รีวิว Vivo V15 ทางเลือกใหม่ที่จัดเต็มไม่แพ้รุ่น Pro พร้อมกล้องหน้า Pop-Up สุดล้ำ ในราคาย่อมเยากว่า :: Thaimobilecenter.com

ทางเลือกใหม่ที่จัดเต็มไม่แพ้รุ่น Pro ในราคาที่ย่อมเยากว่า ด้วยกล้องหน้า Pop-Up 32MP ผสานกล้องหลัง AI Triple Camera, จอ Ultra FullView Display ไร้ขอบไร้รอยบากไซส์ยักษ์ 6.53 นิ้ว, ชิปเซ็ต Helio P70, ROM 128GB+RAM 6GB และแบตเตอรี่ Dual-Engine Fast Charging 4000 mAh บนตัวเครื่อง 3D Spectrum Ripple ไล่เฉดสีสวยเปล่งประกาย ในราคากำลังดีที่หมื่นต้นๆ

25 มีนาคม 2019 - ภายในงานเปิดตัวของ Vivo V15 Pro รุ่นท็อปจากตระกูล V-Series ก็ยังมีรุ่นน้องที่น่าสนใจไม่แพ้กันอย่าง Vivo V15 เปิดตัวออกมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก กับการดีไซน์ที่ถอดแบบกันมา และมีจุดเด่นเป็น กล้องหน้า Pop-Up ที่มีกลไกเลื่อนได้เองอัตโนมัติแบบ Elevating Camera ความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซล เป็นรุ่นแรกของโลก รวมถึงกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวแบบ AI Triple Camera โดยมีราคาย่อมเยากว่าที่ 10,999 บาท

Vivo V15 มาในดีไซน์จอไร้ขอบ ไร้รอยบากโฉมใหม่แบบ Ultra FullView Display ในขนาด 6.53 นิ้ว อัตราส่วน 19.5:9 ที่ใหญ่กว่า V15 Pro เล็กน้อย พร้อมพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 90.95% มีความคมชัดระดับ Full HD+ และป้องกันรอยขีดข่วนด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ส่วนที่ด้านหลังตัวเครื่องมีดีไซน์เงางามคล้ายกระจก พร้อมความโค้งรับกับฝ่ามือขณะถือใช้งานแบบ 3D รวมถึงเทคโนโลยี Spectrum Ripple Design กับการไล่เฉดสีตัวเครื่อง สะท้อนเล่นกับแสงในมุมตกกระทบต่างๆ ที่เพิ่มความพรีเมียมให้กับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี

ด้านคุณสมบัติภายในก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio P70 แบบ 8-แกนประมวลผล (Octa-Core) ที่มีความเร็ว 2.1 GHz พร้อม GPU แบบ Mali-G72 MP3 จับคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB โดยมีความจุภายใน (ROM) ขนาด 128 GB ที่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card ได้อีก 256GB เรียกได้ว่ารองรับการเก็บไฟล์ข้อมูล, ไฟล์ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน และเกม ได้อย่างจุใจโดยไม่ต้องหมั่นเคลียร์พื้นที่บ่อยๆ อีกทั้งยังรองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot ที่สามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ด + 1 microSD Card ได้พร้อมกัน ทางด้านแบตเตอรี่ให้มาที่ 4000 mAh ที่เพียงพอต่อการใช้งานตลอดวัน พร้อมกับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขจาก 0-24% ได้ในเวลาเพียง 15 นาที

Vivo V15 ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่ถูกครอบทับด้วย FunTouch OS 9 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด พร้อมรองรับระบบผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Jovi และ Google Assistant ที่สามารถเรียกใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่ม Smart Button ที่ด้านซ้ายตัวเครื่อง รวมถึงมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ต่างจาก V15 Pro ที่เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint 5th Gen) ซึ่งถือเป็นจุดสังเกตที่ชัดเจนที่สุดระหว่าง V15 และ V15 Pro

นอกจากนี้ Vivo V15 ยังโดดเด่นที่กล้องตัวหลักที่ด้านหลังทั้งหมด 3 ตัวแบบ AI Triple Camera ความละเอียดสูง 24 ล้านพิกเซล (Photosensitive Units : Dual Pixel) พร้อมกล้องตัวที่สองความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กับเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle ในการถ่ายภาพมุมกว้างโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องถอยออกห่างจากฉากด้านหน้ามากนัก และกล้องตัวที่สาม 5 ล้านพิกเซล แบบ Depth Camera สำหรับทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพ โดยรองรับ ฟีเจอร์ Live Photos, Bokeh, AI Portrait Lighting, AI Portrait Framing, AI Face Beauty, AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และ AI Body Shaping ในการปรับโครงสร้างร่างกายได้อย่างอิสระ

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า Vivo V15 มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียมแบบไร้ขอบ ไร้รอยบาก พร้อมฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และระบบการถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิมด้วยกล้องหลัง 3 ตัว กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 10,999 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการ รีวิว Vivo V15 ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

Vivo V15 มาในแพ็กเกจสีขาวสะอาดตา พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน

ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์ 9V/2A, สายเชื่อมต่อแบบ microUSB, หูฟัง, เคสใส, เข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน

ภาพตัวอย่างการสวมใส่เคสใสที่แถมมาให้ภายในแพ็กเกจ

Vivo V15 มาพร้อมหน้าจอแสดงผล LTPS Ultra FullView Display ขนาด 6.53 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 90.95% ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 394 ppi) และครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D Corning Gorilla Glass 5 บนตัวเครื่องมีขนาด 161.97x75.95x8.54 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 189.5 กรัม

Vivo V15 มาพร้อมการปรับดีไซน์ใหม่แบบ Ultra FullView Display ด้วยหน้าจอไร้ขอบ ไร้รอยบาก เหนือขึ้นไปมีลำโพงสำหรับสนทนา โดยซ่อนกล้องไว้ภายในตัวเครื่อง

ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ

โดยสามารถปรับไปใช้วิธีควบคุมแบบ Gesture ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ที่ความจุสูงสุด 256GB ได้ในเวลาเดียวกัน พร้อมกับปุ่ม Smart Button สำหรับเรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant

ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง

ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง และกล้องหน้าสำหรับเซลฟี่แบบ Pop-Up ที่ซ่อนอยู่ด้านใน ด้วยกลไกเลื่อนได้เองอัตโนมัติแบบ Elevating Camera ความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซล โดยมี F/2.0

เบื้องหลังกลไกกล้องหน้าของ Vivo V15 ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 อย่าง ได้แก่ Micro Stepping Motor มอเตอร์สำหรับช่วยยกตัวกล้องขึ้นมาจากภายในตัวเครื่อง, Independent IC Drive หรือวงจรไอซีแบบแยกอิสระ และ Precision control algoritim หรืออัลกอริทึมที่ควบคุมการทำงานกลไกกล้องได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการทำงานของสามสิ่งเหล่านี้เองจะทำให้ผู้ใช้วางใจได้ว่า กล้องหน้าจะถูกเลื่อนออกมาจากตัวเครื่องให้แบบอัตโนมัติเมื่อต้องการใช้งาน และที่สำคัญกลไกกล้องเลื่อนได้ที่อยู่ภายในของ Vivo V15 ยังถูกเชื่อมต่อเข้ากันด้วยแผ่นโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง และทนทาน โดยสามารถรองรับแรงกดได้มากถึง 120 กิโลกรัม

นอกจากนี้ทาง Vivo ได้เปิดเผยว่าจากการทดสอบกลไกกล้องสไลด์ พบว่าสามารถใช้งานได้ประมาณ 300,000 ครั้ง หรือใช้งานได้นานถึง 8 ปี หากเปิดใช้งานวันละ 100 ครั้ง

ที่ด้านล่างประกอบด้วยช่องสำหรับเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนตัวหลัก, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ microUSB และลำโพงเสียง

ที่ด้านหลังของ Vivo V15 มีดีไซน์เงางามคล้ายกระจก พร้อมความโค้งรับกับฝ่ามือขณะถือใช้งานแบบ 3D รวมถึงเทคโนโลยี Spectrum Ripple Design กับการไล่เฉดสีตัวเครื่อง สะท้อนเล่นกับแสงในมุมตกกระทบต่างๆ โดยตัวเครื่องที่ทางทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันเป็นสี Topaz Blue

กล้องตัวหลักที่ด้านหลังของ Vivo V15 มีทั้งหมด 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 24+8+5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้างพิเศษ AI Super Wide-Angle และ Depth Camera โดยมี F/1.78 + F/2.2 + F/2.4 ซึ่งรองรับฟีเจอร์ Live Photos, Bokeh, AI Portrait Lighting, AI Face Beauty, AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และ AI Body Shaping ในการปรับโครงสร้างร่างกายได้อย่างอิสระ

เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

Vivo V15 ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 9.0 Pie ใหม่ล่าสุด ครอบทับด้วย Funtouch OS 9 ที่เป็น User Interface เวอร์ชันใหม่ล่าสุดเช่นกัน

รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ทั้งสองซิมการ์ด รวมทั้งยังรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (4G Voice Over LTE : VoLTE) ได้ทั้งสองซิมการ์ดอีกด้วย

มีหน่วยความแรม (RAM) ขนาด 6GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้อีก 256GB

เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวได้อย่างง่ายดาย ด้วยการกดปุ่มไอคอน X ที่ด้านล่าง

เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการได้

เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับการแสดงแจ้งเตือนต่างๆ และเมื่อลากจากขอบด้านล่างของหน้าจอจะพบกับ Toggle Swtich ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ

นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งตำแหน่งของคีย์ลัดเองได้ด้วย

เมื่อปัดไปทางขวาจากหน้าโฮม จะเจอกับหน้า Card พื้นที่การแสดงข้อมูลต่างๆ และคอยแนะนำฟีเจอร์ อย่างเช่น สภาพอากาศปัจจุบัน, จำนวนก้าว หรืออีเวนท์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และยังสามารถจัดการแอปพลิเคชันที่แสดงภายในหน้า Card ได้ ด้วยการกดที่ Card Management ที่ด้านล่าง

รวมทั้ง Shortcuts ทางลัดเข้าถึงแอปพลิเคชัน และเครื่องมือต่างๆ เช่น Speed up สำหรับเคลียร์พื้นที่หน่วยความจำ RAM, เครื่องคิดเลข หรือบันทึกเสียง เป็นต้น โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่ง และจัดตำแหน่งของการ์ดได้ด้วยตนเอง จากการกดเครื่องหมาย + ที่ด้านบน

Vivo V15 ยังมาพร้อม i Manager แอปพลิเคชันสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง เช่น การล้างพื้นที่ (การเคลียร์แรม), ตั้งค่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแต่ละแอปพลิเคชัน หรือการจำกัดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลข, การบันทึกเสียง, เข็มทิศ และวิทยุ FM

Vivo V15 สามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอได้อย่างหลากหลาย พร้อมโหมด Eye Protection และการปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอที่เลือกระดับได้ตามต้องการ และด้วยดีไซน์ที่เป็นแบบ Ultra FullView Display ในอัตราส่วน 19.5:9 จึงสามารถปรับให้บางแอปพลิเคชันสามารถแสดงผลในสัดส่วนแบบเต็มหน้าจอได้

สามารถเปลี่ยนธีม และภาพพื้นหลังได้

และสามารถเปลี่ยนธีม ภาพพื้นหลัง รวมถึง Font ตัวอักษรรูปแบบต่างๆ และการตั้งค่าอื่นๆ บนหน้าจอ ผ่านแอปพลิเคชัน i Theme

สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้

โดยสามารถปรับไปใช้วิธีควบคุมแบบ Gesture ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน Vivo V15 ได้แก่ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ

Vivo V15 มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุถึง 4000 mAh โดยรองรับโหมดประหยัดพลังงานแบบ Super Power-Saving Mode

และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขจาก 0-24% ได้ในเวลาเพียง 15 นาที

ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน

Vivo V15 ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง App Clone สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์

สำหรับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะมีให้ใช้งานบน Vivo V15 ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย โหมด Smart Wake, Smart turn on/off screen และ Smart Call ซึ่ง Smart Wake เป็นการวาดตามรูปแบบต่างๆ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น การวาดตัวอักษร C เพื่อเข้าสู่ฟังก์ชันการโทรศัพท์ หรือการวาดตัวอักษร m เพื่อเข้าสู่แอปพลิเคชัน i Music สำหรับฟังเพลง

Smart turn on/off screen การเปิด-ปิด หน้าจอแบบอัจฉริยะ โดยสามารถตั้งค่าให้หน้าจอติดเมื่อยกตัวเครื่องขึ้น หรือสัมผัสหน้าจอ 2 ครั้งติดกันเพื่อเป็นการล็อกหน้าจอ และ Smart Call การโทรอัจฉริยะ

ฟังก์ชัน Smart Split สำหรับแบ่งหน้าจอการใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน โดยเน้นไปที่แอปพลิเคชันเกี่ยวกับ Message โดยสามารถตอบแชทได้โดยไม่ต้องออกจากหน้าแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่

Vivo V15 มีฟังก์ชัน Screen-Split ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน โดยสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ

ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน Screen-Split ที่รองรับทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน

สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการกดปุ่ม Power พร้อมกับปุ่มลดเสียง หรือลาก 3 นิ้ว จากบริเวณด้านล่างหน้าจอไปยังด้านบน

และยังสามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย

จากระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi Assistant มีฟังก์ชัน Smart Camera ที่ประกอบไปด้วยเทคโนโลยี AI Beauty ในการปรับโครงหน้าได้ทุกส่วนตามที่ต้องการ, AI Scene Identification ในการแยกแยะซีนที่ถ่ายพร้อมปรับค่าให้แบบอัตโนมัติ และ AI Portrait Framing สำหรับช่วยจัดองค์ประกอบภาพ และช่วยแนะนำมุมสวยขณะถ่าย

ฟังก์ชัน Image Rocognizer ใช้ในการค้นหาข้อมูลสินค้าที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับแสดงราคา และสถานที่สำหรับซื้อสินค้า

Smart Scene จะเป็นการแจ้งเตือนข่าวสารต่างๆ รวมถึงพยากรณ์อากาศ และตารางนัดหมาย เพื่อให้จัดการตารางเวลาได้ง่ายขึ้น และ Game Mode โหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ

และ Smart Buttons ในการเรียกใช้งานระบบอัจฉริยะ Google Assistant

ทางด้านอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้หลักๆ 2 แบบ คือ แสดงแบบแยกอัลบั้ม กับแบบรวมภาพถ่ายทั้งหมด

ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี ไหลลื่น และสามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องครบถ้วน

รวมทั้งยังมีโหมดการใช้งานมือเดียว One-handed ซึ่งเป็นการปรับขนาดของแผงตัวเลขโทรศัพท์, แป้นพิมพ์รหัสผ่านให้เล็กลง ซึ่งช่วยให้ใช้งานมือถือด้วยมือเดียวอย่างสะดวกขึ้น และ Smart Click ในการเปิดใช้งานฟังก์ชันเฉพาะในขณะล็อกหน้าจอ

Vivo ได้ทำการรวบรวมแอปพลิเคชันเด่นมาให้ได้ดาวน์โหลดกันผ่านทาง Vivo App Store ด้วยเช่นกัน

สำหรับบริการ vivoCloud ก็มีให้ใช้งานบน Vivo V15 เช่นเดียวกัน โดยผู้ใช้สามารถสำรองข้อมูลต่างๆ ภายในตัวเครื่อง เช่น ข้อความ SMS, รายชื่อผู้ติดต่อ และบุ๊คมาร์คของเว็บเบราวเซอร์ ไปยังระบบคลาวอินเทอร์เน็ตของ Vivo ได้

Vivo V15 รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน i Music พร้อมเทคโนโลยี DeepField สำหรับช่วยขับเสียงร้องให้มีความชัดเจน พร้อมปรับเสียงเบสให้มีอิมแพคมากยิ่งขึ้น

สามารถปรับค่า Equalizer และเลือกใช้หูฟังต่างๆ ของ Vivo ได้

ที่สำคัญ Vivo V15 ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง Privacy and App Encryption สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง รวมถึง File Safebox ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน

นอกจากนี้ Vivo V15 ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน AI Game Mode 5.0 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นโหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น การโชว์เบอร์โทรสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอัปเท่านั้น ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนา พร้อมรองรับระบบ Dual-Turbo ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม และป้องกันปัญหาเฟรมเรตตกระหว่างเล่นเกมได้ดีขึ้นถึง 300%

รวมทั้งคีย์บอร์ดภายในฟังก์ชัน AI Game Mode ก็จะถูกย่อให้มีขนาดเล็กลง เพื่อป้องกันปัญหาคีย์บอร์ดบดบังการแสดงผลภายในเกม

สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Vivo V15 นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor

สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ดี พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 17 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 7 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง

Vivo V15 มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio P70 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.1 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP3, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้อีก 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie

Vivo V15 มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 143,272 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 4 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,524 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 5,723 คะแนน

สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 1,265 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 1,240 คะแนน

Vivo V15 รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสามมิติอย่าง PUBG Mobile, ROV และ Marvel Future Fight ก็พบว่า Vivo V15 นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก แต่ก็มีการสะสมความร้อนให้เห็นบ้าง

Vivo V15 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Ultra FullView Display ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ และมีอัตราส่วนแบบ 19.5:9 จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ

กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

สำหรับกล้องถ่ายภาพของ Vivo V15 เป็นระบบกล้อง 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 24+8+5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ AI Super Wide Angle และ Depth โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน

โดยในโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Bokeh) สามารถปรับค่าแสงได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ Studio Light, Stereo Light, Loop Light, Rainbow Light และ Monochrome Background

Vivo V15 มาพร้อมฟังก์ชัน AI Face Beauty และ AI Body Shaping ในการปรับโครงสร้างใบหน้า และร่างกายได้อย่างอิสระ

สามารถเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้

และรองรับลูกเล่นน่ารักๆ อย่าง AR Stickers ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการถ่ายเซลฟี่

เปรียบเทียบมุมมองภาพถ่ายแบบปกติ และถ่ายด้วยเลนส์ AI Super Wide Angle

ในโหมดการถ่ายภาพปกติ มีฟังก์ชัน AI Scene Recognition ที่เป็นการนำเอาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และวัตถุที่อยู่ตรงหน้า เพื่อปรับแต่งการตั้งค่าของกล้องให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ

สำหรับการถ่ายโหมด Pro บน Vivo V15 มาพร้อมกับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด รวมถึงการถ่ายภาพในมุมกว้างแบบ Panorama

การถ่ายวิดีโอบน Vivo V15 รองรับเทคโนโลยี AI Face Beauty ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้ตามต้องการได้ทุกส่วน และสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดที่ระดับ HD 720p ส่วนในโหมดปกติสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดได้ที่ระดับ Full HD

ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ Pop-Up ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ก็มีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที และสามารถปรับค่าต่างๆ ได้ที่เมนูตั้งค่า

โดยในโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Bokeh) สามารถปรับค่าแสงได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ Studio Light, Stereo Light, Loop Light, Rainbow Light และ Monochrome Background เช่นเดียวกับกล้องหลัง

สามารถตั้งเวลาถ่ายภาพ และถ่ายภาพเซลฟี่ในมุมกว้างได้

Vivo V15 รองรับฟังก์ชัน Live Photo และ AI Face Beauty ที่สามารถประบโครงสร้างใบหน้าได้ทุกส่วนตามต้องการ

และสามารถเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้

รวมถึงฟีเจอร์ AR Stickers กับสติกเกอร์แบบต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนานให้กับการเซลฟี่

การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าแบบ Pop-Up ของ Vivo V15 ก็รองรับโหมด AI Face Beauty ในการปรับโครงสร้างได้อย่างอิสระด้วยเช่นกัน โดยสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดที่ระดับ HD 720p ส่วนในโหมดปกติสามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดได้ที่ระดับ Full HD 1080p

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง AI Triple Camera ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 24+8+5 ล้านพิกเซล ของ Vivo V15

ภาพจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Scene Recognition

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh พร้อมฟังก์ชัน AI Portrait Lighting แบบ Studio Light

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh พร้อมฟังก์ชัน AI Portrait Lighting แบบ Stereo Light

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh พร้อมฟังก์ชัน AI Portrait Lighting แบบ Rainbow Light

ภาพถ่ายจากโหมด Bokeh พร้อมฟังก์ชัน AI Portrait Lighting แบบ Monochrome Background

ภาพจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AR Stickers

ภาพจากโหมดปกติ

ภาพจากเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle

ภาพจากโหมดปกติ

ภาพจากเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle

ภาพจากโหมดปกติ

ภาพจากเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle

ภาพจากโหมดปกติเวลากลางคืน พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Scene Recognition

ภาพจากโหมดปกติเวลากลางคืน

ภาพจากเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle ในเวลากลางคืน

ภาพจากโหมดปกติเวลากลางคืน

ภาพจากเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle ในเวลากลางคืน

ภาพจากโหมดปกติเวลากลางคืน

ภาพจากเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle ในเวลากลางคืน

ภาพจากโหมดปกติเวลากลางคืน

ภาพจากเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle ในเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ Vivo V15

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Face Beauty

ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมฟังก์ชัน AR Stickers

สรุปผลการทดสอบของ Vivo V15

จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้น เรียกได้ว่า Vivo V15 เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม เริ่มตั้งแต่การออกแบบดีไซน์โฉมใหม่หมดจด ด้วย หน้าจอไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ Ultra FullView Display ขนาดใหญ่ 6.53 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 กับความคมชัดระดับ Full HD+ เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้อย่างเต็มตาเต็มอารมณ์ และคมชัดกว่าที่เคย ซึ่งครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D Corning Gorilla Glass 5 บนตัวเครื่องดีไซน์เงางามคล้ายกระจก พร้อมความโค้งรับกับฝ่ามือขณะถือใช้งานแบบ 3D รวมถึงเทคโนโลยี Spectrum Ripple Design กับการไล่เฉดสีตัวเครื่อง สะท้อนเล่นกับแสงในมุมตกกระทบต่างๆ ที่ช่วยเสริมให้ตัวเครื่องมีความพรีเมียมมากขึ้น

และจุดเด่นที่สำคัญบน Vivo V15 ได้แก่ กล้องหน้าแบบ Pop-Up ที่มีกลไกเลื่อนได้เองอัตโนมัติแบบ Elevating Camera กับความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก ที่มีโครงสร้างเชื่อมต่อเข้ากันด้วยแผ่นโลหะ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ทนทาน โดยสามารถรองรับแรงกดได้มากถึง 120 กิโลกรัม ซึ่งทาง Vivo ได้เปิดเผยว่าจากการทดสอบกลไกกล้องสไลด์ พบว่า สามารถใช้งานได้ประมาณ 300,000 ครั้ง หรือใช้งานได้นานถึง 8 ปี หากเปิดใช้งานวันละ 100 ครั้ง พร้อมกับรองรับฟีเจอร์การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Bokeh), AI Face Beauty และลูกเล่นที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการถ่ายเซลฟี่อย่าง AR Stickers

สำหรับกล้องตัวหลักที่ด้านหลังก็ได้อัปเกรดมาใช้งานระบบกล้อง 3 ตัวแบบ AI Triple Camera ความละเอียดสูง 24 ล้านพิกเซล (Photosensitive Units : Dual Pixel) พร้อมกล้องตัวที่สองความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กับเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle ในการถ่ายภาพมุมกว้างโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องถอยออกห่างจากฉากด้านหน้ามากนัก และกล้องตัวที่สาม 5 ล้านพิกเซล แบบ Depth Camera สำหรับทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพ โดยรองรับ ฟีเจอร์ Live Photos, Bokeh, AI Portrait Lighting, AI Portrait Framing, AI Face Beauty, AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และ AI Body Shaping ในการปรับโครงสร้างร่างกายได้อย่างอิสระ เรียกได้ว่าครบทุกการใช้งานของคนทั่วไปเลยทีเดียว

ทางด้านสเปกของ Vivo V15 ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio P70 แบบ 8-แกนประมวลผล ที่มีความเร็ว 2.1 GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G72 MP3 จับคู่กับ RAM 6GB พร้อม ROM ความจุ 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้อีก 256GB เรียกได้ว่าสามารถเก็บภาพ, ไฟล์ข้อมูล, แอปพลิเคชัน และเกม ได้อย่างจุใจโดยไม่ต้องหมั่นเคลียร์พื้นที่บ่อย รวมถึงหมดปัญหาการเลือกใช้งานในช่องซิมการ์ดที่ 2 เนื่องจาก Vivo V15 มาพร้อมกับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot ที่สามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ด + 1 microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ที่ครอบทับด้วย Funtouch 9 เวอร์ชันใหม่เช่นเดียวกัน โดยรองรับระบบผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Jovi และ Google Assistant ที่สามารถเรียกใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่ม Smart Button ที่ด้านซ้ายตัวเครื่อง รวมถึงฟังก์ชัน Image Recognizer ในการค้นหาข้อมูลสินค้าที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับแสดงราคา และสถานที่สำหรับซื้อสินค้า

นอกจากนี้ Vivo V15 ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขจาก 0-24% ได้ในเวลาเพียง 15 นาท ี เรียกได้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนาน และช่วยลดระยะเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี

Vivo V15 ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยฟีเจอร์เอาใจเกมเมอร์อย่าง AI Game Mode 5.0 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด โหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น การโชว์เบอร์โทรสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอัปเท่านั้น ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนา และการย่อขนาดคีย์บอร์ดภายในเกมให้มีขนาดเล็กลง เพื่อป้องกันปัญหาคีย์บอร์ดบดบังการแสดงผล นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Dual-Turbo ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม และป้องกันปัญหาเฟรมเรตตกระหว่างเล่นเกมได้ดีขึ้นถึง 300% อีกด้วย

รวมถึงรองรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ อย่างครับครัน ไม่ว่าจะเป็น App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ อย่างเช่น เช่น Facebook หรือ Line ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์ในเวลาเดียวกัน, รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด แบบ Dual 4G รวมถึงฟังก์ชัน Screen-Split ในการใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชันได้พร้อมกัน และยังสามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้

Vivo V15 ยังมาพร้อมฟังก์ชันที่ช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่าง Privacy and App Encryption สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง รวมถึง File Safebox ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน อีกด้วย

และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า Vivo V15 เหมาะสำหรับท่านที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ พร้อมฟีเจอร์ครบครันทุกการใช้งาน บนดีไซน์หน้าจอไร้ขอบ ไร้รอยบากรบกวนสายตา ขนาดใหญ่ในอัตราส่วนที่กว้างขึ้น และช่วยให้ใช้งานได้อย่างเต็มตา เต็มอารมณ์ บนตัวเครื่องไล่เฉดสีแบบใหม่ที่พรีเมียมเทียบชั้นสมาร์ทโฟนเรือธง รวมถึงฟัก์ชันที่พร้อมตอบโจทย์การถ่ายรูปทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง ผสานเทคโนโลยี AI และฟีเจอร์สำหรับถ่ายภาพที่ครบครัน รวมถึงเน้นการเล่นเกมโดยไม่ถูกขัดจังหวะ ในราคาที่จับต้องได้

สำหรับ Vivo V15 เปิดราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 10,999 บาท กับตัวเลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Topaz Blue(น้ำเงิน-ฟ้า) และ Glamour Red (แดง) โดยวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ร้าน Vivo BrandShop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Vivo ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Vivo V15 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

จุดเด่นของ Vivo V15

- ด้านหลังตัวเครื่องมีดีไซน์เงางามคล้ายกระจก พร้อมความโค้งรับกับฝ่ามือขณะถือใช้งานแบบ 3D รวมถึงเทคโนโลยี Spectrum Ripple Design กับการไล่เฉดสีตัวเครื่อง สะท้อนเล่นกับแสงในมุมตกกระทบต่างๆ ในตัวเลือกสี Topaz Blue (น้ำเงิน-ฟ้า) และ Glamour Red (แดง) - ตัวเครื่องขนาด 161.97x75.95x8.54 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 189.5 กรัม - หน้าจอแสดงผล LTPS Ultra FullView Display ขนาด 6.53 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 90.95% ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 394 ppi) และครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D Corning Gorilla Glass 5 - ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio P70 (ซีพียู Octa-Core : Quad-Core Cortex-A73 ความเร็ว 2.1 GHz + Quad-Core Cortex-A53 ความเร็ว 2.0 GHz) - หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G72 MP3 - ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie พร้อมครอบทับด้วย FunTouch OS 9 - หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB - หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB - รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash) ความจุ 256GB - ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) และ microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน - กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ Pop-Up พร้อมกลไลเลื่อนขึ้น-ลงเองอัตโนมัติเมื่อเรียกใช้งานแบบ Elevating Camera ความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซล โดยมี F/2.0 รองรับฟีเจอร์ Live Photo, Face Beauty และ Portrait Bokeh - กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 24+8+5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้างพิเศษ AI Super Wide-Angle และ Depth Camera โดยมีรูรับแสงขนาด F/1.78+F/2.2+F/2.4 ซึ่งรองรับฟีเจอร์ Live Photos, Bokeh, AI Portrait Lighting, AI Portrait Framing, AI Face Beauty, AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และ AI Body Shaping ในการปรับโครงสร้างร่างกายได้อย่างอิสระ - เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner) - ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi AI Assistant และ Google Assistant พร้อมปุ่ม Smart Button สำหรับเรียกใช้งาน - ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ - แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ WiFi dual Band - ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS และ Beidou ของประเทศจีน - ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานแบบ 3.5 มิลลิเมตร - ราคา 10,999 บาท

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Vivo V15

- ตัวเครื่องมีพื้นผิวมันวาวแบบกระจก จึงอาจเกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย - ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ หรือป้องกันฝุ่น - ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อน เมื่อมีการประมวลผลหนักๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน - หน้าจอแบบ Ultra FullView Display ในอัตราส่วน 19.5:9 ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันทั้งหมดได้ - ด้วยความที่หน้าจอมีขอบบาง อาจทำให้อุ้งมือของผู้ใช้ไปสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ - มีระบบรักษาความปลอดภัยเพียงแค่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และไม่ใช่ระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ (In-Display) เหมือนกับรุ่น Pro - พอร์ตเชื่อมต่อยังคงเป็นแบบ microUSB ไม่ใช่ USB Type-C - รูปภาพที่ถ่ายออกมาจริงจากกล้องหลังจะมีความละเอียดที่ 12 ล้านพิกเซล เนื่องจากเป็นการรวม 2 พิกเซลเข้าด้วยกันแบบ Dual Pixel จากความละเอียดตั้งต้นที่ 24 ล้านพิกเซล

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

สรุปคุณสมบัติเครื่อง

Leave a Comment