รีวิว Xiaomi Mi 11 เรือธง Snapdragon 888 รุ่นแรกของโลก พร้อมจอ 120Hz ระดับ A+ ผสานกล้อง 108MP ระดับสตูดิโอ กับพลังชาร์จ 55W และลำโพงคู่ Harman Kardon บนดีไซน์พรีเมียมสุดของค่าย ในราคาจับต้องได้ :: Thaimobilecenter.com

เรือธง Snapdragon 888 รุ่นแรกของโลก พร้อมจอ 120Hz ระดับ A+ ผสานกล้อง 108MP ระดับสตูดิโอ บวกพลังชาร์จ 55W และลำโพงคู่ Harman Kardon บนดีไซน์พรีเมียมสุดของค่าย ในราคาจับต้องได้

28 กุมภาพันธ์ 2021 - เพิ่งจะเข้าสู่ปี 2021 ไปเพียงแค่ 2 เดือน แต่ก็มีสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเด่นเปิดตัวในบ้านเราไปแล้วถึง 2 รุ่น รุ่นแรกคือ Samsung Galaxy S21 Series พระเอกของวงการที่เปิดตัวไปเมื่อกลางเดือนมกราคม และล่าสุดคือ Xiaomi Mi 11 เรือธงแห่งศักราชใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเราไปเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่เราจะนำมารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันในวันนี้ครับ

Xiaomi Mi 11 คือสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดของ Xiaomi และเป็นสมาร์ทโฟน รุ่นแรกของโลก ที่เปิดตัวโดยมากับชิปเซ็ต Snapdragon 888 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย Qualcomm ทำให้กลายเป็นเรือธงที่ถูกจับตามองในด้านของประสิทธิภาพการประมวลผลที่แรง และเร็วกว่ารุ่นอื่น ๆ ในตลาด ณ ตอนนี้ ด้านคุณสมบัติต่าง ๆ ของตัวเครื่องเรียกได้ว่าไฮเอนด์สมฐานะเรือธง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ AMOLED ขนาด 6.81 นิ้ว ความละเอียดระดับ WQHD+ ที่รองรับอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz และการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ ซึ่งจอแสดงผลของ Mi 11 นั้นมีคุณภาพสูงจนได้รับคะแนนระดับ A+ จากสถาบันทดสอบชั้นนำของโลกอย่าง DisplayMate พร้อมครอบทับด้วยกระจกนิรภัย Gorilla Glass Victus , หน่วยความจำ RAM/ROM แบบ LPDDR5 และ UFS 3.1 ความเร็วสูง, แบตเตอรี่ความจุ 4600 mAh ที่รองรับระบบชาร์จไวแบบใช้สายด้วยกำลังไฟสูงสุด 55W และแบบไร้สายที่กำลังไฟสูงสุด 50W , เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และ ลำโพงคู่ ที่ได้รับการปรับจูนจากแบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังอย่าง Harman Kardon

นอกจากดีไซน์ และคุณสมบัติระดับพรีเมียมแล้ว Xiaomi Mi 11 ยังมีคุณสมบัติด้านการถ่ายภาพ และวิดีโอที่โดดเด่นอีกด้วย โดยมากับชุด กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล ที่รองรับโหมดการถ่ายภาพครบครันไม่ว่าจะเป็นโหมดกลางคืน, โหมด Macro, โหมด Ultra Wide, โหมด Clone ไปจนถึงโหมด Portrait ที่มีลูกเล่นหลากหลาย ส่วนการถ่ายวิดีโอก็มากับความสามารถแปลกใหม่ เช่น โหมด Vlog ที่จะใส่เอฟเฟกต์การตัดต่อเท่ ๆ ให้ทันที และโหมดวิดีโอคู่ที่ถ่ายทั้งกล้องหน้า และกล้องหลังพร้อมกัน ซึ่งช่วยให้การสร้างคอนเทนต์ต่าง ๆ ง่ายดาย และรวดเร็วขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

จากคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่แปลกใจเลยที่ Xiaomi Mi 11 จะเป็นเรือธงที่มีกระแสร้อนแรงตั้งแต่ต้นปี และในตอนนี้ Xiaomi Mi 11 ก็ได้มาอยู่ในมือของทีมงาน Thaimobilecenter เรียบร้อยแล้ว เราไปดูกันดีกว่าว่าสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นนี้จะเก่งกาจเทียบชั้นเรือธงรุ่นอื่น ๆ ได้หรือไม่ ใน รีวิว Xiaomi Mi 11 โดยทีมงาน Thaimobilecenter ครับ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

ชุดกล้องหลังของ Xiaomi Mi 11 มีดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และไม่นูนขึ้นมามากจนเกินไป โดยประกอบไปด้วยกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) ดังนี้ :

- กล้องหลัก ( Wide ) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.33 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน (1.6 ไมครอนแบบ 4-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f1.85 และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS - กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และมุมรับภาพ 123 องศา - กล้อง Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ (ระยะโฟกัส 3-10 เซนติเมตร)

ตัวเครื่องของ Xiaomi Mi 11 ค่อนข้างบางเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ โดยปุ่ม Power และปุ่มปรับระดับเสียงจะอยู่ที่ขอบด้านขวา

ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องใส่ซิมการ์ด, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟน และช่องลำโพง

ส่วนด้านบนมีเซ็นเซอร์ IR Blaster, ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และช่องลำโพงอีกด้าน พร้อมสัญลักษณ์ ที่บ่งบอกว่าระบบเสียงได้ผ่านการปรับจูนโดยแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง harman/kardon

ถาดใส่ซิมการ์ดของ Xiaomi Mi 11 เป็นแบบ Dual Slot (หน้า-หลัง) ซึ่งไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ

สำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ให้มาในกล่อง ประกอบด้วย เคสใสป้องกันแบคทีเรีย, อแดปเตอร์หูฟังสำหรับพอร์ต USB Type-C, เข็มจิ้มซิม, คู่มือการใช้งาน, สายชาร์จ USB และอแดปเตอร์ชาร์จไว 55W GaN

เคสใสที่ให้มาสามารถสวมเข้ากับตัวเครื่องได้พอดี และไม่หนาจนเกินไป อีกทั้งยังถอดทำความสะอาดง่ายด้วย

เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์

Xiaomi Mi 11 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12 สำหรับรุ่นที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็นรุ่นความจุ 256GB

หน้าเริ่มต้นมีดีไซน์เรียบง่าย เว้นระยะห่างระหว่างไอคอนต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ไม่อึดอัด ตามไสตล์ของ MIUI

เมื่อปัดจากด้านบนลงมาจะพบกับ แผงแจ้งเตือน ที่รวมการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ และ แถบเมนูลัด ที่รวมฟังก์ชันใช้บ่อยเอาไว้ด้วยกันเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน

Xiaomi Mi 11 มาพร้อมกับชุดแอปพลิเคชันเครื่องมือพื้นฐาน และแอปพลิเคชันของ Google ครบครัน

สำหรับฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการโทรศัพท์นั้นมีการออกแบบอินเทอร์เฟซให้ดู สะอาด และใช้งานง่าย แต่ไม่มีอะไรพิเศษ

เมื่อกดปุ่ม แอปล่าสุด บนแถบนำทาง จะแสดงแอปพลิเคชันที่เปิดทิ้งไว้ทั้งหมด สามารถเลือกสลับแอปขึ้นมาใช้งาน หรือปัดหน้าต่างไปด้านข้างเพื่อปิดแอปก็ได้

เมื่อกดค้างบนที่ว่างของหน้าจอหลัก จะเข้าสู่ โหมดการปรับแต่งหน้า จอ ซึ่งผู้ใช้สามารถย้าย หรือลบแอปพลิเคชันหลายตัวพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถจัดเรียงแถวของแอปพลิเคชัน, เปลี่ยนแอนิเมชันการสลับหน้า, เปลี่ยนหน้าเริ่มต้น และอื่น ๆ

MIUI 12 ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เปลี่ยนแถบนำทางด้านล่างเป็นแบบปุ่ม หรือแบบท่าทางได้ตามถนัด

รวมไปถึงการปรับขนาดของไอคอนแอป และลักษณะการจัดเรียกรายการในหน้าแอปล่าสุด

ส่วนวิดเจ็ตต่าง ๆ ก็มีให้ใช้งานหลากหลายเช่นกัน

Xiaomi ก็เหมือนกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ๆ ที่มีสโตร์ขายวอลเปเปอร์และธีมเป็นของตัวเอง ทุกรายการสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี สำหรับรายการที่เป็นพรีเมียมจะต้องดูโฆษณาก่อนจึงจะดาวน์โหลดได้

มีโหมดกลางคืนให้ใช้งาน ซึ่งจะเปลี่ยนธีมเป็นสีดำเพื่อให้ใช้งานในที่มืดได้โดยไม่ปวดตา โดยสามารถตั้งเวลาเปิด/ปิดอัตโนมัติได้ด้วย

สำหรับ จอแสดงผลแบบเปิดตลอด หรือ Always-On-Display เป็นการแสดงภาพ, เวลา และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะปิดหน้าจอ ช่วยให้ดูเวลา, แบตเตอรีที่เหลืออยู่ และแจ้งเตือนบางอย่างได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของ Always-On-Display ได้หลายแบบตามต้องการ

ผู้ใช้สามารถปรับแต่งโทนสีของหน้าจอได้อย่างอิสระ แต่โทนสีดั้งเดิมที่มาจากโรงงานนั้นเป็นกลาง และสมจริงอยู่แล้ว จึงอาจมองข้ามการตั้งค่าในส่วนนี้ไปก็ได้

Xiaomi Mi 11 สามารถเลือกความละเอียดของหน้าจอได้ 2 ระดับ ได้แก่ FHD+ และ WQHD+ รวมถึงสามารถเปิดใช้อัตรารีเฟรช 120Hz บนความละเอียดระดับ WQHD+ ได้ แต่อัตรารีเฟรช และความละเอียดที่มากขึ้น ก็จะกินแบตเตอรีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ Xiaomi Mi 11 ยังมีฟังก์ชันเพิ่มคุณภาพของรูปถ่าย และวิดีโอโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเฟรมเรตให้ภาพดูลื่นไหลมากขึ้น หรือการแสดงผลแบบ HDR

รวมถึงขนาดของตัวอักษรก็ปรับให้เล็ก-ใหญ่ตามใจชอบได้เช่นกัน

MIUI 12 มาพร้อมกับแอปพลิเคชันสำหรับจัดการไฟล์ในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ, เพลง, ไฟล์ APK หรือไฟล์ใด ๆ ก็ตาม สามารถค้นหาและจัดระเบียบได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปภายนอกมาใช้

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัย Xiaomi Mi 11 รองรับทั้งการสแกนลายนิ้วมือ และการสแกนใบหน้า โดยตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่บนหน้าจอ

ในเมนู คุณลักษณะพิเศษ จะรวมฟีเจอร์อื่น ๆ นอกเหนือจากการตั้งค่าทั่วไป Game Turbo ซึ่งเป็นฟีเจอร์ช่วยเหลือในการเล่นเกมก็อยู่ในนี้เช่นกัน

เมนู พื้นที่ทับซ้อน เป็นฟีเจอร์สำหรับสร้างพื้นที่ในการใช้งานใหม่ที่แยกจากพื้นที่เดิม ไฟล์ และแอปพลิเคชันของแต่ละพื้นที่จะแยกกันต่างหาก เสมือนว่าเรามีโทรศัพท์ 2 เครื่องในเครื่องเดียวนั่นเอง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกพื้นที่การใช้งานส่วนตัว และการทำงานออกจากกันโดยไม่ต้องซื้อมือถือใหม่อีกเครื่อง

แอปพลิเคชัน ความปลอดภัย เป็นแอปพลิเคชันของ MIUI 12 ที่ช่วยจัดการปัญหาจิปาถะต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เช่น ล้างไฟล์ขยะ, เคลียร์ RAM, ค้นหาและปิดแอปที่ใช้พลังงานมาก เป็นต้น

เมนู ตัวทำความสะอาด จะสแกน และลบไฟล์ขยะออกจากเครื่องให้เราโดยอัตโนมัติ เพื่อให้มีที่ว่างในหน่วยความจำมากขึ้น การลบไฟล์เหล่านี้ไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบแต่อย่างใด

เมนู สแกนด้านความปลอดภัย จะตรวจสอบหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในเบื้องต้น และแนะนำวิธีการตั้งค่าที่เหมาะสม

เมนู แบตเตอรี จะแสดงสถานะของแบตเตอรี และสถิติการใช้งานตั้งแต่การชาร์จเต็มครั้งสุดท้าย รวมถึงแนะนำการตั้งค่าเพื่อยืดระยะเวลาการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถเปิดโหมดประหยัดแบตเตอรีที่จะตัดฟังก์ชันบางอย่างออก เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานให้นานขึ้น

เมนู เพิ่มความเร็ว จะแสดงปริมาณของหน่วยความจำ RAM ที่ถูกใช้งานอยู่ในขณะนั้น สามารถกด เพิ่มความเร็ว เพื่อเคลียร์หน่วยความจำทั้งหมดได้ แต่แอปพลิเคชันที่เปิดค้างไว้อาจต้องเริ่มทำงานใหม่ตั้งแต่ต้นเมื่อสลับขึ้นมาใช้งาน

เมนู แอปโคลน เป็นฟีเจอร์ที่สามารถโคลนแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ LINE เพื่อให้ผู้ใช้เล่นได้ 2 บัญชีในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกบัญชีการทำงาน กับบัญชีส่วนตัวออกจากกัน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเผลอโพสต์ผิดบัญชี

เมนู ล็อกแอป เป็นฟีเจอร์สำหรับล็อกแอปพลิเคชันด้วยรหัสผ่าน, ลายนิ้วมือ หรือใบหน้า ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้อีกชั้น

เมนู แก้ปัญหา จะเป็นการตรวจสอบความผิดปกติของสมาร์ทโฟนในเบื้องต้น ทำให้เราทราบอาการแบบคร่าว ๆ ได้โดยไม่ต้องเข้าศูนย์

และเมนู ทดสอบเครือข่าย จะตรวจสอบความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่เรากำลังใช้งานอยู่ในขณะนั้น พร้อมทั้งบอกด้วยว่าแอปพลิเคชันใดดาวน์โหลด/อัปโหลดดาต้าไปเท่าไหร่

รูปถ่าย และวิดีโอ จะถูกเก็บไว้ใน คลังภาพ ซึ่งจะแสดงผลแยกเป็นรายวัน หรือจะเลือกให้แสดงเป็นอัลบั้มก็ได้เช่นกัน

นอกจากจะดูรูปแล้ว ยังสามารถแต่งรูปได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตัดภาพ, แต่งสี, ปรับความสว่าง, ใส่ฟิลเตอร์ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนท้องฟ้าในภาพ

สำหรับการฟังเพลง Xiaomi Mi 11 มีแอปพลิเคชันพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้ว ตัวแอปพลิเคชันไม่ได้แตกต่างจากแอปเล่นเพลงทั่วไป แต่ที่น่าสนใจคือสามารถตัดเพลงได้ด้วย ซึ่งช่วยให้เราตัดเฉพาะท่อนฮุคเพื่อใช้เป็นริงโทนได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องนำไฟล์เข้าคอมพิวเตอร์ แล้วตัดต่อเองให้วุ่นวาย

ส่วนการเล่นวิดีโอ Xiaomi Mi 11 ก็มีแอปพลิเคชันพื้นฐานอยู่แล้วเช่นกัน พร้อมเครื่องมือเสริมอย่างการล็อกการสัมผัสหน้าจอ, บันทึกสกรีนช็อต และแคสต์ภาพขึ้นอุปกรณ์อื่น เป็นต้น

สามารถเลือกขนาด และสีสันของซับไตเติ้ลได้ (ถ้ามี)

และสามารถปรับความเร็วในการเล่น รวมถึงการเล่นซ้ำได้ด้วย (ไม่ซ้ำ, ซ้ำทั้งเพลย์ลิสต์, ซ้ำเพลงเดียว)

หลังจากที่ดูการตั้งค่า และการใช้งานทั่วไปกันแล้ว คราวนี้เราก็มาดูในส่วนของการเล่นเกมกันบ้างครับ

Xiaomi Mi 11 มีฟีเจอร์ช่วยเหลือขณะเล่นเกมที่เรียกว่า Game Turbo ขณะที่อยู่ในเกม ผู้ใช้สามารถเรียกเมนูลัดของ Game Turbo ขึ้นมาได้จากมุมซ้ายบนของหน้าจอ ซึ่งจะมีเมนูสำหรับบันทึกภาพสกรีนช็อต, บันทึกวิดีโอการเล่น, เคลียร์ RAM ด่วน, เปิด/ปิดการแสดงแจ้งเตือน รวมถึงสามารถเปิดแอปอื่น ๆ ขึ้นมาเป็นหน้าต่างลอยได้ นอกจากนี้ยังบอกสถานะการทำงานของ CPU, GPU และค่าเฟรมเรตด้วย

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการเล่นเกมของ Xiaomi Mi 11 เราได้พยายามเลือกเกมที่ได้รับความนิยม และมีกราฟิกระดับสูง ๆ เพื่อทดสอบพลังการประมวลผลของชิปเซ็ต Snapdragon 888 โดยเราได้คัดเลือกท่ 4 เกมด้วยกัน ได้แก่ Genshin Imapct, PUBG Mobile, Call of Duty Mobile และ LoL : Wild Rift โดยตั้งค่ากราฟิกไว้ที่ระดับสูงสุดทุกเกม ดังนี้ :

การตั้งค่ากราฟิกเกม Genshin Impact

การตั้งค่ากราฟิกเกม PUBG Mobile

การตั้งค่ากราฟิกเกม Call of Duty Mobile

การตั้งค่ากราฟิกเกม LoL : Wild Rift

หลังจากที่เราได้ลองเล่นทั้ง 4 เกมอย่างต่อเนื่องราว ๆ 2 ชั่วโมง พบว่า Xiaomi Mi 11 สามารถรันเกมทุกเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยขุมพลังของชิปเซ็ต Snapdragon 888 ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ณ เวลานี้ ทำให้สามารถตั้งค่ากราฟิกระดับสูงสุดได้โดยไม่มีอาการกระตุกแต่อย่างใด แม้กระทั่งเกม Genshin Impact ที่กินทรัพยากรเครื่องมากเป็นพิเศษก็ยังเล่นได้สบาย ๆ โดยที่เฟรมเรตไม่ร่วง ทำให้เราสนุก และอินกับเกมได้อย่างเต็มที่ ส่วนการควบคุม Xiaomi Mi 11 มีการตอบสนองต่อการสัมผัสที่รวดเร็วฉับไว ด้วยอัตรา Touch Sampling ที่สูงถึง 480Hz สำหรับเกมแนว FPS ที่ต้องเคลื่อนที่ และเล็งเป้าอยู่ตลอดเวลาก็ทำได้อย่างแม่นยำ ไม่มีอาการหลอน ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นรบกวนการเล่น ยกเว้นเกม Genshin Impact ที่เครื่องจะร้อนเป็นพิเศษเมื่อเล่นไปสักพัก โดยรวมถือว่า Xiaomi Mi 11 เป็นสมาร์ทโฟนที่เล่นเกมได้อย่างดีเยี่ยม สามารถปรับกราฟิกสูงสุดได้ทุกเกม และเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่รันเกมได้ดีที่สุด ณ เวลานี้ จากพลังของชิปเซ็ต Snapdragon 888 รุ่นใหม่ครับ

Xiaomi Mi 11 ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 888 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.8 GHz มีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 660 , หน่วยความจำแรม RAM ขนาด 8 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256 GB

Xiaomi Mi 11 วัดค่า benchmark จากแอปพลิเคชัน GeekBench 5 ในส่วน Single-Core ได้ 1134 คะแนน และ Multi-Core 3677 คะแนน และจากแอปพลิเคชัน 3DMark ในชุดทดสอบ Wild Life ได้ 5840 คะแนน

และจากการทดสอบด้วย PCMark ด้วยชุดทดสอบ Work 2.0 ทำได้ 10086 คะแนน

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Xiaomi Mi 11 นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันอย่างน้อย 10 จุด

ระบบ GPS สามารถจับสัญญาณดาวเทียมในที่กลางแจ้งได้ดี โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 53 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 7 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสภาพอากาศด้วย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

ในโหมดรูปถ่าย หรือโหมดอัตโนมัติ มี AI วิเคราะห์ภาพถ่ายที่จะระบุประเภทของวัตถุในเฟรม และตกแต่งรูปถ่ายให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ และมีปุ่มลัดสำหรับการซูมให้เรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ สามารถเปิดโหมด Ultra Wide ได้ด้วยการเลือกซูมที่ระยะ 0.6 เท่า นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ และใส่ฟิลเตอร์ได้เหมือนกับโหมดบุคคล หรือโหมด Portrait และสามารถใช้เอฟเฟกต์เบลอได้ด้วย แต่จะไม่เหมือนกับการเบลอฉาก หลังในโหมด Portrait เป็นเพียงการเบลอบริเวณขอบภาพเท่านั้น

สำหรับฟังก์ชันอื่น ๆ สามารถเรียกดูได้โดยกดที่ไอคอน 3 ขีดบริเวณมุมขวาบน ซึ่งได้แก่ ปรับสัดส่วนของรูปถ่าย, ตั้งเวลาถ่าย, แสดงตารางจุดตัด 9 ช่อง, แสดงเส้นปรับระดับ เป็นต้น โดย โหมดซูเปอร์มาโครจะอยู่ในส่วนนี้

ในโหมดภาพบุคคล หรือ Portrait สามารถปรับความเบลอของฉากหลัง, เปิดบิวตี้ และใส่ฟิลเตอร์ได้ แต่ที่พิเศษกว่าการถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติคือมีลูกเล่น เอ ฟเฟ็กต์ภาพยนตร์ ให้ใช้ด้วย

ใน โหมดโปร เราสามารถตั้งค่ากล้องได้ด้วยตนเอง ได้แก่ค่า White Balance (2000K-8000K), ระยะโฟกัส,   Shutter Speed (1/4000-30s), ISO (สูงสุด 6400), ชดเชยแสงได้สูงสุด ±4, เลือกใช้เลนส์ Ultra Wide หรือ Macro และใส่ฟิลเตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะการถ่ายรูปอยู่แล้ว

สำหรับ โหมดกลางคืน เป็นโหมดที่จะทำให้ภาพถ่ายกลางคืนสว่างขึ้น และมีรายละเอียดมากขึ้น โดยสามารถเลือกถ่ายด้วยเลนส์ Ultra Wide ได้

อีกลูกเล่นหนึ่งที่น่าสนใจคือ โหมดการเปิดรับแสงนา น ที่ช่วยให้เราถ่ายรูปเส้นแสงได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วย

สำหรับการบันทึกวิดีโอ Xiaomi Mi 11 สามารถบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 8K สามารถเปิดใช้ฟิลเตอร์, บิวตี้ และเอฟเฟกต์โบเก้ได้ อีกทั้งยังถ่ายวิดีโอแบบซูเปอร์มาโครได้ด้วย

โหมดวิดีโอคู่ คือโหมดที่จะถ่ายวิดีโอพร้อมกันทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง เป็นลูกเล่นใหม่ที่เหมาะกับการถ่าย Vlog ทำคอนเทนต์แนวพาเที่ยว หรือประยุกต์ใช้ในการถ่ายทำรูปแบบอื่น ๆ

นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายภาพและวิดีโอที่น่าสนใจอีกหลายโหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมดซูเปอร์มูนสำหรับถ่ายดวงจันทร์, โหมดโคลน, สโลว์โมชัน เป็นต้น

ในส่วนของกล้องหน้า มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ใช้งานเหมือนกับกล้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์บิวตี้, ฟิลเตอร์ หรือเอฟเฟกต์ภาพยนตร์

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 108+13+5 ล้านพิกเซล

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ

ตัวอย่างภาพถ่ายมาโคร (Super Macro)

ตัวอย่างภาพถ่ายบุคคล (Portrait)

ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดกลางคืน (Ultra Night Mode)

ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดเปิดรูรับแสง

ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดโคลน

ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดซูเปอร์มูน ระยะซูม 30 เท่า (สูงสุด)

ตัวอย่างวิดีโอที่ถ่ายด้วยเอฟเฟกต์ VLOG

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล

สรุปผลการทดสอบของ Xiaomi Mi 11

Xiaomi Mi 11 เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่โดดเด่นสะดุดตามีเอกลักษณ์ตั้งแต่แรกเห็น และเมื่อได้ลองใช้งานแล้วจะค่อย ๆ รู้สึกถึงความพิเศษในตัว เริ่มตั้งแต่ ดีไซน์ที่ใส่ใจในรายละเอียด โดยออกแบบตัวเครื่องให้มีขอบโค้งมนเท่ากันแบบ Quad Curved ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง พร้อมมิติตัวเครื่องที่มีความบางเบา ทำให้จับถนัดมือ และให้ความรู้สึกที่นุ่มนวล แต่ในขณะเดียวกัน ขอบจอก็ไม่โค้งจนเกินไป สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องกลัวมือลั่นเหมือนมือถือขอบโค้งยุคก่อน อีกทั้งชุดกล้องด้านหลังก็จัดวางมาอย่างดี โดยนูนออกมาจากตัวเครื่องน้อยมาก แม้ตัวเซนเซอร์กล้องจะมีขนาดใหญ่ก็ตาม ทำให้ Xiaomi Mi 11 เป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถหยิบขึ้นมาใช้งานได้อย่างคล่องมือ

นอกจากดีไซน์ภายนอก เรื่องประสิทธิภาพการทำงาน Xiaomi Mi 11 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด ด้วยขุมพลังของชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 และหน่วยความจำ RAM/ROM แบบ LPDDR5 และ UFS 3.1 ทำให้ Xiaomi Mi 11 กลายเป็นสมาร์ทโฟนทรงพลังที่รับมือกับงานได้ทุกประเภท แม้จะเป็นงานหนักอย่างการเล่นเกม ก็สามารถปรับกราฟิกสูงสุดได้สบาย ๆ ขณะเดียวกัน Xiaomi Mi 11 ยังมีหน้าจอแสดงผลคุณภาพสูงในระดับ A+ (คะแนนจาก DisplayMate) สามารถแสดงสีสันได้อย่างแม่นยำ คมชัด และลื่นไหลด้วยอัตรารีเฟรช 120Hz พร้อมด้วย ลำโพงเสียงแบบคู่ ที่ได้รับการปรับแต่งเสียงจาก Harman Kardon ทำให้เราสนุก และอินกับหนัง หรือเกมได้มากกว่า อย่างไรก็ดี Xiaomi Mi 11 ยังจัดการความร้อนได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานาน

ในส่วนแบตเตอรี่ของ Xiaomi Mi 11 นั้นมีความจุอยู่ที่ 4600 mAh ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่เหลือเฟือ อีกทั้งชิปเซ็ต Snapdragon 888 และซอฟต์แวร์ MIUI 12 สามารถจัดสรรการใช้พลังงานได้ดี ทำให้ Xiaomi Mi 11 สามารถใช้งานได้นานตลอดทั้งวัน แม้จะไม่ได้ยาวนานเป็นพิเศษ แต่ก็ชดเชยด้วยระบบชาร์จไว 55W Wired Turbo Charging แบบมีสาย และ 50W Wireless Turbo Charging แบบไร้สาย แถมยังใจดีให้อแดปเตอร์ชาร์จไว 55W GaN ใส่มาในกล่องด้วย

ด้านการถ่ายภาพ และวิดีโอ Xiaomi Mi 11 พยายามนำเสนอจุดเด่นด้านการถ่ายวิดีโอด้วยไฟล์คุณภาพสูง และเครื่องมือสร้างเอฟเฟกต์ที่ใช้ง่าย และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะฟิลเตอร์สำหรับวิดีโอที่มีให้เลือกหลายแบบ ช่วยลดขั้นตอนการเกรดสีเมื่อตัดต่อ และเครื่องมือที่ช่วยสร้างเอฟเฟกต์การตัดต่อสวย ๆ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องทำเองให้ยุ่งยาก เหมาะสำหรับผู้ที่ทำคอนเทนต์วิดีโอสั้น ๆ หรือ Vlog ลงบนโซเชียลมีเดีย และด้วยความที่เครื่องมือส่วนใหญ่มาในลักษณะสำเร็จรูป ที่ง่าย และเร็ว จึงเหมาะกับมือใหม่ที่เพิ่งหัดทำคอนเทนต์วิดีโอด้วย ตามคอนเซ็ปต์ของรุ่นอย่าง Movic Magic

สำหรับการถ่ายภาพนิ่ง Xiaomi Mi 11 ทำได้ดีสมฐานะเรือธง และดีพอที่จะเทียบชั้นกับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นอื่น ๆ ในท้องตลาดได้ อีกทั้งยังมีโหมดการใช้งาน และลูกเล่นหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดซูเปอร์มูนสำหรับถ่ายพระจันทร์, โหมดโคลนสำหรับถ่ายคนแบบแยกร่าง, โหมดเปิดหน้ากล้องค้างสำหรับถ่ายเส้นแสง, เอฟเฟกต์แสงภาพยนตร์ที่ใช้ซ้อนกับฟิลเตอร์ได้ หรือโหมดกลางคืนที่ถ่ายด้วยเลนส์ Ultra Wide ได้ เป็นต้น แต่จุดเด่นที่ทีมงานรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ คือความสามารถในการถ่ายภาพมาโครที่คมชัด และมีสีสันสดใส ด้วยกล้อง Telemacro ที่แยกออกมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ โดยมีคุณภาพใกล้เคียงกับกล้องหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสมาร์ทโฟนน้อยรุ่นมากที่จะสามารถทำได้ขนาดนี้

จากที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถกล่าวได้ว่า Xiaomi Mi 11 คือสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับการใช้งานทุกระดับทุกประเภท โดยเฉพาะความบันเทิงเช่นการดูหนัง เล่นเกม และสามารถถ่ายรูป-วิดีโอได้ยอดเยี่ยม โดยมีเครื่องมือสร้างเอฟเฟกต์วิดีโอที่ใช้งานง่าย เหมาะกับคอนเทนต์ครีเอเตอรฺ์ทั้งมือใหม่ และมือโปร โดยมีราคาไม่สูงเกินเอื้อมครับ

สำหรับผู้ที่สนใจ Xiaomi Mi 11 ก็ได้เปิดตัวออกมาด้วยกัน 2 รุ่นความจุ ได้แก่รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 21,990 บาท และรุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 23,990 บาท โดยมีให้เลือก 2 สี ได้แก่สีน้ำเงิน Horizon Blue และสีเทาเข้ม Mignight Grey พร้อมรับสิทธิ์ ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และ ประกันจอแตก 1 ปี ทันที

Xiaomi Mi 11 เปิดให้สั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order) ผ่านช่องทางการจำหน่ายแบบออนไลน์ และออฟไลน์ ตั้งแต่ วันที่ 26 ก.พ. 2564 ถึง 12 มี.ค. 2564 โดยจะได้รับสินค้าตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. 2564 เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าในช่วงเวลาดังกล่าว จะได้รับของแถมเป็น ลำโพงอัจฉริยะ Mi Smart Speaker มูลค่า 1,690 บาท ด้วย

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ Xiaomi ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Xiaomi Mi 11 มาให้ทางทีมงานได้รีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันในโอกาสนี้ด้วยครับ

จุดเด่นของ Xiaomi Mi 11

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Quad Curved Glass Body ซึ่งมีขอบโค้ง 4 ด้าน พร้อมกระจกด้านหน้าแบบ Quad Curved Display ซึ่งเป็นขอบโค้ง 4 ด้านเช่นกัน - กระจกหน้าจอใช้กระจกนิรภัยรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Corning Gorilla Glass Victus - ตัวเครื่องมีความบางเบา พกพาสะดวกคล่องตัว ด้วยขนาด 164.3x74.6x8.06 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 196 กรัม - หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED DotDisplay ขนาด 6.81 นิ้ว ความละเอียดระดับ WQHD+ (3200x1440 พิกเซล) ในอัตราส่วนการแสดงผลแบบ 20:9 พร้อมค่า Refresh Rate สูงสุด 120Hz แบบ AdaptiveSync, ค่า TouchSampling 480Hz, ค่า Contrast Ratio สูงสุด 5,000,000:1, ค่าความสว่างสูงสุด 1,500 nits, รองรับมาตรฐานการแสดงผลแบบ HDR10+, ขอบเขตสี DCI-P3 100%, รองรับการแสดงผลสีแบบ 10-bit, เทคโนโลยี Super Resolution และค่า JNCD 0.38 - เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ (In-Screen Fingerprint Sensor) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (AI Face Unlock) - เซนเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Heart Rate Monitoring) - ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 888 ความเร็ว 2.48 GHz พร้อม 6th Gen Qualcomm AI Engine และ Snapdragon X60 5G Modem - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 660 - โมเด็ม Snapdragon X60 รองรับ 5G - หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 8 GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 128 หรือ 256 GB - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 พร้อมครอบทับด้วย MIUI12 - ฟีเจอร์ Game Turbo ที่สามารถเร่งการประมวลผลตัวเกมให้เร็วขึ้น พร้อมกับบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่าง ๆรวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกม

กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย

> กล้องหลัก ( Wide ) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.33 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน (1.6 ไมครอนแบบ 4-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f1.85 และระบบป้องกันการสั่นแบบOIS > กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และมุมรับภาพ 123 องศา > กล้อง Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ (ระยะโฟกัส 3-10 เซนติเมตร)

พร้อม AI Erase 2.0, Night Mode 2.0 (Wide / Ultra wide), Ultra Night Video, One-Click AI Cinema: Magic Zoom, Slow Shutter, Time Freeze, Night Time-lapse, Parallel World, Freeze Frame Video, Cinematic Video Filters, HDR10+ Video, Pro Time-lapse พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอ ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K ที่ความเร็ว 30fps

กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล แบบ In-Display Selfie Camera

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน (1.6 ไมครอนแบบ 4-in-1 Super Pixel) และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ FHD 1080P ที่ความเร็ว 60fps

- แบตเตอรี่ความจุ 4,600 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 55W Wired Turbo Charging (100% ใน 45 นาที) กับ 50W Wireless Turbo Charging และเทคโนโลยี 10W Reverse Wireless Charging - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 5G, 4G/4G+, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.2 พร้อมฟังก์ชัน Dual Headphone/Speaker - รองรับระบบนำทางด้วยดาวเทียม ทั้งระบบ GPS (L1+L5), Galileo E1+E5a, Glonass (G1) และ Beidou - รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nano-SIM) - ลำโพงเสียงแบบคู่ ที่ผ่านการปรับแต่งเสียงจาก Harman Kardon พร้อมรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio) - เทคโนโลยี Voice Isolation - เทคโนโลยีมอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-Axis Linear Vibration Motor - มี 2 สีมาตรฐานให้เลือก (Midnight Gray และ Horizon Blue) - แถมฟรีอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 55W GaN มาพร้อมชุดจำหน่ายมาตรฐาน - ราคาจำหน่ายถือว่าไม่สูง เมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม (ราคา 21,990 บาท สำหรับรุ่น 8GB+128GB และ 23,990 บาท สำหรับรุ่น 8GB+256GB)

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Xiaomi Mi 11

- ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น - ตัวเครื่องยังจัดการความร้อนได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อใช้งานกล้องเป็นเวลานาน - ไม่มีกล้อง Telephoto จึงขาดความสามารถในการซูมแบบ Optical - ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ - กล้องด้านหน้ารองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080P - ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

Leave a Comment