รีวิว OPPO F11 Pro สมาร์ทโฟน Portrait สวยทุกสภาพแสง พร้อมฟีเจอร์สดใหม่ บนดีไซน์สวยเฉียบ ในราคากำลังดี :: Thaimobilecenter.com

สมาร์ทโฟน Portrait สวยทุกสภาพแสง พร้อมฟีเจอร์สดใหม่ บนดีไซน์สวยเฉียบ ด้วยกล้องหลังคู่ AI 48MP ผสานกล้องหน้า Rising Camera แบบสไลด์, จอ Panoramic Screen ไร้ขอบไร้รอยบาก 6.5 นิ้ว, แบตเตอรี่ VOOC Flash Charge 3.0 4000 mAh, ชิปเซ็ต Helio P70 และ RAM 6GB บนตัวเครื่อง 3D Triple Color Gradient ไล่เฉดสีสุดเงางาม ในราคากำลังดีที่ 10,990 บาท

20 มีนาคม 2019 - ล่าสุดก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว สำหรับ OPPO F11 Pro รุ่นต่อยอดจากตระกูล F-Series ของค่าย OPPO ที่มาพร้อมกับการยกเครื่องดีไซน์ใหม่หมดทั้งภายใน และภายนอก ด้วยหน้าจอไร้ขอบ ไร้รอยบากในชื่อ Panoramic Screen ขนาดใหญ่เต็มตา 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความคมชัดระดับ Full HD+ โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 90.9% บนตัวเครื่องเงางามแบบ 3D พร้อมการไล่เฉดแบบ Triple Gradient Color สีใหม่อย่าง Thunder Black และ Aurora Green และใช้งาน กล้องหน้า Rising Camera แบบใหม่ที่สามารถสไลด์ ขึ้น-ลง ได้อย่างอัตโนมัติเมื่อมีการเรียกใช้งาน ทั้งการถ่ายเซลฟี่ และสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกหน้าจอ (Face Unlock)

ภายในตัวเครื่อง OPPO F11 Pro ปรับเปลี่ยนจากเดิมด้วย ColorOS 6.0 เวอร์ชันล่าสุด ที่อยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie กับการปรับดีไซน์ไอคอน และหน้าตา User Interface แบบใหม่หมดจด ซึ่งขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต MediaTek Helio P70 แบบ 8-แกนประมวลผล (Octa-Core) ที่มีความเร็ว 2.1 GHz พร้อมรองรับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP3 และ เทคโนโลยี Hyper Boost ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวม ทั้งในส่วนของแอปพลิเคชัน, ระบบ และเกม ให้ดีขึ้นราว 30% นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant และ Game Space ด้วยเช่นกัน

สำหรับหน่วยความจำแรม (RAM) ให้มาที่ 6GB บวกกับความจุภายในตัวเครื่อง 64GB ที่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้อีก 256GB จึงสามารถเก็บไฟล์ข้อมูล, ไฟล์ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน และเกมได้เพียงพอต่อการใช้งานในระดับพื้นฐาน รวมถึงมีแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จไวแบบ VOOC Flash Charge 3.0 ที่ชาร์จได้ไวกว่าเวอร์ชันก่อนถึง 20% โดยแบตเตอรี่ได้เต็ม 100% ภายในเวลา 80 นาที พร้อมรองรับความปลอดภัยถึง 5 ขั้น เพื่อเสริมมั่นใจให้กับผู้ใช้ เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนาน และไม่ต้องรอการชาร์จแบตเตอรี่นานๆ เหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น

OPPO F11 Pro ยังชูโรงในด้าน การถ่ายภาพ Portrait ในที่แสงน้อย ด้วยกล้องตัวหลักที่ด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียดสูงถึง 48 + 5 ล้านพิกเซล โดยมีเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.25 นิ้ว ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ F/1.79 ซึ่งรองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสมจากทั้งหมด 23 หมวดหมู่ และรองรับฟีเจอร์ Ultra Night Mode ที่เหมือนกับ OPPO R17 Pro

ทางด้านกล้องหน้าสำหรับเซลฟี่ของ OPPO F11 Pro เป็นแบบ Rising Camera ที่สามารถสไลด์ ขึ้น-ลง ได้เองโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเรียกใช้ กับความคมชัดระดับ 16 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ F/2.0 และรองรับเทคโนโลยี Beautification 2.1 ที่สามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่ง ตัวกล้องจะมีกลไลป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยหากกล้องหน้าไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือในกรณีที่เราเปิดกล้องหน้าค้างไว้ แต่ทำเครื่องตก ระบบก็จะทำการเลื่อนเก็บไว้ให้แบบอัตโนมัติ และทาง OPPO เคลมไว้ว่า กล้องหน้า Rising Camera สามารถใช้งานได้นานถึง 6 ปี หากเปิดใช้งานวันละ 100 ครั้ง นอกจากนี้ยังรองรับการปลดล็อกหน้าจอด้วยใบหน้า (Face Unlock) ที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Unlock) อีกด้วย

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า OPPO F11 Pro มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม หรือฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และระบบการถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิม กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 10,990 บาท ที่เท่ากับราคาเปิดตัวของ OPPO F9 รุ่นก่อน ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการ รีวิว OPPO F11 Pro ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

OPPO F11 Pro มาในแพ็กเกจสีขาวแบบเรียบหรู และตัวเครื่องที่ทีมงานนำมารีวิวในวันนี้จะเป็นสี Thunder Black แบบเดียวกับที่หน้ากล่องแพ็กเกจนั่นเอง

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ เคส, อะแดปเตอร์, สายเชื่อมต่อแบบ microUSB, หูฟัง, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด

ภาพตัวอย่างการใส่เคสใสที่มาในแพ็กเกจ

OPPO F11 Pro มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ LTPS TFT Panoramic Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 (พื้นที่การแสดงผล 90.9%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 397 ppi) บนตัวเครื่องขนาด 161.3x76.1x8.8 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 190 กรัม

ที่ด้านบนหน้าจอไม่มีรอยบาก และกล้องหน้าเหมือนกับการดีไซน์ที่ผ่านๆ มา ซึ่งจะมีเพียงลำโพงสำหรับสนทนาเท่านั้น

ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมาพร้อมกับ กล้องหน้า Rising Camera ที่สไลด์ ขึ้น-ลง ได้เองอัตโนมัติ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.0 กับเทคโนโลยี Beautification 2.1 สำหรับเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของใบหน้าผู้ใช้งาน เพื่อนำมาปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสวยงาม (วิเคราะห์ลักษณะใบหน้าของผู้ใช้งานทั้งหมด 137 จุด) โดยสามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ และมีไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน รวมถึงติดตั้ง Proximity Sensor สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับ Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

พร้อมรองรับระบบการสแกนใบหน้า (Face Unlock) ในการปลดล็อกหน้าจอ

นอกจากนี้ยังมีกลไกป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยหากกล้องหน้าไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือในกรณีที่เราเปิดกล้องหน้าค้างไว้ แต่ทำเครื่องตก ระบบก็จะทำการเลื่อนเก็บไว้ให้แบบอัตโนมัติ

ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB และลำโพงเสียงตัวหลัก

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power พร้อมแต้มสีเขียวให้สังเกตเห็นได้อย่างง่าย สำหรับล็อกหน้าจอ, เปิด-ปิด เครื่อง หรือเรียกใช้ Google Assistant และช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid-Slot พร้อมรองรับการสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ด (Dual 4G) โดยในช่องใส่ซิมการ์ดที่สองต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ด กับการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD

ด้านซ้ายมีปุ่มสำหรับปรับระดับเสียง

OPPO F11 Pro มาในดีไซน์ตัวเครื่องเงางามด้วยเทคโนโลยีการเคลือบผิวสัมผัสแบบกระจก (Glossy Design) สะท้อนเล่นกับแสงตามมุมที่ตกกระทบ และการไล่เฉดแบบ Triple Gradient Color ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่าง 3 สี ได้แก่ สีม่วง, สีดำ และสีน้ำเงิน

ที่ด้านหลังตัวเครื่องของ OPPO F11 Pro มีการติดตั้งไฟแฟลช LED พร้อมระบบกล้องคู่ (Dual Camera) เรียงกันในแนวตั้งที่ตรงกลาง โดยมีความคมชัดที่ระดับ 48 + 5 ล้านพิกเซล มีเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.25 นิ้ว รูรับแสงกว้างสุดที่ F/1.79 ซึ่งรองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสมจากทั้งหมด 23 หมวดหมู่ และรองรับฟีเจอร์ Ultra Night Mode สำหรับการถ่ายภาพเวลากลางคืน และยังชูโรงด้านการถ่าย Portrait ในแสงน้อยอีกด้วย ซึ่งถัดลงมาจะเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Unlock) สำหรับตรวจสอบสิทธิ์การเข้าใช้งานเครื่องนั่นเอง

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

OPPO F11 Pro ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 9.0 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.0 เวอร์ชันล่าสุด ที่มาพร้อมกับปรับโฉมดีไซน์หน้า User Interface ใหม่หมดจด โดยรองรับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่อง 64GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB

และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G แบบ Dual 4G LTE

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Swtich ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Centre แถบการแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไอคอนมีดีไซน์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยม

โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ

เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Smart Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่คอยแนะนำฟีเจอร์ และข้อมูลต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้โดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟน เช่น ข้อมูลการออกกำลังกาย, ภาพถ่ายในแต่ละสัปดาห์ หรือรายชื่อผู้ติดต่อที่ติดต่อเป็นประจำ และยังสามารถจัดการแอปพลิเคชันที่แสดงภายในหน้า Smart Assistant ได้ ด้วยการกดเครื่องหมาย + ที่ด้านขวาบน

สามารถเข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงใช้สองนิ้วรูดเข้าหากันในแนวทแยง

และเมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่มไอคอน X ที่ด้านล่าง

สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น รายชื่อผู้ติดต่อ, การบันทึกเสียง, เข็มทิศ, เครื่องคิดเลข, Clone Phone, One-Tap Lockscreen สำหรับล็อกหน้าจอ และ Keep Notes สำหรับบันทึกข้อมูลต่างๆ

สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ปรับความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร และด้วยดีไซน์ของ OPPO F11 Pro เป็นจอไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ Panoramoc Screen ในอัตราส่วน 19.5:9 จึงสามารถปรับให้บางแอปพลิเคชันสามารถแสดงผลในสัดส่วนแบบเต็มหน้าจอได้

รองรับฟังก์ชัน Night Shield สำหรับปรับความสว่างหน้าจอเพื่อให้สบายตาขณะใช้งานในเวลากลางคืน

สามารถเปิด-ปิด ฟังก์ชัน Lockscreen Magazine ในการเปลี่ยนภาพล็อกหน้าจอทุกครั้งที่เปิดการทำงาน และเลือกใช้งานหน้าจอได้ทั้งในโหมดปกติ หรือแบบ Drawer

และเลือกจำนวนการแสดงผลของไอคอนบนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 4x6 และ 5x6

สามารถปรับเปลี่ยนภาพพื้นหลัง (Wallpaper) และธีมของตัวเครื่องได้อย่างอิสระ

สำหรับท่านที่ต้องการใช้งานพื้นหลัง หรือรูปแบบธีมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน Theme Store

แอปพลิเคชัน Phone Manager เครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการเคลียร์ไฟล์แคช (Cache File), จัดการความเป็นส่วนตัว หรือการสแกนไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ตัวเครื่องมีความปลอดภัย และใช้งานได้รวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้

หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe-Up Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ โดยมีให้เลือกใช้งานตามความถนัดถึง 4 รูปแบบ

รวมถึงการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Assistive Ball ปุ่มคีย์ลัดที่สามารถเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งได้ และรองรับฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ

โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน และสามารถเลือกแอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในแถบ Smart Slider ได้

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ

และเมื่อกดค้างที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะปรากฎคีย์ลัด เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

OPPO F11 Pro ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน หรือการแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง และ Smart Call การโทรแบบอัจฉริยะ ที่สามารถตั้งค่าให้รับสาย หรือโทรออกได้อัตโนมัติเมื่อมีการแนบตัวเครื่องกับใบหู รวมถึงการยกหน้าจอเพื่อปิดเสียงขณะมีสายเรียกเข้า

โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้

รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google บน OPPO F11 Pro ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย

ตัวอย่างการใช้งานบริการ Google Lens

OPPO F11 Pro รองรับการใช้งานโหมดประหยัดพลังงาน ที่เมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

OPPO F11 Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ VOOC Flash Charge 3.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นกว่าเวอร์ชันก่อนถึง 20% เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนาน พร้อมทั้งประหยัดเวลาในการชาร์จอีกด้วย

ฟังก์ชัน Quiet Time สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน

OPPO F11 Pro ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Clone Apps สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน App Split-Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี

ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ

ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี ไหลลื่น และสามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องครบถ้วน

OPPO F11 Pro รองรับฟีเจอร์ Multi-screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่จอโทรทัศน์ หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้สาย

สำหรับผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟน OPPO ด้วยกันก็สามารถแชร์ข้อมูลหากันได้ทันทีผ่านระบบ OPPO Share

ทางด้านอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้หลักๆ 2 แบบ คือ รวมภาพถ่ายทั้งหมด และแสดงแบบแยกอัลบั้ม

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน OPPO F11 Pro มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Unlock) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ

และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว

ท่านที่ใช้งาน OPPO F11 Pro เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที

บริการ OPPO Cloud พื้นที่สำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ ก็มีให้ใช้งานบน OPPO F11 Pro ด้วย

OPPO F11 Pro รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dirac ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (ระบบเสียง Dirac จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)

ที่สำคัญ OPPO F11 Pro ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Encryption สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง, Kids Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง OPPO F11 Pro นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor

สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ดี พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 44 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 5 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง

OPPO F11 Pro มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง MediaTek Helio P70 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.1 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP3, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ ColorOS 6.0 เวอร์ชันล่าสุด

OPPO F11 Pro มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 149,796 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 4 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,568 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 5,980 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 1,274 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 1,267 คะแนน

OPPO F11 Pro รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

OPPO F11 Pro ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้

และใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสามมิติอย่าง PUBG Mobile, ROV และ Marvel Future Fight ก็พบว่า OPPO F11 Pro นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก ซึ่งมีการสะสมความร้อนให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ร้อนมากเกินไป จากสารระบายความร้อนที่ติดตั้งไว้ใกล้กับตัว CPU นั่นเอง

OPPO F11 Pro มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ LTPS TFT Panoramic Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 (พื้นที่การแสดงผล 90.9%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 397 ppi) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ

กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

กล้องตัวหลักของ OPPO F11 Pro ที่ด้านหลังเป็นแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล มีเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.25 นิ้ว ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ F/1.79 ซึ่งรองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสมจากทั้งหมด 23 หมวดหมู่ และรองรับฟีเจอร์ Ultra Night Mode โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบง่าย สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน ได้แก่ การเปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, โหมด Dazzle Colour และฟีลเตอร์

และมาพร้อมกับฟังก์ชัน AI Scene Recognition สำหรับในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากทั้งหมด 23 หมวดหมู่

OPPO F11 Pro รองรับโหมดการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) และสามารถปรับการตั้งค่าได้หลายส่วน เช่น สัดส่วนภาพถ่าย, การตั้งเวลาถ่ายภาพ หรือการใส่ลายน้ำ

สำหรับการถ่ายโหมด Night, PANO, Expert พร้อมกับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด ก็มีให้เลือกใช้บน OPPO F11 Pro ด้วยเช่นกัน

การถ่ายวิดีโอบน OPPO F11 Pro สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ Full HD พร้อมฟังก์ชัน SLO-MO และ TIME-LAPSE รวมถึงการใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ

ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้า Rising Camera มีความคมชัด 16 ล้านพิกเซล โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ทั้งการเปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, โหมด Dazzle Colour และฟีลเตอร์

OPPO F11 Pro รองรับเทคโนโลยี Beautification 2.1 สำหรับเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของใบหน้าผู้ใช้งาน เพื่อนำมาปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสวยงาม (วิเคราะห์ลักษณะใบหน้าของผู้ใช้งานทั้งหมด 137 จุด) โดยสามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ

รวมถึงการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ที่สามารถใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้

การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ OPPO F11 Pro รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD และสามารถใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ รวมถึงฟังก์ชัน PANO และ TIME-LAPSE

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล ของ OPPO F11 Pro

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait ในเวลากลางคืน

ภาพถ่ายจากฟังก์ชัน Ultra Night Mode

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้า Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ของ OPPO F11 Pro

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน Beautification 2.1

ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดฟังก์ชัน Beautification 2.1

สรุปผลการทดสอบของ OPPO F11 Pro

จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นพอจะสรุปได้ว่า OPPO F11 Pro เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เริ่มจากการยกเครื่องดีไซน์ใหม่หมดจด ด้วยจอไร้ขอบ ไร้รอยบากในชื่อ Panoramic Screen กับขนาดใหญ่เต็มตา 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 คิดเป็นพื้นที่การแสดงผลทั้งหมด 90.9% ที่ให้มุมมองกว้างเต็มตาแบบพิเศษ ไม่ว่าจะใช้งานทั่วไป ท่องโลกโซเชียล เล่นเกม หรือดูภาพยนตร์เรื่องโปรดก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี โดยไม่มีรอยบาก (Notch) แบบรุ่นก่อนๆ มากวนใจ สำหรับตัวเครื่องใช้เทคโนโลยีการเคลือบผิวสัมผัสเงางามแบบกระจก พร้อมเทคโนโลยีการไล่เฉด Triple Gradient Color แบบใหม่ ในตัวเลือกสี Thunder Black และ Aurora Green

จุดเด่นที่น่าสนใจของ OPPO F11 Pro จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก กล้องหน้า Rising Camera ที่สามารถสไลด์ขึ้น-ลงได้เองโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเรียกใช้งาน กับความคมชัดระดับ 16 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี Beautification 2.1 ที่สามารถปรับค่าผิวสวย และโครงสร้างของใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งผู้ใช้ไม่ต้องกังวลว่ากล้องแบบดังกล่าวจะเสียหายได้ง่าย เนื่องจากทาง OPPO ได้ออกแบบกลไลการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยหากกล้องหน้าไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือในกรณีที่เราเปิดกล้องหน้าค้างไว้ แต่ทำเครื่องตก ระบบก็จะทำการเลื่อนเก็บไว้ให้แบบอัตโนมัติ พร้อมกับเคลมว่ากล้องหน้า Rising Camera สามารถใช้งานได้นานถึง 6 ปี หากเปิดใช้งานวันละ 100 ครั้ง

สำหรับ กล้องหลังแบบคู่ (Dual Camera) ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน กับความละเอียดระดับ 48 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมโดดเด่นในด้าน การถ่ายภาพ Portrait ในที่แสงน้อย ด้วยเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.25 นิ้ว รูรับแสงกว้างสุดที่ F/1.79 ซึ่งรองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสมจากทั้งหมด 23 หมวดหมู่ และรองรับฟีเจอร์ Ultra Night Mode สำหรับการถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ

มาต่อกันที่สเปกภายในกันบ้าง OPPO F11 Pro มาพร้อมกับ ColorOS 6.0 เวอร์ชันล่าสุดของทาง OPPO ที่อยู่บนพื้นฐานของ Android 9.0 Pie เวอร์ชันล่าสุดเช่นกัน โดยมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ไอคอน และ User Interface ไปจากเดิมอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งขับเคลื่อนการทำงานด้วยชิปเซ็ต MediaTek Helio P70 แบบ 8-แกน ประมวลผล ที่มี GPU Mali-G72 MP3 พร้อมรองรับ เทคโนโลยี Hyper Boost ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชัน, ระบบ และเกม ให้ดีขึ้นราว 30% และจับคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB ผสานความจุภายในตัวเครื่อง 64GB ที่พอเหมาะกับการใช้งานในระดับพื้นฐาน แต่หากท่านที่ต้องการใช้งานเพิ่มเติมก็สามารถใส่ microSD Card ได้สูงสุดที่ 256GB แต่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง microSD Card หรือซิมการ์ดที่สอง เนื่องจาก OPPO F11 Pro รองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid-Slot

นอกจากนี้ OPPO F11 Pro ยังมีแบตเตอรี่ความจุมากถึง 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0 ที่รวดเร็วกว่าเวอร์ชันก่อนถึง 20% โดยสามารถชาร์จถึงระดับ 100% ได้ในเวลา 80 นาที เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนาน และช่วยลดระยะเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีระบบความปลอดภัยแบบ 5 ชั้น เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องจะมีความปลอดภัยระหว่างชาร์จแบตเตอรี่อีกด้วย

OPPO F11 Pro ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยฟังก์ชันสำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ขณะเล่นเกม พร้อมกับฟีเจอร์ Graphics Acceleration ในการรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถเล่นเกมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเกมที่เน้นกราฟิกได้แบบไม่มีสะดุด

นอกเหนือจากฟีเจอร์เด่นในด้านบน OPPO F11 Pro ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อรรถประโยชน์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ดแบบ Dual 4G , ฟีเจอร์ Clone Apps ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Facebook หรือ Line ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์, ฟีเจอร์ App Split-Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน, ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้สาย

รวมถึงฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ พร้อม Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ และ Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด รวมถึงการบันทึกภาพหน้าจอแบบยาว พร้อมทั้งฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสำหรับท่านที่เปลี่ยนมาใช้งาน OPPO F11 Pro ด้วยฟังก์ชัน Clone Phone ที่สามารถทำการโอนถ่ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิมได้ทันที นอกจากนี้ยังรองรับ ระบบเสียง Dirac ที่ผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย โดยจำเป็นต้องเชื่อมต่อหูฟังก่อน

OPPO F11 Pro ยังมาพร้อมฟังก์ชันที่ช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วยเช่นกัน ได้แก่ App Encryption สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง และ Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน รวมถึงก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ รวมไปถึงการจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็กโดยเฉพาะอย่าง Kids Space

และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า OPPO F11 Pro เหมาะสำหรับท่านที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ที่มีดีไซน์สวยเทียบชั้นเรือธง และเน้นการใช้งานด้านความบันเทิง ด้วยหน้าจอไร้ขอบ ไร้รอยบาก ที่ให้มุมมองกว้างเต็มตาเป็นพิเศษ พร้อมฟีเจอร์ครบครันรอบด้าน รวมถึงชื่นชอบการถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์ลูกเล่นที่น่าสนใจมากมาย และเทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้ได้ภาพสวยงามในชัตเตอร์เดียว ในราคาจับต้องได้

สำหรับ OPPO F11 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 10,990 บาท กับตัวเลือก 2 สี 2 สไตล์อย่าง Thunder Black และ Aurora Green หากท่านใดที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของ ก็สามารถสั่งจองล่วงหน้า (Pre Order) ได้ตัั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 27 มีนาคม 2562 พร้อมรับฟรี Smart Bag กับ VIP Card รวมมูลค่ากว่า 6,590 บาท โดยเริ่มรับสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2562 หรือสามารถแวะเวียนเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้นก่อนได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO F11 Pro มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ OPPO F11 Pro

- เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Unibody (ตัวเครื่องถูกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน) พร้อมเทคโนโลยีการเคลือบผิวสัมผัสแบบกระจก (Glossy Design) - บอดี้ไล่เฉดแบบ Triple Gradient Color ที่สามารถสะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ - ตัวเครื่องขนาด 161.3x76.1x8.8 มิลลิเมตร - หน้าจอแสดงผลไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ LTPS TFT Panoramic Screen ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 397 ppi) ในอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 19.5:9 โดยมีสัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 90.9% - ชิปเซ็ตประมวลผล (CPU) MediaTek Helio P70 แบบ Octa-Core Processor ที่มีความเร็ว 2.1 GHz - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G72 MP3 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 64GB - รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 256GB - กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ Rising Camera ที่สไลด์ได้เองอัตโนมัติ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty ที่สามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ และระบบป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยหากกล้องหน้าไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือในกรณีที่เราเปิดกล้องหน้าค้างไว้ แต่ทำเครื่องตก ระบบก็จะทำการเลื่อนเก็บไว้ให้แบบอัตโนมัติ - กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล โดยมีเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.25 นิ้ว ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ F/1.79 ซึ่งรองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสมจากทั้งหมด 23 หมวดหมู่ และรองรับฟีเจอร์ Ultra Night Mode สำหรับการถ่ายภาพกลางคืนโดยเฉพาะ - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Unlock) - ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) - ฟังก์ชัน App Encryption และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kids Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก - ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ - ระบบเสียง Dirac - แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบVOOC Flash Charge 3.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าถึง 20% - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 6.0 - ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม - ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้ - ฟังก์ชัน Clone App สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - ฟังก์ชัน App Split-Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ - ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ โดยไม่ต้องใช้สาย - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS - รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n , Bluetooth 4.2 - รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) - รองรับการสแตนด์บายแบบ Dual 4G LTE - ราคาจำหน่าย 10,990 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ไม่สูงจนเกินไป

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO F11 Pro

- ด้านหลังตัวเครื่องมีพื้นผิวมันวาว จึงอาจเกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย และเสี่ยงต่อการตกแตกได้ง่าย - ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ หรือป้องกันฝุ่น - หน้าจอ Panoramis Screen ในอัตราส่วน 19.5:9 ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันทั้งหมดได้ - ด้วยความที่หน้าจอมีขอบบาง อาจทำให้อุ้งมือของผู้ใช้ไปสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ - พอร์ตการเชื่อมต่อยังไม่เป็น USB Type-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่กว่า - ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid-Slot ที่ต้องเลือกใช้งานในช่องซิมการ์ดที่สอง ระหว่างซิมการ์ด หรือ microSD Card

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

Leave a Comment