รีวิว Vivo Y11 สมาร์ทโฟนแบตอึดรุ่นประหยัด พร้อมกล้องคู่ สเปกครบถูกใจ และจอใหญ่คมชัด ในราคาไม่ถึง 4 พันบาท :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟนแบตอึดรุ่นประหยัด พร้อมกล้องคู่, สเปกครบถูกใจ และจอใหญ่คมชัด ในราคาไม่ถึง 4 พันบาท ด้วยจอ Halo FullView Display ใหญ่ 6.35 นิ้ว, แบตเตอรี่อึดจุใจ 5000 mAh, กล้องคู่ AI Dual Camera ผสานกล้องหน้า AI Face Beauty, ชิปเซ็ต Snapdragon 439, ROM 32GB+RAM 3GB และเซนเซอร์สแกนนิ้ว บนบอดี้เงางามไล่เฉดสี ในราคาประหยัดคุ้มค่าเพียง 3,999 บาท

1 พฤศจิกายน 2019 - หลังจากการเปิดตัวของ Vivo Y17 และ Vivo Y12 เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุดทาง Vivo ประเทศไทย ก็ได้ส่งอีกหนึ่งน้องใหม่อย่าง Vivo Y11 เข้ามาทำตลาดในบ้านเราเพิ่มเติมแล้ว กับจุดเด่นประจำตระกูลอย่าง แบตเตอรี่ขนาดใหญ่จุใจ 5000 mAh

Vivo Y11 มีการดีไซน์ตัวเครื่องตามแบบฉบับของสมาร์ทโฟนตระกูล Y-Series ด้วยจอไร้ขอบทรงหยดน้ำแบบ Halo FullView Display ขนาดใหญ่ 6.35 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.3:9 กับความคมชัดระดับ HD+ (720x1544 พิกเซล) บนตัวเครื่องเงางามคล้ายกระจกแบบ Mirror Finish พร้อมการไล่เฉดสีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอัญมณี ซึ่งช่วยเพิ่มความพรีเมียมให้กับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี

ด้านสเปก Vivo Y11 ชูโรงที่ แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมระบบ AI ที่ช่วยจัดการพลังงาน ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องตลอดวัน และประมวลผลด้วย ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 439 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ประกบหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 505 จับคู่ RAM ขนาด 3GB พร้อม ROM ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกด้วยการ์ดแบบ microSD ได้อีก 256GB โดยทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับด้วย Funtouch OS เวอร์ชันที่ 9.1

Vivo Y11 มาพร้อมกับกล้องหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ที่มีความละเอียด 13 + 2 ล้านพิกเซล โดยมีระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF, โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait Bokeh) และโหมดหน้าสวย (AI Face Beauty) ที่ปรับได้ 6 ระดับ ส่วน กล้องหน้าคมชัดที่ 8 ล้านพิกเซล ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี AI Face Beauty เช่นเดียวกัน

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า Vivo Y11 มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่หลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียมเทียบชั้นรุ่นพี่ หรือกล้องหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) รวมไปถึงฟีเจอร์ครบครัน กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยสุดประหยัดที่ 3,999 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชม รีวิว Vivo Y11 พร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

Vivo Y11 มาในแพ็กเกจสีขาวสะอาดตา พร้อมระบุชื่อรุ่น ความจุตัวเครื่อง และจุดเด่นอย่างแบตเตอรี่ 5000 mAh ไว้อย่างชัดเจน

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์ 5V/2A, สายเชื่อมต่อแบบ microUSB, เคสใส, เข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้แถมหูฟังมาให้ในกล่อง

ภาพตัวอย่างการสวมใส่เคสใสที่แถมมาให้ภายใน แพ็กเกจ

Vivo Y11 มาพร้อมหน้าจอแสดงผล LCD Halo FullView Display ขนาด 6.35 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.3:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 89% ความละเอียดระดับ HD+ (720x1544 พิกเซล : 268 ppi) และครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D บนตัวเครื่องมีขนาด 159.43x76.77x8.92 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 190.5 กรัม

ที่ด้านบนมีรอยบากทรงหยดน้ำ สำหรับกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/1.8 และรองรับเทคโนโลยี AI Face Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ พร้อมลำโพงสนทนาที่ด้านบน และติดตั้งเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซ็นเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

พร้อมกับรองรับระบบสแกนใบหน้าแบบ Face Access ในการปลดล็อกตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งสามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย

ที่ด้านบนของตัวเครื่องไม่มีปุ่มสั่งการใดๆ

ที่ด้านล่างประกอบด้วยช่องสำหรับเชื่อมต่อหูฟัง ขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ microUSB และลำโพงเสียงภายนอก

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ที่ความจุสูงสุด 256GB ได้ในเวลาเดียวกัน

ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง

Vivo Y11 มีตัวเครื่องดีไซน์เงางามคล้ายกระจกแบบ Mirror Finish พร้อมการไล่เฉดสีเล่นกับแสงที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอัญมณี โดยตัวเครื่องที่ทางทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันเป็นสีแดง (Agate Red)

กล้องตัวหลักที่ด้านหลังของ Vivo Y11 เป็นแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 13 + 2 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.2 + F/2.4 ซึ่งรองรับระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF, การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait Bokeh) พร้อมโหมดหน้าสวยที่เลือกได้ถึง 6 ระดับ

ส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) สำหรับปลดล็อกตัวเครื่องจะอยู่ถัดลงมาที่ตรงกลางด้านล่าง

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

Vivo Y11 ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 9.0 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1 และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด (Dual 4G)

มีหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB และหน่วยความแรม (RAM) ขนาด 3GB

เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวได้อย่างง่ายดาย ด้วยการกดปุ่มไอคอน X ที่ด้านล่าง

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับการแสดงแจ้งเตือนต่างๆ และเมื่อลากจากขอบด้านล่างของหน้าจอจะพบกับ Shortcut Center ที่มีปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย

นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งตำแหน่งของ คีย์ลัดเองได้ด้วย

เมื่อปัดไปทางขวาจากหน้าโฮม จะเจอกับหน้า Card พื้นที่การแสดงข้อมูลต่างๆ และคอยแนะนำฟีเจอร์ อย่างเช่น สภาพอากาศปัจจุบัน, จำนวนก้าว หรืออีเวนท์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

รวมทั้ง Shortcuts ทางลัดเข้าถึงแอปพลิเคชัน และเครื่องมือต่างๆ เช่น Speed up สำหรับเข้าสู่แอปพลิเคชัน Google, การเคลียร์พื้นที่หน่วยความจำ RAM, เครื่องคิดเลข หรือบันทึกเสียง เป็นต้น

เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการ ปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget และเอฟดฟ็กต์ในการเลื่อนหน้าจอที่ต้องการได้

มีบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐานก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Calculator, Recorder, Compass, Feedback และ FM Radio

แอปพลิเคชัน i Manager เครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการล้างพื้นที่ (การเคลียร์แรม), ตั้งค่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแต่ละแอปพลิเคชัน หรือการจำกัดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

Vivo Y11 สามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอได้อย่างหลากหลาย ได้แก่ การปรับความสว่างแบบอัตโนมัติ, โหมด Eye Protection และการปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอที่เลือกระดับได้ตามที่ต้องการ

สามารถเลือกตั้งค่าการแสดงผลแบบปกติ หรือแบบ Dark Mode ที่จะปรับพื้นหลังให้เป็นสีดำได้

และด้วยดีไซน์ของ Vivo Y11 ที่เป็นแบบ Halo FullView Display ในอัตราส่วน 19.3:9 จึงสามารถปรับให้บางแอปพลิเคชันสามารถแสดงผลในสัดส่วนแบบเต็มหน้าจอได้ด้วย

และเลือกการแสดงผลของรอยบากที่ด้านบนในแต่ละแอ ปพลิเคชันได้

สามารถเปลี่ยนธีม และภาพพื้นหลังได้

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน รวมถึงปรับเฉดสีแทบ Navigation ได้

หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Navigation Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการ พร้อมกับเลือกสไตล์ของ Navigation Gestures ได้ 2 รูปแบบ หรือไม่แสดงปุ่มใดๆ

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยของ Vivo Y11 มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ

และระบบการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Access) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น

สำหรับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ มาให้ใช้งานบน Vivo Y11 ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย โหมด Smart Wake, Smart turn on/off screen และ Smart Callซึ่ง Smart Wake เป็นการวาดตามรูปแบบต่างๆ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น การวาดตัวอักษร C เพื่อเข้าสู่ฟังก์ชันการโทรศัพท์ หรือการวาดตัวอักษร m เพื่อเข้าสู่แอปพลิเคชัน i Music สำหรับฟังเพลง

Smart turn on/off screen การเปิด-ปิด หน้าจอแบบอัจฉริยะ โดยสามารถตั้งค่าให้หน้าจอติดเมื่อยกตัวเครื่องขึ้น หรือสัมผัสหน้าจอ 2 ครั้งติดกันเพื่อเป็นการล็อกหน้าจอ และ Smart Call การโทรอัจฉริยะ

Vivo Y11 ยังมาพร้อมระบบผู้ช่วยอัจฉริยะใหม่ล่าสุดอย่าง Jovi AI Assistant ที่รองรับฟังก์ชัน Smart Camera ด้วยเทคโนโลยี Smart Face Beauty ในการปรับโครงหน้าได้ทุกส่วนตามที่ต้องการด้วยปัญญาประดิษฐ์ และ Smart Scene เพื่อให้จัดการตารางเวลาได้ง่ายขึ้น รวมถึงแจ้งเตือนข่าวสารต่างๆ และการพยากรณ์อากาศ

Vivo Y11 มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุมากถึง 5000 mAh พร้อมระบบจัดการพลังงานภายในเครื่อง และโหมดประหยัดพลังงาน Low Power Mode ที่เมื่อเปิดใช้งานแถบแบตเตอรี่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

และโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุดแบบ Super Power-Saving Mode ที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานตลอดวัน แต่แลกกับการใช้งานได้เฉพาะฟังก์ชันพื้นฐานเท่านั้น

ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน

Vivo Y11 มาพร้อมฟังก์ชันเอาใจสายโซเชียลอย่าง App Clone สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

รวมถึงการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Easy Touch ปุ่มเมนูลัดต่างๆ

สำหรับบริการ vivoCloud ก็มีให้ใช้งานบน Vivo Y11 เช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้สามารถสำรองข้อมูลต่างๆ ภายในตัวเครื่อง เช่น ข้อความ SMS, รายชื่อผู้ติดต่อ และบุ๊คมาร์คของเว็บเบราวเซอร์ ไปยังระบบคลาวอินเทอร์เน็ตของ Vivo ได้

Vivo ได้ทำการรวบรวมแอปพลิเคชันเด่นมาให้ได้ดาวน์โหลดบน Vivo Y11 กันผ่านทาง Vivo App Store

ฟังก์ชัน Smart Split สำหรับแบ่งหน้าจอการใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน โดยเน้นไปที่แอปพลิเคชันเกี่ยวกับ Message โดยสามารถตอบแชทได้โดยไม่ต้องออกจากหน้าแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่

และสำหรับฟังก์ชัน Screen-Split ที่แบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน สามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ

ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน Screen-Split ที่รองรับทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน

สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการกดปุ่ม Power พร้อมกับปุ่มลดเสียง หรือลาก 3 นิ้ว จากบริเวณด้านล่างหน้าจอไปยังด้านบน

และยังสามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย

ตัวอย่างการบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาว

Vivo Y11 รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน i Music พร้อมเทคโนโลยี DeepField สำหรับช่วยขับเสียงร้องให้มีความชัดเจน พร้อมปรับเสียงเบสให้มีอิมแพคมากยิ่งขึ้น

และสามารถปรับค่า Equalizer ได้

ทางด้านอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้ หลักๆ 2 แบบ คือ แสดงแบบแยกอัลบั้ม กับแบบรวมภาพถ่ายทั้งหมด

ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งาน ได้ดี ไหลลื่น และสามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องครบถ้วน

โดยสามารถเลือกให้แสดงผลแบบปกติ และแบบ Night Mode รวมถึงตั้งค่า Ad Blockers สำหรับปิดการรบกวนจากโฆษณาต่างๆ บนเว็บไซต์

รวมทั้งยังมีโหมดการใช้งานมือเดียว ซึ่งเป็นการปรับขนาดของแผงตัวเลขโทรศัพท์, แป้นพิมพ์รหัสผ่านให้เล็กลง ซึ่งช่วยให้ใช้งานมือถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสะดวกขึ้น

นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google บน Vivo Y11 ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่มโฮมบนหน้าจอ ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง

รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย

Vivo Y11 ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง Privacy and App Encryption สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง รวมถึง File Safebox ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Vivo Y11 นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor

สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 35 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 6 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง

Vivo Y11 มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 439 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.0 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 505, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้อีก 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1

Vivo Y11 มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 95,690 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 4 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 886 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 3,228 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 446 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 494 คะแนน

Vivo Y11 รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

อีกหนึ่งไฮไลท์ของ Vivo Y11 คือ ฟังก์ชัน Ultra Game Mode ซึ่งเป็นโหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น การโชว์เบอร์โทรสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอัปเท่านั้น ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนา

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Lineage 2 Revolution และ The King of Fighters ALL STAR ก็พบว่า Vivo Y11 นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้ค่อนข้างดี แต่ก็มีอาการหน่วง กระตุก และการสะสมความร้อนให้เห็นบ้าง

Vivo Y11 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD Halo FullView Display ความละเอียดระดับ  HD+ และมีอัตราส่วนแบบ 19.3:9 จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ HD 720p ได้อย่างเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ

การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

Vivo Y11 มาพร้อมกับกล้องหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 13 + 2 ล้านพิกเซล โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือก เปิด-ปิด ไฟแฟลช และโหมด HDR ได้

รวมถึงเมนูที่ด้านล่างอย่าง การตั้งเวลาถ่ายภาพ, Filter, Portrait Bokeh และสัดส่วนภาพถ่ายแบบ Full Screen

การถ่ายภาพในโหมด Portrait Bokeh สามารถปรับค่าความเบลอได้ระหว่าง F0.95 - F16 และสามารถปรับเลือกจุดโฟกัสใหม่ รวมถึงค่าความเบลอในภายหลังได้ด้วย

รวมถึงโหมด AI Beauty ที่สามารถเลือกปรับได้ถึง 6 ระดับ พร้อมปรับค่า Skin Tone

และรองรับการถ่ายภาพมุมกว้างในโหมด PANO

รวมถึงการถ่ายในโหมด Pro ที่มาพร้อมกับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด

การถ่ายวิดีโอบน Vivo Y11 สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p

พร้อมฟังก์ชันการถ่ายวิดีโอแบบ SLO-MO และ Time Lapse

ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้ามาพร้อมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที และสามารถปรับค่าต่างๆ ได้ที่เมนูตั้งค่า ได้แก่ เปิด-ปิด ไฟแฟลชหน้าจอ และโหมด HDR ได้

รวมถึงการจับเวลาถ่ายภาพ, เลือก Filter และถ่ายเซลฟี่ในสัดส่วน Full Screen

กล้องหน้าของ Vivo Y11 มาพร้อมเทคโนโลยี AI Face Beauty ที่สามารถเลือกปรับแต่งความสวยแได้เองถึง 6 ระดับ พร้อมปรับค่า Skin Tone

ฟังก์ชันสำหรับถ่ายเซลฟี่ในมุมกว้างแบบ PANO ก็มีให้ใช้งานบน Vivo Y11 ด้วยเช่นกัน

การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ Vivo Y11 สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียดระดับ 13+2 ล้านพิกเซล ของ Vivo Y11

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด Beauty ระดับ 3

ภาพถ่ายจากโหมด Beauty ระดับสูงสุดที่ 6

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh

ภาพถ่ายในเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลของ Vivo Y11

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด Beauty ที่ระดับ 3

ภาพถ่ายจากโหมด Beauty ที่ระดับ 6

ภาพถ่ายจากโหมด Beauty ที่ระดับ 3 พร้อมปรับค่า Skin Tone ที่ระดับ 50%

ภาพถ่ายจากโหมด Beauty ที่ระดับ 3 พร้อมปรับค่า Skin Tone ที่ระดับ 100%

สรุปผลการทดสอบของ Vivo Y11

จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นก็พอจะกล่าวได้ว่า Vivo Y11 เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นเล็กราคาประหยัดที่น่าสนใจ ด้วย แบตเตอรี่ที่ให้มามากถึง 5000 mAh จึงสามารถใช้งานได้ตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็น เล่นเกม, ดูภาพยนตร์เรื่องโปรด หรือใช้งานทั่วไป อีกทั้งยังมาพร้อมกับ ระบบ AI ที่ช่วยจัดการพลังงาน ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้แบบต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวัน

Vivo Y11 ยังมาพร้อม หน้าจอขนาดใหญ่เต็มตาที่ 6.35 นิ้ว กับดีไซน์แบบไร้ขอบอย่าง Halo FullView Display ในอัตราส่วนแบบ 19.3:9 คมชัดที่ระดับ HD+ (720x1544 พิกเซล) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ HD 720p ได้อย่างเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D บนตัวเครื่องเงางามคล้ายกระจกแบบ Mirror Finish พร้อมการไล่เฉดสีเล่นกับแสงในมุมตกกระทบ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัญมณี ซึ่งช่วยเสริมให้ตัวเครื่องมีความพรีเมียมมากขึ้น

ด้านสเปกภายในของ Vivo Y11 ประมวลผลด้วย ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 439 แบบ 8-แกน (Octa-Core) พร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 505 ประกบกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB ที่เพียงพอต่อการใช้งานในระดับเบื้องต้น และมีหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB จึงสามารถเก็บไฟล์ข้อมูล, ไฟล์ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน และเกม ได้เพียงพอสำหรับการใช้งานพื้นฐาน รวมถึงหมดปัญหาการเลือกใช้งานในช่องซิมการ์ดที่ 2 เนื่องจาก Vivo Y12 มาพร้อมกับถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ที่สามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ด + 1 microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน โดยทำงานอยู่บน ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1 เวอร์ชันใหม่

สำหรับการถ่ายภาพ Vivo Y11 มากับกล้องตัวหลักที่ด้านหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 13+2 ล้านพิกเซล ที่มีฟีเจอร์ครบครันไม่ว่าจะเป็น ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF, โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait Bokeh) ที่สามารถปรับค่ารูรับแสงได้ตั้งแต่ F0.95 - F16 ทั้งก่อน และหลังถ่ายภาพ , โหมดหน้าสวย (AI Face Beauty) ที่ปรับได้ 6 ระดับ พร้อมปรับค่า Skin Tone ของสีผิวได้ ส่วน กล้องหน้าคมชัดที่ 8 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเทคโนโลยี AI Face Beauty ช่วยปรับผิวเนียนได้ 6 ระดับ และรองรับฟังก์ชันการสแกนใบหน้า (Face Access) เพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง ที่ทำงานควบคู่กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วทันใจ

และ Vivo Y11 ยังรองรับฟีเจอร์ Ultra Game Mode โหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง ที่ช่วยในการโชว์เบอร์โทรสายเรียกเข้าให้อยู่ในรูปแบบ Pop-up เท่านั้น ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนานั่นเอง

นอกจากนี้ยังรองรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก ในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด (Dual 4G), App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ อย่างเช่น เช่น Facebook หรือ Line ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์ในเวลาเดียวกัน และฟังก์ชัน Screen-Split ในการ ใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชันได้พร้อมกัน รวมถึงสามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้

และ Vivo Y11 ก็ให้ความสนใจในด้านความปลอดภัย ด้วยฟังก์ชันที่ช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่าง Privacy and App Encryption สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง รวมถึง File Safebox ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน อีกด้วย

และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า Vivo Y11 เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัด พร้อมใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน และมีหน้าจอขนาดใหญ่ให้มุมมองกว้างเต็มตาเป็นพิเศษ ที่เน้นไปในด้านความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม หรือชมภาพยนตร์-ซีรีส์เรื่องโปรด

สำหรับ Vivo Y11 เปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่เพียง 3,999 บาท กับตัวเลือก 2 สีได้แก่ สีฟ้า-Mineral Blue และ สีแดง-Agate Red ท่านใดที่สนใจ ก็สามารถสั่งซื้อ และแวะเวียนเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้นได้แล้ววันนี้ที่ Vivo Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Vivo ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Vivo Y11 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ Vivo Y11

- ตัวเครื่องดีไซน์เงางามคล้ายกระจกแบบ Mirror Finish พร้อมการไล่เฉดสีเล่นกับแสงที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอัญมณี - บอดี้สีไล่เฉด (Gradient) ที่สามารถสะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ ทั้งหมด 2 ตัวเลือก ได้แก่ สีฟ้า-Mineral Blue และสีแดง-Agate Red - หน้าจอแสดงผล LCD Halo FullView Display ขนาด 6.35 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.3:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 89% ความละเอียดระดับ HD+ (720x1544 พิกเซล) และครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D - ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 439 ความเร็ว 2.0 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 505 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB - รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash) ขนาด 256GB - ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) และ microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน - กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 13+2ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงที่ F/2.2 + F/2.4 รองรับการโฟกัสภาพแบบ PDAF,ฟีเจอร์ HDR, โหมด Portrait Bokeh และ AI Face Beauty ปรับได้ 6 ระดับ - กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.8 โดยรองรับเทคโนโลยี AI Face Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ที่ด้านหลังตัวเครื่อง - ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Access) - ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi AI Assistant - ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานแบบ 3.5 มิลลิเมตร - แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh สามารถใช้งานได้เต็มที่ยาวนานตลอดวัน - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi (2.4GHz) - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของประเทศรัสเซีย, ระบบ Beidou ของประเทศจีน และระบบ GALILEO ของสหภาพบุโรป - ราคา 3,999 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ประหยัดคุ้มค่า เมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Vivo Y11

- หน้าจอแสดงผลมีความละเอียดเพียงแค่ระดับ HD+ - ด้านหลังตัวเครื่องมีพื้นผิวแบบกระจกที่มีความมันวาว จึงอาจเกิดคราบเปื้อนหรือรอยนิ้วมือได้ง่าย - ไม่รองรับการใช้งานเครือข่าย Wi-Fi ที่คลื่นความถี่ 5GHz - ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อน เมื่อมีการประมวลผลหนักๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน - ไม่มีหูฟังแถมมาให้ภายในกล่อง - ไม่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว - พอร์ตเชื่อมต่อยังคงเป็นแบบ microUSB

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

Leave a Comment