องทั้งหมด 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบไปด้วย

- กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Samsung GW1 ขนาด 1/1.72 นิ้ว โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ มีขนาดรูนับแสงที่ F/1.8 เก็บภาพมุมกว้างสูงสุด 78.6 องศา มีทางยาวโฟกัส 26mm - กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ ที่มีขนาดรูรับแสง F/2.3 เก็บภาพมุมกว้างสุด 119 องศา พร้อมถ่าย Macro ระยะใกล้สุดที่ระยะ 3 เซนติเมตร มีทางยาวโฟกัส 15.7m - กล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ ที่มีขนาดรูรับแสง F/2.5 มีทางยาวโฟกัส 54mm รองรับ Optical Zoom 5 เท่า และ Hybrid Zoom 20 เท่า - กล้องตัวที่สี่เลนส์ B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.4 เก็บภาพมุมกว้างสูงสุด 88.8 องศา

รองรับการซูมสูงสุด 20x Hybrid Zoom พร้อมโหมดถ่ายภาพกลางคืน NightScape 3.0 เวอร์ชันใหม่ และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide, Real-Time Bokeh Effect, UIS Stabilization และ SLO-MO ที่ระดับ 960fps

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

realme X50 Pro 5G ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย realme UI ที่มี User Interface เน้นไปทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ระบบสี, ไอคอน, พื้นหลัง และภาพเคลื่อนไหวแอนิเมชัน โดยรองรับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่อง (ROM) มาตรฐาน UFS 3.0 ขนาด 256GB โดยไม่รองรับ microSD Card

พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G (Band n1 : 2100 | n3 : 1800 | n5 : 850 | n7 : 2600 | n28 : 700 | n38 : 2600 | n40 : 2300 | n41 : 2500 | n77 : 3700 | n78 : 3500 | n79 : 4700 )

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไอคอนมีดีไซน์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยม

โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ

เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Smart Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่คอยแนะนำฟีเจอร์ และข้อมูลต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้โดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟน เช่น ข้อมูลการออกกำลังกาย, ภาพถ่ายในแต่ละสัปดาห์ หรือรายชื่อผู้ติดต่อที่ติดต่อเป็นประจำ และยังสามารถจัดการแอปพลิเคชันที่แสดงภายในหน้า Smart Assistant ได้

เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่ม Clear ที่ด้านล่าง

สามารถเข้าสู่เข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงใช้สองนิ้วรูดเข้าหากันในแนวทแยง

สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น รายชื่อผู้ติดต่อ, การบันทึกเสียง, เข็มทิศ, เครื่องคิดเลข, Clone Phone, One-Tap Lockscreen สำหรับล็อกหน้าจอ, Game Space, ปฏิทิน, สภาพอากาศ และ Mail

สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร พร้อมรองรับฟังก์ชัน Eye Care สำหรับลดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ

รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่

ตัวอย่างการใช้งาน Dark Mode

รองรับฟังก์ชัน Off-Screen Clock ในการแสดงเวลา วันที่ รวมถึงแบตเตอรี่ขณะปิดหน้าจอ ที่สามารถเลือกรูปแบบการดีไซน์นาฬิกาได้ทั้งแบบ Digital และ Analog

สามารถเลือกการแสดงผลของหน้าจอได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Brilliant, Vivid และ Gentle อีกทั้งรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces

รวมถึงเลือกใช้งานค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 900Hz (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60Hz) โดยจะช่วยให้การใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมลื่นไหลกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างหาได้ยากบนสมาร์ทโฟนระดับใกล้เคียงกัน

สำหรับ Refresh Rate เป็นค่าความเร็วในการเปลี่ยนภาพของหน้าจอแสดงผล กล่าวคืออัตราความเร็วในการเปลี่ยนภาพนิ่งที่เรียงต่อกันจนกลายมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งค่า Refresh Rate มาก ก็จะทำให้การเปลี่ยนภาพของหน้าจอมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้นไปด้วยนั่นเอง และโดยปกติแล้วหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เราใช้งานกันจะมีค่า Refresh Rate อยู่ที่ประมาณ 60 Hz

รวมถึงฟังก์ชัน Screen Light Effect การแจ้งเตือนด้วยไฟ LED วิ่งรอบขอบหน้าจอ

โดยมีตัวเลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Neon Purple, Ocean Blue และ Amber Orange

สามารถตั้งค่าต่างๆ ในหน้า Home Screen ได้

ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้งานหน้าจอได้ทั้งในโหมด ปกติ (Standard), แบบ Drawer (ค่าเริ่มต้น) หรือแบบ Simple ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ

และเลือกจำนวนการแสดงผลของไอคอนบนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 4x6 และ 5x6 (ค่าเริ่มต้น)

สามารถปรับเปลี่ยนธีม (Theme), รูปแบบตัวอักษร (Font) และภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ของตัวเครื่องได้อย่างอิสระ

และสำหรับท่านที่ต้องการใช้งานพื้นหลัง, รูปแบบธีม รวมถึงรูปแบบตัวอักษรที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน Theme Store

รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอน

realme X50 Pro 5G มาพร้อมฟังก์ชัน Dual Wi-Fi Acceleration ในการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ในคลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz ได้พร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างเช่น การรับชมภาพยนตร์สตรีมมิ่ง หรือการท่องโลกโซเชียล

และรองรับบริการชำระเงินผ่านระบบ NFC

รวมถึงฟังก์ชัน Android Beam สำหรับส่งข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC โดยการนำตัวเครื่องทั้ง 2 มาแตะกัน

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้

หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ

หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe-Up Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ

รวมถึงการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Assistive Ball ปุ่มคีย์ลัดที่สามารถเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งได้

และรองรับฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ

โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน พร้อมเลือกแอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในแถบ Smart Slider ได้

และเมื่อกดค้างที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะปรากฎเมนูลัด เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

สำหรับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะก็มีให้ใช้งาน ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง, การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน, การรับสายอัตโนมัติ, การสลับจากลำโพงภายนอก มาเป็นลำโพงสำหรับสนทนาเมื่อนำมือถือมาแนบที่ใบหู และการคว่ำตัวเครื่องเพื่อปิดเสียงสายโทรเข้า

รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้

โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย

ตัวอย่างการใช้งานบนบริการ Google Lens

มีแอปพลิเคชัน Phone Manager เครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการเคลียร์ไฟล์แคช (Cache File), จัดการความเป็นส่วนตัว หรือการสแกนไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ตัวเครื่องมีความปลอดภัย และใช้งานได้รวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

realme X50 Pro 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Power Saving Mode ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน

และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จความเร็วสูงแบบ 65W SuperDart Charge (10V/6.5A) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลา 35 นาที ที่ช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังติดตั้งชิปตรวจสอบความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5 จุด (Five-core Chip) เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงอแดปเตอร์จ่ายไฟแบบ GaN (GaN Nitride) ที่สูญเสียกำลังในการจ่ายไฟน้อยกว่า ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่มีความเสถียร และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

รวมถึงโหมด High Performance เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด โดยเมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย ถัดจากเวลา ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง

ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน

สามารถตรวจสอบเวลาที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละแอปพลิเคชันได้

และรองรับฟังก์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง

realme X50 Pro 5G ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

รวมถึงรองรับการใช้งานแบบ Multiple Mode ที่สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ต้องการแยกการทำงาน และการใช้งานทั่วไปให้ชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี

ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ

ทางด้านอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้ หลักๆ 2 แบบ คือ รวมภาพถ่ายทั้งหมด และแสดงแบบแยกอัลบั้ม

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน realme X50 Pro 5G มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint 3.0) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ด้วยเวลาเพียง 0.27 วินาที พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ

และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว

ท่านที่ใช้งาน realme X50 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที

realme X50 Pro 5G รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dolby Atmos ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (ซึ่งจะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)

รวมถึงรองรับฟังก์ชันที่น่าสนใจอย่าง Dual-Mode Audio โดยสามารถใช้งานหูฟังแบบมีสาย และแบบไร้สายได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะสำหรับการรับชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรดกับเพื่อนได้พร้อมๆ กัน โดยไม่ต้องแบ่งหูฟังคนละข้างเหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง

ที่สำคัญ realme X50 Pro 5G ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง, Kid Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง realme X50 Pro 5G นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor

สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ดี พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 64 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 3 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง

realme X50 Pro 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 865 บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 7nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.84 GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 650 โดยใช้หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาดเท่ากันที่ 12GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 3.0 ขนาด 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 10 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ realme UI

realme X50 Pro 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 594,609 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 904 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 3,104 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 7,037 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 6,301 คะแนน

realme X50 Pro 5G รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง อย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้

ใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Dragon Raja และ Asphalt 9 พร้อมเปิดการแสดงผลกราฟิกในระดับสูงสุด ก็พบว่า realme X50 Pro 5G นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ผสานกับหน้าจอที่มี Refresh Rate ระดับ 90Hz ซึ่งช่วยให้เกมลื่นไหลมากยิ่งขึ้น และไม่พลาดช่วงเหตุการณ์สำคัญ อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge (10V/6.5A) จึงทำให้เล่นเกมได้ยาวนานต่อเนื่อง รวมถึงมีระบบความปลอดภัยถึง 5 ชั้น จึงมั่นใจได้ว่าสามารถชาร์จไป ใช้งานไปได้อย่างปลอดภัย และไม่ทำให้ตัวเครื่องร้อนมากเกิน

realme X50 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ Dual Punch-Hole Display เทคโนโลยี Super AMOLED E3 จากทาง Samsung ขนาด 6.44 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 กับพื้นที่การแสดงผลทั้งหมด 92% คมชัดระดับ Full HD+ จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces จึงทำให้ภาพมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

realme X50 Pro 5G มาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว (Quad Camera) ซึ่งประกอบไปด้วย

- กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Samsung GW1 ขนาด 1/1.72 นิ้ว โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ มีขนาดรูนับแสงที่ F/1.8 เก็บภาพมุมกว้างสูงสุด 78.6 องศา มีทางยาวโฟกัส 26mm - กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ ที่มีขนาดรูรับแสง F/2.3 เก็บภาพมุมกว้างสุด 119 องศา พร้อมถ่าย Macro ระยะใกล้สุดที่ระยะ 3 เซนติเมตร มีทางยาวโฟกัส 15.7mm - กล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ ที่มีขนาดรูรับแสง F/2.5 มีทางยาวโฟกัส 54mm รองรับ Optical Zoom 5 เท่า และ Hybrid Zoom 20 เท่า - กล้องตัวที่สี่เลนส์ B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.4 เก็บภาพมุมกว้างสูงสุด 88.8 องศา

โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) ไปจนถึงซูมสูงสุดที่ 20 เท่า (20x Hybrid Zoom)

พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, ฟังก์ชัน AI Dazzle Color สำหรับตรวจจับซีนต่างๆ พร้อมเพิ่มสีสันให้กับภาพโดยอัตโนมัติ, การเพิ่มฟีลเตอร์, สัดส่วนภาพถ่าย, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และการตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติม

ตัวอย่างการตรวจจับซีนต่างๆ ด้วย AI

มาพร้อมกับโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%

และโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)

พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้

และใช้งานร่วมกับ AI Beauty

และมี Nightscape 3.0 สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ ที่รองรับ Tripods Mode ถ่ายภาพกลางคืนร่วมกับขาตั้งกล้อง สามารถรับแสงได้นานสุด 50 วินาที โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x),  แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) ไปจนถึงซูมสูงสุดที่ 20 เท่า (20x Hybrid Zoom)

รองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูงอย่าง 64MP (6944x9280 พิกเซล) และการถ่ายภาพมุมกว้างในโหมด PANO

และโหมดถ่ายภาพระยะใกล้แบบ Ultra-Macro โดยสามารถถ่ายในระยะใกล้สุดที่ 3 เซนติเมตร

สำหรับโหมด Expert กับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด ก็มีให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน

การถ่ายวิดีโอบน realme X50 Pro 5G สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ 4K UHD (30 fps) พร้อมซูมได้สูงสุดที่ 20 เท่า (20x)

รองรับการโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady พร้อมโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Real-Time Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)

รวมถึงการใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ

และโหมด AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%

พร้อมรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE ที่สามารถซูมภาพได้สูงสุด 20 เท่า (20x) และฟังก์ชัน SLO-MO ที่ 960 fps

realme X50 Pro 5G มีกล้องหน้าคู่ฝังบนจอแบบ Dual In-Display Selfie ความละเอียด 32 + 8 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.5 + F/2.2

โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ได้แก่ การถ่ายภาพเซลฟี่แบบ Ultra-Wide ในมุมกว้างสุดที่ 105 องศา (0.6x), เปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, การเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ, สัดส่วนภาพถ่าย, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และการตั้งค่าอื่นๆ

กล้องหน้าของ realme X50 Pro 5G รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งในแต่ละส่วนสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30%)

สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)

พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ

และใช้งานร่วมกับ AI Beauty

รวมถึงการถ่ายเซลฟี่มุมกว้างโหมด PANO

และรองรับการถ่ายภาพในเวลากลางคืนด้วยโหมด Nighscape 3.0 ทั้งในมุมปกติ และมุมกว้างแบบ Ultra-Wide

พร้อมทำงานร่วมกับ AI Beauty

การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ realme X50 Pro 5G รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p พร้อมถ่ายในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide รองรับการโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady

และรองรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Real-Time Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ

และโหมด AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 40%)

รวมถึงรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE และ SLO-MO Selfie

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียดระดับ 64+8+12+2 ล้านพิกเซล ของ realme X50 Pro 5G

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Dazzle Color

ภาพถ่ายมุมกว้างในโหมด Ultra-Wide

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Dazzle Color

ภาพถ่ายมุมกว้างในโหมด Ultra-Wide

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Dazzle Color

ภาพถ่ายมุมกว้างในโหมด Ultra-Wide

ภาพถ่ายในโหมด Ultra Macro

ภาพถ่ายในโหมด Portrait พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty

ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Nightscape 3.0

ภาพถ่ายกลางคืนในโหมด Nightscape 3.0 มุมกว้างแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Nightscape 3.0

ภาพถ่ายกลางคืนในโหมด Nightscape 3.0 มุมกว้างแบบ Ultra-Wide

ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Nightscape 3.0

ภาพถ่ายกลางคืนในโหมด Nightscape 3.0 มุมกว้างแบบ Ultra-Wide

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าคู่ฝังบนจอแบบ Dual In-Display Selfie ความละเอียด 32+8 ล้านพิกเซลของ realme X50 Pro 5G

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายในโหมด AI Beauty ระดับ 30%

ภาพถ่ายในโหมด AI Beauty ระดับ 100%

ภาพถ่ายในโหมด Portrait พร้อมเปิด AI Beauty

ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Nightscape 3.0

ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Nightscape 3.0 มุมกว้างแบบ Ultra-Wide

สรุปผลการทดสอบของ realme X50 Pro 5G

จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นพอจะสรุปได้ว่า realme X50 Pro 5G เป็นเรือธงที่น่าสนใจด้วยความสามารถในการ เชื่อมต่อเครือข่าย 5G ด้วยชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นล่าสุดอย่าง Qualcomm Snapdragon 865 ที่ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 7nm พร้อมติดตั้งเสารับสัญญาณเอาไว้ 12 ตัว รอบตัวเครื่องแบบ 360 องศา ซึ่งช่วยรับสัญญาณได้ดีกว่าสมาร์ทโฟน 4G ถึง 200% โดยเสารับสัญญาณเหล่านี้มีหน้าที่ในการรับคลื่นเครือข่าย 5G, Wi-Fi 6 และการเชื่อมต่อแบบ Dual Wi-Fi Acceleration ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz พร้อมกัน เรียกได้ว่าเพิ่มความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้นไปอีกระดับ

โดยทำงานร่วมกับ RAM แบบ LPDDR5 เวอร์ชันใหม่ ขนาดจุใจ 12GB ที่สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด จับคู่กับหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) มาตรฐาน UFS 3.0 ที่รองรับเทคโนโลยี Turbo Write + HPB จึงช่วยให้การอ่านข้อมูลต่างๆ รวดเร็วยิ่งขึ้น กับขนาดของ ROM ที่ใหญ่ถึง 256GB นี้ แม้จะไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card แต่ก็สามารถเก็บไฟล์ข้อมูลไฟล์ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน หรือเกมได้แบบเต็มที่

อีกหนึ่งจุดเด่นของ realme X50 Pro 5G คือแบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 4200 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่สุดในวงการแบบ 65W SuperDart Charge (10V/6.5A) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลา 35 นาที โดยช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังติดตั้งชิปตรวจสอบความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5 จุด (Five-core Chip) เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงอแดปเตอร์จ่ายไฟแบบ GaN (GaN Nitride) ที่สูญเสียกำลังในการจ่ายไฟน้อยกว่า จึงช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่มีความเสถียร และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง realme X50 Pro 5G ก็มี โหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย realme UI ที่มาพร้อมการปรับโฉม User Interface และไอคอนแบบใหม่ รวมถึงฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อย่างเช่น Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำเพื่อความสบายตาขณะใช้งาน และ Focus Mode สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาธิ หรือเข้านอน โดยทำการปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ รวมถึงรองรับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant ที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง และยังมีบริการ Google Lens บริการ ค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย

ด้านการดีไซน์ realme X50 Pro 5G ก็พรีเมียมโดดเด่น ด้วยหน้าจอไร้ขอบ ไร้รอยบาก พร้อมติดตั้งกล้องหน้าคู่ฝังไว้บนจอแบบ Dual Punch-Hole Display เทคโนโลยี Super AMOLED E3 ขนาด 6.44 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 กับพื้นที่การแสดงผลทั้งหมด 92% คมชัดระดับ Full HD+ รองรับมาตรฐาน HDR10+ พร้อม DCI-P3  โดยมีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz และ Sampling Rate ระดับ 180Hz จึงสามารถเล่นเกมที่เน้นกราฟิกสามมิติได้อย่าง ลื่นไหลกว่าที่เคย และสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงรองรับ เทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint) ที่ใช้เวลาในการปลดล็อกเพียง 0.27 วินาที

สำหรับด้านหลังตัวเครื่องได้แรงบันดาลใจมาจากสสารต่างๆ ในจักรวาลกับการผลิตแบบ AG Technology พร้อมค่าความขุ่น 25% และความขรุขระ 0.15 µm รวมถึงมีค่าความเปล่งแสงน้อยกว่า 1% เพื่อให้ได้ผิวสัมผัสแบบด้านจับถนัดมือ จึงช่วยป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือ โดยมีการติดตั้งกล้องทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) แบ่งออกเป็นกล้องหลักความละเอียด 64MP พร้อมกล้อง Ultra-Wide Angle คมชัด 8MP ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 119 องศา ที่สามารถถ่ายภาพแบบ Ultra Macro ระยะใกล้สุดที่ 3 เซนติเมตร, กล้อง Telephoto คมชัด 12MP รองรับการซูมไกลสุด 20x Hybrid Zoom และกล้อง B&W Portrait โดยรองรับโหมดถ่ายภาพกลางคืน NightScape 3.0 เวอร์ชันใหม่, โหมด Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้, เทคโนโลยี AI Beauty และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide, Real-Time Bokeh Effect, โหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady และ SLO-MO ที่ระดับ 960fps

realme X50 Pro 5G ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยฟังก์ชันสำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ขณะเล่นเกม พร้อมกับฟีเจอร์ Graphics Acceleration ในการรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถเล่นเกมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเกมที่เน้นกราฟิกได้แบบไม่มีสะดุด

สำหรับ realme X50 Pro 5G เปิดราคาทางการในประเทศไทยที่ 28,990 บาท กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ Moss Green และ Rust Red โดยจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป ทั้งที่ร้าน realme Brand Shop และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ พร้อมรับฟรีของแถมมูลค่ารวม 9,999 บาท

นอกจากนี้สำหรับลูกค้า AIS และ TrueMove H สามารถสั่งซื้อ realme X50 Pro 5G ในราคาพิเศษเริ่มเพียง 19,990 บาท เพียงสมัครใช้งานแพ็กเกจตามที่เงื่อนไขกำหนด พร้อมรับของแถมมูลค่า 9,999 บาทฟรีเช่นกัน

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme X50 Pro 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ realme X50 Pro 5G

- ชิปเซ็ตประมวลผล (CPU) Qualcomm Snapdragon 865 แบบ Octa-Core Processor ที่มีความเร็ว 2.84 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 650 - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 3.0 ความจุ 256GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย realme UI กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) > กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Samsung GW1 ขนาด 1/1.72 นิ้ว โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ มีขนาดรูนับแสงที่ F/1.8 เก็บภาพมุมกว้างสูงสุด 78.6 องศา มีทางยาวโฟกัส 26mm > กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ ที่มีขนาดรูรับแสง F/2.3 เก็บภาพมุมกว้างสุด 119 องศา พร้อมถ่าย Macro ระยะใกล้สุดที่ระยะ 3 เซนติเมตร มีทางยาวโฟกัส 15.7mm > กล้องตัวที่สามแบบ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ ที่มีขนาดรูรับแสง F/2.5 มีทางยาวโฟกัส 54mm รองรับ Optical Zoom 5 เท่า และ Hybrid Zoom 20 เท่า > กล้องตัวที่สี่แบบ B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.4 เก็บภาพมุมกว้างสูงสุด 88.8 องศา รองรับการซูมสูงสุด 20x Hybrid Zoom พร้อมโหมดถ่ายภาพกลางคืน NightScape 3.0 เวอร์ชันใหม่ และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide, Real-Time Bokeh Effect, UIS Stabilization และ SLO-MO ที่ระดับ 960fps กล้องดิจิทัลด้านหน้าคู่ฝังบนจอแบบ Dual In-Display Selfie > กล้องตัวหลักความละเอียด 32 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX616 โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ รูรับแสงขนาด F/2.5 > กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ มีรูรับแสงขนาด F/2.2 สามารถถ่ายภาพเซลฟี่มุมกว้างสุดที่ 105 องศา โดยรองรับเทคโนโลยี AI Beauty, โหมด Portrait พร้อม Bokeh Effect, โหมด NightScape 3.0 และฟังก์ชันการถ่ายวิดีโอแบบ Slo-mo Selfie รวมถึง Real-Time Bokeh Effect Video - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint 3.0) ที่สามารถปลดล็อกหน้าจอได้ในเวลาเพียง 0.27 วินาที - ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) - ฟังก์ชัน App Encryption และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kids Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก - ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ - แบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 65W SuperVOOC Flash Charge 2.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 35 นาที - การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ - โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก - Multiple Mode สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง - ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม - ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ - ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้สาย - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 5G / 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11 a/b/g/n/ac : 2.4GHz / 5.0GHz), Bluetooth 5.1 และ NFC - รองรับพอร์ต USB Type-C 3.1

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ realme X50 Pro 5G

- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ เพิ่มเติม - ไม่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย - ตัวเครื่องมีน้ำหนักพอสมควร และไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น

Leave a Comment